The king of War - บทที่ 92หักแขนขาให้หมด
ฉินซีรู้ว่าหยางเฉินกลัวลูกสาวจะตึกใจ พอครุ่นคิดแล้ว ก็พูดว่า “เดี๋ยวฉันไปส่งเสี้ยวเสี้ยวก่อน แล้วจะกลับมา”
“ครับ!” หยางเฉินตอบ
แต่เมื่อฉินซีอุ้มเสี้ยวเสี้ยวจากไปนั้น ก็ถูกฉินเฟยมาขวางทางไว้
“หลบไป!”
ฉินซีอุ้มเสี้ยวเสี้ยว ใบหน้าก็โมโห แต่ก็พยายามไม่โมโหออกมา
ฉินเฟยพูดลวนลามเธอว่า “เวลาดีๆ แบบนี้ จะให้ลูกสาวพลาดไปได้อย่างไรเล่า? รอก่อนดีกว่า!เดี๋ยวรอละครฉากเด็กจบลง พวกเธอจะไปที่ไหนก็ไป”
ไม่รู้ว่าฉินเฟยไปเสียเงินจ้างบอดี้การ์ดมาจากที่ไหน ตอนนี้ก็มายืนข้างๆ เขา เพื่อให้เขาเบาใจ
“ฉินเฟย ถ้าคุณไม่ต้องการมืออีกข้างหนึ่งแล้ว ก็เข้ามาขวางได้ตามสบาย”
เสียงของหยางเฉินดังขึ้น น้ำเสียงของเขานิ่งๆ แต่ฉินเฟยได้ยินแล้ว ก็ต้องรู้สึกขนลุกขนชันขึ้นมา
ความเจ็บปวดที่ข้อมือ ก็เหมือนจะหนักขึ้น
แล้วหยางเฉินก็มายืนข้างๆ ฉินซี ฉินซีที่กำลังวิตกกังวลเมื่อครู่นี้ ตอนนี้ก็ได้เบาใจขึ้นมาก ราวกับขอเพียงมีหยางเฉินอยู่ข้างๆ ก็จะไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น
ฉินเฟยก็กัดฟัน สายตาทั้งสองข้างก็โมโหแดงก่ำ
“หยางเฉิน มึงทำร้ายร่างกายกู วันนี้กูจะให้มึงชดใช้เป็นร้อยเป็นพันเท่า” ฉินเฟยพูดด้วยใบหน้าโหดร้าย
“เสี่ยวซี คุณไปส่งเสี้ยวเสี้ยวที่โรงเรียนก่อน ผมจะคอยดูสิว่า ใครจะกล้าขวางทางคุณ”
น้ำเสียงของหยางเฉินก็บาตรให่มาก ไม่เพียงทำให้ฉินซีสบายใจขึ้น แม้แต่ฉินยีก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
“คุณระวังด้วยนะ!” ฉินซีก็ยังสั่งด้วยความเป็นห่วง แล้วก็อุ้มเสี้ยวเสี้ยวเดินออกห่างตัวหยางเฉินไป
บอดี้การ์ดของเฉินก็ก้าวออกมาขวางฉินซีไว้ แล้วก็จ้องมองหน้าของหยางเฉินนิ่งๆ
“ถอยไป!”
หยางเฉินพอแค่สองคำสั้นๆ แต่ก็เหมือนเสียดแทงเข้าไปในดวงจิต
บอดี้การ์ดที่ยังกล้าจ้องมองหยางเฉินอยู่เมื่อครู่นี้ ก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่พลุ่งพล่านเข้ามาที่ใบหน้า
เขามีความรู้สึกว่า ถ้ายังเข้าไปขวางอีกล่ะก็ คงจะเจ็บหนัก
ดังนั้น ภายใต้สายตาที่ได้ใจของฉินเฟย บอดี้การ์ดก็เปิดทาง ให้ฉินซีอุ้มเสี้ยวเสี้ยวออกไป
“บัดซบ!” ใครเป็นคนออกเงินจ้างมึงมากันแน่? ฉินเฟยหัวเสีย
บอดี้การ์ดก็หน้าแดงก่ำขึ้นมา แล้วก็หาเหตุผลที่เหมาะสมตอบไปว่า “ผมไม่ลงมือกับผู้หญิงและเด็ก”
“ฉินเฟย ผมเคยให้โอกาสคุณหลายครั้ง เพราะเห็นแก่หน้าของเสี่ยวซี แต่คุณทำไมไม่เห็นโอกาสนั้น?”
