The king of War - บทที่ 100 ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่
เมื่อได้ยินคำสั่งของหยางเฉิน รถขุดสิบกว่าคันนั้นก็ขับตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉิน
“โครมคราม!”
กำแพงรอบคฤหาสน์หลายสิบเมตรถูกพลิกคว่ำในทันที และในคฤหาสน์ก็เต็มไปด้วยฝุ่น
นายท่านฉินยืนอยู่กับที่โดยที่ไม่กล้าหันไปมอง
“หยางเฉิน นายจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ที่นี่เป็นทรัพย์สินของตระกูลฉิน ทุกคนต้องทำงานหนักมาหลายสิบปีกว่าจะได้มานะ”
“หยางเฉิน ขอร้องแล้วล่ะ ให้โอกาสตระกูลฉินอีกสักครั้งนะ”
“คุณน้าหยางครับ ที่นี่เป็นบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เด็กนะครับ คุณน้าอย่าทำลายมันได้ไหมครับ?”
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ทุกคนในตระกูลฉินต่างก็อ้อนวอนหยางเฉิน
ซึ่งหยางเฉินก็รู้ดีว่าคนที่ผิดคือฉินเฟยกับนายท่านฉิน แต่ไม่ใช่คนอื่นๆ ในตระกูลฉิน
แม้ว่าพวกเขาจะเคยดูถูกหยางเฉินและเคยคิดร้ายกับฉินซี แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เพราะการปลุกปั่นของฉินเฟย
“หุบปากให้หมด!”
นายท่านฉินตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ต่อให้บ้านตระกูลฉินถูกทำลาย ขอเพียงคนของตระกูลฉินหลงเหลือแค่คนเดียว เราก็จะเริ่มต้นใหม่ให้ได้”
แม้เขาจะเป็นคนใจแข็ง แต่เขาสามารถพูดคำนี้ในสถานการณ์แบบนี้ก็ยังถือว่ายังมีสติอยู่
“โครม!”
จากนั้นเสียงอาคารถล่มก็ดังขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุกคน บ้านพักหลังหนึ่งก็พังทลายลงและกลายเป็นซากภายในพริบตา
ในขณะที่ทุกคนในบ้านตระกูลฉินกำลังคิดว่าวิลล่าทุกหลังในนี้จะถูกทำลายทิ้งจนหมด แต่ทันใดนั้น รถขุดสิบกว่าคันก็หันหัวและขับออกไปทันที
รถขุดที่ขับเข้ามาตั้งหลายคันแต่กลับทำลายบ้านแค่หลังเดียว ทุกคนจึงรู้สึกประหลาดใจและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกโล่งอกทันที
เพราะบ้านหลังที่ถูกทำลายนั้นเป็นบ้านของฉินเฟย
นายท่านฉินก็ประหลาดใจเช่นกัน เดิมทีเขาคิดว่าหยางเฉินจะทำลายคฤหาสน์ทั้งหมด ไม่คิดเลยว่าเขามาเยอะขนาดนี้แต่กลับทำลายแค่บ้านของฉินเฟยเท่านั้น
เหล่าผู้บริหารของตระกูลกวนก็สับสนเช่นกัน แต่หลังจากพวกเขารู้ว่าวิลล่าหลังนี้เป็นของฉินเฟยแล้ว ทุกคนต่างก็เข้าใจได้ทันที
หยางเฉินไม่ได้ต้องการจะทำลายตระกูลฉินทั้งหมด เขาเพียงแค่จะสั่งสอนฉินเฟยเท่านั้น
“ความคับข้องใจของผมกับตระกูลฉินจบลงแล้ว!”
