The king of War - บทที่ 903 ทำความรู้จัก
“หยางเฉิน นายแน่ใจจริงเหรอว่าจะยกหุ้นทั้งหมดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปให้ตระกูลกวน นี่เป็นทรัพย์สินเกือบล้านล้านเลยนะ”
ดวงตายาวเฉี่ยวของกวนซินจ้องไปยังหยางเฉิน และถามขึ้น
“เธอเป็นคนบอกให้ฉันโอนหุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ให้เธอไม่ใช่หรือไง”
หยางเฉินมองกวนซินด้วยสีหน้าประหลาด จากนั้นจึงพูดเยาะเย้ยว่า “อย่าบอกนะว่าเธอเสียใจที่ทำแบบนี้”
“เสียใจงั้นเหรอ”
กวนซินแสยะยิ้มเย็นชา “ในพจนานุกรมของคนอย่างกวนซิน ไม่เคยมีคำว่าเสียใจ ฉันแค่กังวลว่านายจะกลับคำพูด”
พูดจบ เธอก็ชิงสัญญามาจากมือหยางเฉินอย่างไม่เกรงใจ และเซ็นชื่อตัวเองลงไป
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเป็นของตระกูลกวนทั้งหมด”
กวนซินมีสีหน้าได้ใจ มองหยางเฉินอย่างดูหมิ่น “ตอนแรกคิดว่านายเป็นบุคคลสำคัญ ตอนนี้ดูเหมือนว่า ฉันคิดเยอะไปเอง นายก็แค่คนขี้ขลาดตาขาว ความคิดถึงเพียงสิ่งเดียว ที่แม่นายเหลือไว้ให้ ก็โดนนายขายไป”
แววตาหยางเฉินฉายแววเย็นยะเยือก หม่าชาวก็มองกวนซินด้วยสีหน้าโมโห จนแทบอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกผู้หญิงคนนี้
“พวกเรากลับ!”
กวนซินหันหลัง และพาคนออกไป
เมื่อกวนซินกลับไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่งานแต่งงานที่เดิมเคยคึกคักเป็นพิเศษ กลับไม่มีบรรยากาศของงานแต่งเลยสักนิด
โดยเฉพาะอ้ายหลินกับหม่าชาว ต่างจมดิ่งลงไปในความเศร้าและเจ็บปวด พวกเขาโทษตัวเอง ถ้าไม่ใช่เพราะงานแต่งของพวกเขาในวันนี้ ก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
“โอเค จัดงานแต่งต่อเถอะ!”
แต่หยางเฉินกลับเหมือนคนไม่เป็นอะไร ยิ้มและเอ่ยขึ้น
แต่ทว่า สิ่งที่คนไม่สังเกต ก็คือร่างชราที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแขก เมื่อ กวนซินกับกวนหงเหว่ยออกไป เขาก็ออกไปเงียบๆ เช่นกัน
เมื่อเห็นร่างชราเดินออกไป แววตาของหยางเฉินเย็นยะเยือก
การเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพ แค่ผู้แข็งแกร่งแดนราชาเพียงคนเดียว จะหลบหนีสัมผัสของเขาได้อย่างไรกัน
“ประธาน ผม……”
ลั่วปิงมองหยางเฉินด้วยสีหน้าสับสน ขณะที่จะพูด ก็โดนหยางเฉินพูดตัดบท “นายคิดจริงๆ เหรอว่า พวกเขาเอาหุ้นของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปไป ก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป”
เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของลั่วปิงเป็นประกาย สีหน้าเต็มไปด้วยความดีใจ “ประธาน คุณหมายความว่า……”
“ชู่ว!”