หยางเฉินเจ็บใจจนส่ายหัว “ผมก็อดทนหลายครั้งแล้ว แต่ว่าที่ผมทนไม่ได้ก็คือ แม้แต่เด็กคนหนึ่งคุณก็ยังไม่ปล่อยไป ในเมื่อคุณชอบให้ของขวัญมากนัก งั้นโลงศพพวกนี้ คุณก็เก็บเอาไว้ใช้เองแล้วกัน!”
“หยางเฉิน มึงคิดว่ามึงเป็นยอดฝีมือจริงๆ หรือวะ? ใช่กูสู้มึงไม่ได้ แต่กูมีเงิน กูจ้างยอดฝีมือมาได้ จะจัดการมึง มันเป็นเรื่องง่ายดาย”
หยางเฉินก็นิ่ง ทำให้ฉินเฟยรู้สึกไม่ค่อยดีอย่างมากในใจ แล้วก็โมโหออกมา “คุณปู่ก็บอกแล้ว ว่าต่อให้พังบ้านหลังนี้ทิ้งเสีย ก็ไม่ให้พวกมึงมาอยู่ แล้วตอนนี้มึงยังจะมาทำอวดเก่งกับกูอีกทำไม?”
โจวยู่ชุ่ยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้ยินฉินเฟยพูดว่าเป็นคำสั่งของนายท่าน ก็ร้อนใจขึ้นมา แล้วก็พุ่งมาตรงหน้าหยางเฉิน แล้วจะตบไปที่ใบหน้าของเขา
“แม่คะ!” ฉินยีก็ร้อนใจ ร้องห้ามไว้
พอเห็นว่าฝ่ามือของโจวยู่ชุ่ยจะกำลังตบไปที่ใบหน้าของหยางเฉิน แต่ภายในชั่วพริบตา หยางเฉินก็ยื่นมือออกมา
“ผัวะ!”
เขาจับข้อมือของโจวยู่ชุ่ยไว้ ใบหน้าก็ไม่มีอารมณ์ แต่สายตาแฝงความโกรธเล็กน้อย “เดี๋ยวผมจัดการเรื่องนี้เอง คุณไปอยู่ข้างๆ ก็พอ”
พูดจบ หยางเฉินก็ปล่อยมือของโจวยู่ชุ่ย
โจวยู่ชุ่ยที่จบมาจากโรงเรียนการแสดง ก็ทำท่าแสร้งว่าหยางเฉินผลักตนเองออกมา เดิมทีอยากจะถอยออกไปหลายก้าว แต่เท้าสะดุดก้อนหิน
เธอร้อง “โอ้ย” ก้นจ้ำเบ้าลงที่พื้น
การแสดงระดับฮอลลิวูดก็เริ่มขึ้น
“แกกล้ามากขึ้นนะ แม้แต่ฉันยังกล้าลงมือ เดี๋ยวรอเสี่ยวซีกลับมา ฉันจะฟ้องว่านายทำร้ายฉัน แล้วให้ลูกสาวฉันหย่ากับแกเสีย”
โจวยู่ชุ่ยอารมณ์ขึ้นมาก น้ำตาก็ไหลออกมาราวกับสั่งได้ เริ่มจากการแสดงท่าทีตนเองก่อน จากนั้นถึงจะเป็นจุดประสงค์ที่ต้องการ
เธอร้องไห้เช็ดน้ำหูน้ำตา แล้วมองไปทางฉินเฟย “เสี่ยวเฟย แกก็อย่าพังบ้านเก่าหลังนี้เลยนะ ไปขอร้องกับนายท่านแทนน้ารองหน่อย เดี๋ยววันนี้น้าจะให้เสี่ยวซีหย่ากับไอ้นี่เลย สิ่งที่มันทำไม่เกี่ยวกับพวกเราเลยนะ!”
“ได้สิ!ผมไปช่วยขอร้องกับคุณปู่ได้ แต่ว่า มันจะต้องมาคุกเข่าขอร้องที่เท้าผม ขอร้องให้ผมปล่อยมันไป” ฉินเฟยพูดกลั่นแกล้ง
“แกพูดจริงหรือ?” โจวยู่ชุ่ยก็ดีใจขึ้นมา แล้วรีบถาม
“แน่นอน!เพียงแต่ ลูกเขยไร้ประโยชน์คนนี้ของน้า ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมนะ” ฉินเฟยยิ้มพูด
เขารู้จุดอ่อนของหยางเฉินดี นั่นก็คือฉินซี ไม่ว่าครอบครัวของฉินซีจะดูถูกตนเองอย่างไร เขาก็ไม่เคยตอบโต้ทั้งกำลังและคำพูด
หยางเฉินไปทำร้ายเขา จะให้เรื่องมันจบง่ายๆ แบบนี้ได้อย่างไร?