หยางเฉินหันหลังแล้วเดินไปทันที แต่ก่อนที่เขาจะเดินจากไปเสียงพูดของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “นับจากวันนี้ ห้ามใครคุกคามตระกูลฉินเพราะผมอีก!”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปขึ้นรถฟ็อลคส์วาเกินแฟตันเพียงลำพัง เหล่าผู้บริหารของตระกูลกวนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัย ซึ่งพวกเขาทุกคนก็รู้ดีกว่าคำพูดของหยางเฉินนั้นเป็นการเตือนพวกเขา
“ฉินคุน คุณว่าคุณโชคดีไปนะ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็คงเป็นจุดจบของตระกูลฉินของคุณแล้วล่ะ”
สวี่เทียนพูดกับนายท่านฉินด้วยความเย็นชา จากนั้นหันหลังแล้วเดินจากไป
ในไม่ช้า เหล่าผู้บริหารคนอื่นๆ ก็เดินจากไป เหลือเพียงสมาชิกครอบครัวของตระกูลฉินที่ยังคงยืนมองกำแพงที่พังทลายด้วยความงุนงง
นายท่านฉินก็ได้แต่แสดงสีหน้าไม่คาดคิด เขาไม่คิดเลยว่าหยางเฉินจะปล่อยตระกูลฉินไปแบบนี้ อีกอย่างเขาได้เตรียมใจไว้แล้ว และการกระทำของหยางเฉินก็เกินความคาดหมายของเขาจริงๆ
หยางเฉินไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำลายคฤหาสน์ตระกูลฉินของเขา แต่ยังตักเตือนเหล่าผู้บริหารของตระกูลกวนด้วยว่าอย่าคุกคามตระกูลฉินของเขา
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ตระกูลฉินก็แค่เสียวิลล่าไปหลังเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
“ข้าผิดเอง!”
หลังจากนั้นสักพัก จู่ ๆ นายท่านฉินก็ถอนหายใจและพูดขึ้นมา เขาอยู่มาเกือบเจ็ดสิบปีแล้ว และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขายอมรับผิด
“ท่านผู้นำครับ ให้ผมไปหาช่างมาซ่อมคฤหาสน์ใหม่ไหมครับ?”
ชายคนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวตระกูลฉินพูดขึ้น
นายท่านฉินส่ายหัวแล้วมองไปที่สมาชิกครอบครัวของตระกูลฉินและพูดว่า “ตราบใดที่ตระกูลฉินของเรายังไม่ได้เป็นหนึ่งในสี่พรรกแห่งเมืองเจียงโจว เราจะไม่เปลี่ยนแปลงที่นี่อย่างเด็ดขาด!”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ เมื่อเห็นความจริงจังและความมั่นใจบนใบหน้าของนายท่านฉิน ทุกคนก็รู้ว่านายท่านฉินนั้นเปลี่ยนไปอย่างแท้จริงแล้ว
“ข้าหวังว่าต่อจากนี้ทุกคนที่เข้าออกที่นี่จะเตือนตัวเองเสมอ อย่าประเมินใครต่ำเกินไป และอย่าไปคิดร้ายกับใครอีก”
นายท่านฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และทุกคนก็เข้าใจแล้วว่านายท่านฉินไม่ได้หมายถึงจะให้พวกเขาจดจำความอัปยศครั้งนี้ แต่จะให้ทุกคนระวังตัวเองและห้ามดูถูกใครอีก
เฉกเช่นเดียวกับเรื่องของหยางเฉิน คนที่เคยเป็นเศษขยะในสายตาของพวกเขา แต่วันนี้มันกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กระทั่งคำพูดคำเดียวของเขาก็อาจสามารถล้มล้างทั้งครอบครัวตระกูลฉินได้
“แล้วเราต้องพาฉินเฟยไปรักษาไหมครับ?” มีคนอีกคนถามอย่างระมัดระวัง
เพราะหยางเฉินเคยบอกแล้วว่าห้ามรักษาฉินเฟย
ดังนั้นแม้นายท่านฉินจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ยังกัดฟันพูด “ไม่ต้องรักษา!”