หยางเฉินทำท่าบอกให้เงียบ แล้วกระซิบข้างหูลั่วปิงไม่กี่ประโยค
หลังได้ยินที่หยางเฉินพูด ลั่วปิงพูดอย่างตื่นเต้น “ประธาน ผมเข้าใจแล้ว คุณวางใจได้เลย ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน ผมจะไปจัดการตามที่คุณสั่งตอนนี้เลย”
มองลั่วปิงออกไป ฉินซีที่เงียบมาตลอด จึงเอ่ยถามว่า “ที่รัก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
หยางเฉินยิ้มบางๆ “คุณรู้เอาไว้แค่เพียงเรื่องเดียว สามีคุณไม่เคยมีผลแพ้”
เพียงประโยคเดียว ทำให้ใจที่เป็นกังวลของฉินซี วางใจลงได้
ถึงเธอไม่รู้ว่าหยางเฉินจะทำอะไรกันแน่ แต่เธอรู้ สัญญาโอนหุ้นที่กวนซินเอาไปเมื่อกี้ อาจจะเป็นเพียงแค่เศษกระดาษใบหนึ่งเท่านั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาที่ผู้เป็นสักขีพยานในการแต่งงานออกมา
หยางเฉินในชุดสูท เดินขึ้นไปบนเวที ภายใต้สายตาของทุกคน
“วันนี้หม่าชาวน้องชายของฉันกับภรรยาอ้ายหลิน ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน เชิญให้ฉันมาเป็นสักขีพยาน คำพูดอย่างกะทันหันถูกบันทึกไว้ที่นี่ เพื่อเป็นที่ระลึก”
“ผมขอบอกกับแขกทุกท่านในที่นี้ หม่าชาวและอ้ายหลิน เป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย ครอบครัวใหม่ถือกำเนิดแล้ว!”
เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่ว
ขณะที่หยางเฉินกำลังจะเดินลงเวที จู่ๆ ประตูห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก เห็นหญิงสาวในชุดราตรีคนหนึ่ง เดินเข้ามาทันที
ตอนหยางเฉินเห็นผู้หญิงคนนี้ เขามีสีหน้าตกใจ
ตอนนี้ ไม่ได้มีเพียงหยางเฉิน หม่าชาวที่อยู่บนเวที ก็เห็นหญิงสาวที่มาอย่างกะทันหันเช่นกัน
มองเพียงแวบเดียว หม่าชาวก็ไม่สามารถละสายตาได้ ดวงตาทั้งสองข้างจ้องอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
เงาที่ถูกประทับเอาไว้ในส่วนลึกของสมองเขา ค่อยๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเงาของผู้หญิงคนนี้
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง จู่ๆ น้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้างของหม่าชาว
อีกทั้งผู้หญิงคนนั้น ยังชะงักฝีเท้าลง ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปที่หม่าชาว ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาเช่นกัน
สีหน้าของอ้ายหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนคิดอะไรได้ จู่ๆ เธอมีสีหน้าตกตะลึง มองหยางเฉินอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นหยางเฉินพยักหน้า เธอรู้ทันทีว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร น้องสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของหม่าชาว ที่อยู่บนโลกนี้
“เธอ เธอคือ เสียวเสวี่ยเหรอ”
เหมือนหม่าชาวพูดออกมาด้วยอาการสั่น
“พี่!”
ในที่สุด หมีเสวี่ยไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้อีก เธอตะโกนเสียงดัง และวิ่งเข้าไปหาหม่าชาว
เสียงที่ หมีเสวี่ยเรียก “พี่” คลายความสงสัยของทุกคน
เมื่อครู่ถึงกับมีคนเข้าใจผิดว่า หมีเสวี่ยเป็นแฟนเก่าของหม่าชาว วันนี้จะมาชิงเจ้าบ่าว
หมีเสวี่ยขึ้นไปบนเวที และโผเข้าไปในอ้อมอกหม่าชาว ร้องไห้พูดเสียงดังว่า “พี่ สิบเอ็ดปี สิบเอ็ดปีเต็มๆ ในที่สุดฉันก็เจอพี่แล้ว!”
จนกระทั่ง หมีเสวี่ยโผเข้าหาตัวเอง หม่าชาวจึงรู้ทันที เด็กผู้หญิงตรงหน้า คือน้องสาวแท้ๆ ที่หายตัวไปหลายปีจริงๆ และเป็นคนสนิทเพียงคนเดียวของเขา ที่ยังอยู่บนโลกนี้
“ฮ่าๆๆๆ……”
จู่ๆ หม่าชาวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วพูดอย่างตื้นตัน “ฉันหาน้องสาวเจอแล้ว ในที่สุดหม่าชาวก็หาน้องสาวเจอแล้ว!”
