The king of War - บทที่ 897 สามล้านซื้อขาดความสัมพันธ์
“สามล้าน ขอแค่นายให้ฉันมาสามล้าน ต่อไปเรื่องของตระกูลเรา จะไม่เกี่ยวข้องกับ หมีเสวี่ยแม้แต่น้อย ต่อไปเราจะไม่มาก่อกวนเธออีก”
ฟั่นชุนเจวียนตาเป็นประกาย ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เธอรู้ดีว่าช่วงนี้ หมีเสวี่ย ขายห้องไม่ได้สักห้อง นอกจากได้เงินเดือนน้อย ยังไม่ได้เงินค่าหักเปอร์เซ็นต์แม้แต่แดงเดียว
วันนี้มาเอาเงินจาก หมีเสวี่ย แค่ลองเชิงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเจอหยางเฉิน
ในเมื่อหยางเฉินยอมจ่ายเงินแทน หมีเสวี่ย เธอจะเอาแค่เล็กน้อย แล้วปล่อยคนไปง่ายๆ ได้อย่างไรล่ะ
หยางเฉินขมวดคิ้ว “คุณโลภขนาดนี้ ไม่กลัวโดนเงินสามล้านทับตายเหรอ”
“สามล้านเอง ไม่ได้มากสักนิด จะเอาเงินมา แล้วไสหัวไป หรือถ้าไม่มีสักแดง ฉันจะให้คนไล่นายออกไป”
อย่าว่าแต่สามล้าน ถึงห้าหมื่นล้าน หยางเฉินก็ยอมจ่ายเพื่อ หมีเสวี่ย
แต่พ่อแม่บุญธรรมของ หมีเสวี่ย ไม่เคยเห็น หมีเสวี่ยเป็นลูกสาวเลย กลับกดขี่ด้วยซ้ำ
ถ้าไม่คิดถึงความรู้สึกที่ หมีเสวี่ยได้รับ แค่ไม่กี่ปีมานี้ สิ่งที่พวกเขารังแกข่มเหง หมีเสวี่ย ก็เพียงพอให้หยางเฉิน มีเหตุผลทำลายพวกเขาได้ทั้งครอบครัวแล้ว
“อย่านะพี่หยาง!”
เมื่อ หมีเสวี่ยได้ยินว่าสามล้าน ก็ร้อนใจจนอยากร้องไห้
เธอรู้ว่าหยางเฉินมีเงินเยอะ ขนาดคฤหาสน์ 1.5 พันล้าน พูดว่าจะซื้อก็ซื้อ แถมยังไม่ต้องการโปรโมชั่นสักนิด
แต่เธอติดหนี้หยางเฉินมาเยอะแล้ว ถ้าให้หยางเฉินจ่ายสามล้านแทนเธออีก ทั้งชีวิตนี้ เธอคงชดใช้บุญคุณให้หยางเฉินไม่หมด
“ได้!”
ฟั่นชุนเจวียนกลัวว่าหยางเฉินจะเปลี่ยนใจ เพราะ หมีเสวี่ยเกลี้ยกล่อม จึงรีบรับปาก “นี่คือบัตรธนาคารของฉัน คุณโอนเงินมาในบัตรนี้สามล้าน ฉันจะกลับตอนนี้เลย และรับรองว่าจะไม่มาก่อกวน หมีเสวี่ยอีก”
หยางเฉินไม่ลังเลสักนิด เขาหยิบมือถือขึ้นมา และโอนเงินสามล้านให้ ฟั่นชุนเจวียน
ตอนเงินสามล้านโอนเข้ามา ฟั่นชุนเจวียนตื่นเต้นจนแทบบ้า
ทั้งชีวิตของเธอ ยังไม่เคยเห็นเงินห้าแสนเลย ตอนนี้จู่ๆ ก็ได้เงินสามล้าน ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเธอตื่นเต้นขนาดไหน
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หมีเสวี่ย ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเธออีกต่อไป ถ้าผมรู้ว่าพวกคุณกล้ามาหาเรื่อง หมีเสวี่ยอีก อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
หยางเฉินพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ในเมื่อผมให้คุณได้สามล้าน ก็สามารถให้คนอื่นได้สามล้านเช่นกัน ให้พวกเขาทำให้พวกคุณตายทั้งครอบครัว!”