หลังจากพูดจบเขาก็หันเดินจากไปทันที
เมื่อเห็นนายท่านฉินเดินจากไป สมาชิกครอบครัวตระกูลฉินก็รู้สึกหนักใจมาก
ส่วนหยางเฉินที่ออกจากบ้านตระกูลฉินก็ตรงไปที่ยอดเมฆา
และในขณะเดียวกัน ภายใต้คำสั่งของฉินซี ฉินยีก็ได้ขับรถไปที่ยอดเมฆาด้วยเช่นกัน
บนยอดเขาที่สูงใหญ่นั้น มีพื้นที่เปิดกว้างที่เหมือนถูกตัดเป็นแนวราบโดยเหล่าทวยเทพ ซึ่งทั้งสี่มุมของพื้นที่เป็นกำแพงกระจกสูงล้อมรอบอยู่
ด้านในของกำแพงนั้นมีวิลล่าขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนพระราชวังและยังมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางแจ้งของวิลล่าแห่งนี้ด้วย
วิลล่าหลังนี้มีทั้งหมดสามชั้น เมื่อเข้าไปในประตูก็จะมีถนนเล็กๆ ที่ปูด้วยหินกรวด ซึ่งทั้งสองด้านของถนนจะมีม้านั่งหินยาวเป็นแถว บนม้านั่งหินนั้นจะเรียงรายไปด้วยดอกไม้อันล้ำค่าและบอนไซที่มีรูปทรงต่างๆ
ด้านหลังวิลล่าเป็นที่จอดรถขนาดใหญ่ ซึ่งมีรถหรูรุ่นลิมิเต็ดอันล้ำค่าจำนวนสิบกว่าคันจอดเรียงกันเป็นแถวอยู่
เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ ฉินยีกับโจวยู่ชุ่ยถึงกับรู้สึกฝันไป ทั้งสองเหมือนยายเฒ่าหลิวในเวอร์ชันจริงที่ได้เดินเข้าไปในบ้านแห่งความฝัน
“เสี่ยวซี ที่นี่คือบ้านใหม่ของเราเหรอ?”
โจวยู่ชุ่ยจับแขนของฉินซีแล้วพูดด้วยความตื่นเต้น
“ที่นี่คือบ้านของหยางเฉิน!” ฉินซีปรับความเข้าใจให้เธอ
แม้ฉินยีจะรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อนึกถึงความลึกลับของหยางเฉินแล้ว เธอก็ค่อยๆ เก็บซ่อนความตื่นเต้นในใจ
“เธอยังไม่ได้หย่ากับเขา ครึ่งหนึ่งของวิลล่าหลังนี้ก็เป็นของเธอ”
โจวยู่ชุ่ยพูดอย่างรวดเร็ว ในความคิดเธอเริ่มวางแผนแล้วว่าจะครอบครองวิลล่าหลังนี้อย่างไร
เมื่อฉินซีพาโจวยู่ชุ่ยเข้าไปด้านในวิลล่า ทั้งสองแม่ลูกก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
คฤหาสน์ที่หาดูไม่ได้แม้แต่ในทีวี แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นบ้านของพวกเธอ แล้วจะไม่ให้พวกเธอรู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร?
เมื่อมองลงมาจากหน้าต่างทุกๆ บานในวิลล่าก็จะสามารถมองเห็นทั่วทุกมุมของเจียงโจว
ในขณะนี้ รถโรลส์รอยซ์สีดำค่อยๆ ขับรถไปที่ยอดเมฆา จากนั้นชายหนึ่งหญิงหนึ่งก็เดินลงจากรถ ข้างหลังยังตามด้วยบอดี้การ์ดที่สวมชุดสูทและแว่นกันแดดอีกสองคน
“ที่รักคะ ที่นี่คือบ้านในอนาคตของเราใช่ไหมคะ? แต่ว่า ดูเหมือนมีคนอยู่ที่นี่แล้วนะ!”
สาวงามที่แต่งหน้าจัดคนหนึ่งยืนพิงไหล่ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วน
“ที่นี่คือวิลล่าที่ตระกูลเว่ยของผมเป็นคนบุกเบิกเอง ต่อให้มีคนอยู่แล้วยังไงล่ะ? ถ้าที่รักชอบที่นี่ เราก็ไล่พวกเขาออกไปไง” ชายวัยกลางคนพูดอย่างโอ้อวด
“สามีของฉันใจดีที่สุดเลย!”
หญิงสาวยิ้มแล้วหันไปจูบแก้มของชายอ้วนคนนั้น
ภายในวิลล่า ฉินซีที่กำลังเก็บของอยู่ เมื่อได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านนอก เธอจึงคิดว่าหยางเฉินกลับมาและรีบวิ่งออกไป
แต่ทันทีที่เธอออกไป เธอก็เห็นคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“พวกคุณเป็นใคร?” ฉินซีขมวดคิ้วถาม