ถึงกำลังหัวเราะ แต่ในใจกลับเจ็บปวดเหมือนโดนมีดกรีด
เขาไม่สามารถจินตนาการได้ เหตุการณ์เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ทำให้ หมีเสวี่ยต้องจมดิ่งกับความเจ็บปวดมากแค่ไหน
และไม่อยากจินตนาการ หลายปีมานี้ หมีเสวี่ยใช้ชีวิตอย่างไร
มองหม่าชาวกอด หมีเสวี่ยอย่างตื้นตัน และหมุนตัวอย่างมีความสุข อ้ายหลินถึงกับน้ำตารื้น
ตอนอยู่ที่ชายแดนเหนือ ในตอนแรก เคยได้ยินหม่าชาวพูดว่าตัวเองมีน้องสาวแท้ๆ หนึ่งคน หลายปีมานี้ เขาขอร้องให้คนช่วยตามหา หมีเสวี่ยไปทั่ว
เธอเข้าใจว่าน้องสาวคนนี้ มีความสำคัญกับหม่าชาว
“เสียวเสวี่ย รีบมาทักทายพี่สะใภ้เธอสิ”
หลังผ่านความตื้นตัน หม่าชาวปล่อย หมีเสวี่ย และดึงเธอมาพูดกับอ้ายหลิน
บนใบหน้าอ้ายหลินยังมีคราบน้ำตา เธอมอง หมีเสวี่ย แล้วเป็นฝ่ายพูดว่า “สวัสดีเสียวเสวี่ย ฉันอ้ายหลิน เป็นพี่สะใภ้ของเธอ”
“สวัสดีค่ะพี่สะใภ้!”
หมีเสวี่ยพูดอย่างน่าเอ็นดู “พี่สะใภ้สวยมากเลย!”
เธอชมอย่างจริงใจ ก่อนมางานแต่ง เธอยังคิดอยู่ว่า พี่ชายเธอจะหาพี่สะใภ้อย่างไร ดูเหมือนตอนนี้ พี่สะใภ้คนนี้คู่ควรกับพี่ชายตัวเองมาก
“เสียวเสวี่ย รีบตามพี่มา”
หม่าชาวดึง หมีเสวี่ยมาข้างหน้าหยางเฉิน แล้วพูดอย่างตื้นตันว่า “เขาเป็นพี่ชายของพี่ชายเธอ ต่อไปเขาก็เป็นพี่ชายของเธอเหมือนกัน รีบเรียกเขาว่าพี่สิ”
หมีเสวี่ยมองหยางเฉินด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “พี่หยาง ขอบคุณนะคะ!”
หยางเฉินยิ้มบางๆ “ฉันนึกว่าเธอจะไม่มา เธอมาได้ พี่หยางก็ดีใจมาก”
จนกระทั่งตอนนี้ หม่าชาวเพิ่งรู้สึกได้ว่าหยางเฉินรู้จัก หมีเสวี่ย
“พี่เฉิน รู้จักกันเหรอ”
เขาถามขึ้นทันที
อ้ายหลินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่นี้คุณยังดูไม่ออกเหรอ หยางเฉินเป็นคนช่วยตามหา หมีเสวี่ยจนเจอ”
หม่าชาวกระจ่างทันที มองหยางเฉินด้วยดวงตาแดงระเรื่อ แล้วพูดว่า “พี่เฉิน ผม ผมไม่รู้จะทำยังไง ถึงจะแสดงความซาบซึ้งที่มีต่อพี่”
หยางเฉินยื่นกำปั้นออกมา ต่อยไปที่อกของหม่าชาวเบาๆ จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “นายบอกแล้วนิ ฉันเป็นพี่ชายนาย จะเกรงใจพี่ไปทำไมกัน”
“พอเถอะ อย่ามัวพูดไร้สาระ พ่อตาแม่ยายรอพวกนายยกน้ำชาอยู่นะ! เดี๋ยวฉันพาเสียวเสวี่ยลงไปก่อน”
พูดจบ หยางเฉินจึงพา หมีเสวี่ยลงจากเวที