ประโยคนี้ของหยางเฉิน เป็นประโยคข่มขู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
เป็นไปตามคาด หลังจาก ฟั่นชุนเจวียนได้ยิน ถึงกับหน้าซีดเผือด และรีบพยักหน้าพูดว่า “คุณวางใจเถอะ ต่อไปครอบครัวเรา ไม่มีทางมาก่อกวน หมีเสวี่ยอีกเด็ดขาด”
“ไสหัวไปซะ!”
หยางเฉินสบถออกมา
ฟั่นชุนเจวียนไม่อิดออด ไม่แม้แต่จะเหลียวมอง หมีเสวี่ย หันหลังเดินออกไปทันที
“ถึงเวลาเลิกงานแล้วเหมือนกัน เราไปกันเถอะ!”
หยางเฉินมอง หมีเสวี่ยที่สีหน้าอกสั่นขวัญแขวน แล้วเอ่ยขึ้น
หมีเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ และออกไปกับหยางเฉิน
หยางเฉินขับรถ โดยมี หมีเสวี่ยนั่งเงียบอยู่ข้างคนขับตลอดทาง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเธอเศร้าใจมาก
“ฉันทำให้พวกเขาตัดขาดความสัมพันธ์กับเธอ โดยไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ เธอไม่โทษฉันใช่ไหม”
จู่ๆ หยางเฉินถามขึ้น
หมีเสวี่ยหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วส่ายหน้าเบาๆ “ในสายตาครอบครัวเขา ไม่เคยมีลูกสาวอย่างฉันมาตลอด ฉันเป็นแค่ตู้เอทีเอ็มของพวกเขาเท่านั้น”
“กลับกัน ฉันควรขอบคุณพี่ ถ้าพี่ไม่ช่วยฉันแบบนี้ ฉันคงไม่มีทางตัดสินใจเด็ดขาด ตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาจริงๆ”
จู่ๆ หยางเฉินรู้สึกเจ็บปวดใจกับผู้หญิงคนนี้ โดนลักพาตัวมาขายให้บ้าน ฟั่นชุนเจวียนตั้งแต่เด็ก แถมยังเจอความลำบากมาอย่างมากมาย
ยังดีที่ในที่สุดเขาก็หา หมีเสวี่ยเจอ
ตอนนี้ หมีเสวี่ยสูญเสียพ่อแม่บุญธรรม ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กลับมีพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ อย่างหม่าชาว ส่วนอีกคนก็เป็นพี่ชายแท้ๆ อย่างหยางเฉิน
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เธอคือน้องสาวของหยางเฉิน!”
จู่ๆ หยางเฉินเอ่ยขึ้น และมีสีหน้าจริงจัง “ใครกล้ารังแกเธอ ฉันจะให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน สายตาของ หมีเสวี่ยเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
เธออายุยี่สิบกว่าปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่โดนใส่ใจเช่นนี้
“พี่หยาง ขอบคุณนะ!”
หมีเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
หยางเฉินยิ้มบางๆ “ต่อไปห้ามเกรงใจฉันแบบนี้อีก”
หมีเสวี่ยพยักหน้า จู่ๆ ก็คิดถึงเงินสามล้าน ที่หยางเฉินจ่ายแทนแม่บุญธรรมของเธอ เธอรีบพูดขึ้นมาว่า “แต่ฉันเป็นหนี้พี่สามล้าน ฉันต้องคืนพี่ พี่ห้ามปฏิเสธนะ นี่เป็นปัญหาด้านหลักการ”
เห็นสีหน้าจริงจังของ หมีเสวี่ยหยางเฉินยิ้มอย่างจนปัญญา พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ เธออยากคืนก็คืนฉันมา”
สิ่งที่ หมีเสวี่ยไม่รู้ก็คือ หยางเฉินเพิ่งมอบ ซินเฉ่ากรุ๊ปมูลค่าห้าหมื่นกว่าล้านให้พี่ชายเธอ หมีเสวี่ยเป็นน้องสาวแท้ๆ ของหม่าชาว นับประสาอะไรกับเงินแค่สามล้าน