“หยางเฉิน จะรอช้าอยู่ทำไม? รีบคุกเข่าให้เสี่ยวเฟยสิ แล้วบอกเขา ว่าสิ่งที่แกทำทุกอย่างไม่เกี่ยวกับพวกฉัน รีบขอให้เขาปล่อบพวกเราไปสิ!” โจวยู่ชุ่ยไม่ร้องไห้แล้ว แต่พูดเสียดแทงหยางเฉินอย่างโมโห
“แม่ นี่แม่โง่หรือแกล้งโง่กันแน่? วันนี้ฉินเฟยจะมาพังบ้านหลังนี้ แล้วจะปล่อยพวกเราไปได้อย่างไรกัน?”
ฉินนยีก็สั่นไปทั้งตัว แล้วรีบมาขวางตรงหน้าหยางเฉิน พูดด้วยความโกรธว่า “หยางเฉินทำเพื่อบ้านเรามากมาย แม่จะรู้อะไร? จะให้เขาละทิ้งศักดิ์ศรี แล้วไปขอร้องไอ้สัตว์เดรัจฉานนี่หรือไง?”
“แกหุบปากไปเลยนะ!” โจวยู่ชุ่ยอายจนโมโห
วิธีของเธอ ทุกครั้งหลังจากโมโหแล้ว ก็จะตบหน้าคน
แต่ครั้งนี้ เธอเพิ่งเงื้อมือขึ้น ก็ถูกหยางเฉินจับข้อมือไว้อีกครั้ง
“ผมเรียกคุณว่า แม่ เพราะผมไม่อยากให้เสี่ยวซีเป็นคนลำบากใจอยู่ตรงกลาง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าแม่จะมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของผมได้ ถ้าแม่ยังไร้เหตุผลแบบนี้อีก งั้นก็อย่าหาว่าผมเสียมารยาทก็แล้วกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่หยางเฉินพูดกับโจวยู่ชุ่ยแรงๆ แบบนี้ โจวยู่ชุ่ยก็รู้สึกเหมือนมีไอเย็นพัดมาที่ใบหน้า เธอเหมือนจะรู้สึกว่าหยางเฉินกล้าลงมือกับเธอจริงๆ
พูดจบ หยางเฉินก็พูดกับฉินยีว่า “คุณกับแม่หลบไปห่างๆ หน่อย จะได้ไม่โดนลูกหลงเข้า”
ฉินยีรู้ว่าหยางเฉินจะทำอะไร แล้วก็พยักหน้าพร้อมกับลากโจวยู่ชุ่ยเดินออกไปไกลๆ
โจวยู่ชุ่ยก็ยังตั้งสติกลับคืนมาไม่ได้ ลูกเขยของเธอคนนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้จะเปลี่ยนไป
“ให้เวลา10วินาที พาพวกคนงานไสหัวออกไปเสีย ไม่งั้นล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ได้ คุณรับไม่ไหวแน่”
หยางเฉินพูดนิ่งๆ พร้อมกับเดินเข้าไปหาฉินเฟยช้าๆ
“หยางเฉิน กูไม่เข้าใจ เมื่อคืนมึงยังไปหาเรื่องกับตระกูลกวน มึงมีดีอะไรถึงกล้ามาพูดกับกูแบบนี้?” ฉินเฟยก็ได้แต่พูดเรื่องของตระกูลกวน ตนเองถึงจะสบายใจ
“ยังเหลืออีก5วินาที!” หยางเฉินพูดนิ่งๆ อีก
“มึงอยากตายนักรึไง!”
พอเห็นว่าหยางเฉินกำลังเดินเข้ามาหาตนเองเรื่อยๆ ฉินเฟยก็ทนกับแรงกดดันที่หยางเฉินมีต่อตนเองไม่ได้ แล้วใบหน้าก็ร้ายๆ พร้อมพูดกับบอดี้การ์ดว่า “เข้าไปเลย หักแขนขามันให้หมด!”