หลังผ่านไปยี่สิบนาที หยางเฉินพา หมีเสวี่ยมาถึงร้านอาหารแซ่เฉิน
ร้านอาหารแซ่เฉิน เป็นกิจการของตระกูลเฉิน ตอนนี้ผุดเป็นดอกเห็ดไปทั่วทั้งประเทศ
“เธอจะทานอะไร สั่งได้ตามสบาย วันนี้ฉันเลี้ยงเธอเอง”
หลังมาถึงห้องอาหาร หยางเฉินยิ้มและเอ่ยขึ้น
เห็นในห้องอาหารหรูหราอย่างกับวัง หมีเสวี่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาทานอาหารในร้านดีๆ ขนาดนี้”
“พี่หยาง พี่สุดยอดจริงๆ ขนาดเป็นร้านอาหารแซ่เฉิน ก็ยังตั้งใจเตรียมห้องอาหารให้พี่เป็นพิเศษ”
หมีเสวี่ยทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย เพราะเพิ่งเคยมาร้านอาหารระดับนี้เป็นครั้งแรก เธอที่เคยชินกับความลำบากมาตั้งแต่เด็ก จึงดูกังวลเล็กน้อย
หยางเฉินยิ้ม “ความสัมพันธ์ของฉันกับบอส ของร้านอาหารแซ่เฉิน นับว่าไม่เลว”
หมีเสวี่ยไม่ได้ถามอะไรอีก แต่ในใจกลับตกตะลึงกับปูมหลังอันแข็งแกร่งของหยางเฉิน ยิ่งขึ้นไปอีก
แม้เธอเพิ่งเคยมาร้านอาหารแซ่เฉินเป็นครั้งแรก แต่เคยได้ยินร้านอาหารนี้มานานแล้ว เป็นหนึ่งในร้านอาหารสุดหรูของเมืองเยี่ยนตู
ตอนหยางเฉินพาเธอเข้ามาในห้องโถง ผู้จัดการร้านอาหาร มาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง ท่าทางนอบน้อมมาก แถมยังถามหยางเฉินว่า “จะให้บอสของเรามาไหมครับ”
เห็นได้ชัดว่า เพราะฐานะของหยางเฉินเหนือกว่าบอสของร้านอาหารแซ่เฉิน ผู้จัดการร้านอาหารจึงพูดแบบนี้
“เสียวเสวี่ย มีบางเรื่อง ที่พี่หยางอยากคุยกับเธอ”
ถือโอกาสตอนที่อาหารยังไม่มาเสิร์ฟ จู่ๆ หยางเฉินเอ่ยขึ้นมา
มีบางเรื่อง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องพูด พรุ่งนี้เป็นงานมงคลสมรสของหม่าชาว เขาจำเป็นต้องเคลียร์กับ หมีเสวี่ยให้จบ
“พี่หยางมีเรื่องอะไร รีบพูดมาก็ได้ ไม่เห็นต้องเป็นทางการขนาดนี้”
เห็นสีหน้าจริงจังของหยางเฉิน หมีเสวี่ยยิ้มและเอ่ยขึ้น
มองใบหน้าสดใสของสาวน้อย จู่ๆ หยางเฉินจึงทนไม่ได้ ที่จะพูดเรื่องที่ทำให้เธอเจ็บปวดใจ
ลังเลอยู่นาน ในที่สุดหยางเฉินจึงเอ่ยขึ้น “เสียวเสวี่ย อันดับแรก พี่หยางต้องขอโทษเธอ!”
เห็นท่าทางจริงจังของหยางเฉิน จู่ๆ หมีเสวี่ยรู้สึกถึงอะไรผิดปกติ
“พี่หยาง พี่เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ ก็มาขอโทษฉัน”
หมีเสวี่ยถามอย่างเป็นกังวล
หยางเฉินพูดเสียงทุ้ม “เพราะเหตุผลบางอย่าง พี่หยางสืบเรื่องเธอ ทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอไม่น้อย”
“ฉันรู้ว่าในปีที่เธออายุสามขวบ พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตทั้งคู่ เหลือแค่เธอกับพี่ชายที่อายุมากกว่าเธอสองปี จากนั้นเธอกับพี่ชายอาศัยอยู่ในบ้านน้า”
“แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน น้าของเธอเบื่อ และเริ่มลงไม้ลงมือกับพวกเธอ แถมยังไม่ให้พวกเธอเข้าเรียน สุดท้ายพี่ชายเธอ จึงพาเธอออกจากบ้านหลังนั้น”