The king of War - บทที่ 107 สนทนายามราตรี
หยางเฉินค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลง ด้วยสายตาเลือดเย็น ไม่นาน
“พี่เฉิน ต้องการสืบเรื่องเฉินไห่ต่อมั้ย?”
ได้ยินเสียงในมือถือดังขึ้นอีกครั้ง
“เฉินไห่น่าจะเสียชีวิตแล้วละ เรื่องนี้พอเท่านี้แล้วกัน รอจังหวะไปก่อน ฉันละอยากจะรู้ ว่าใคร จะแสดงตัวออกมาในตอนนี้”
หยางเฉินกล่าวอย่างเน้นย้ำ บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องสืบ เขาก็พอจะเดาได้อย่างคร่าวๆ
เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเจริญก้าวหน้าที่เมืองเยนตูมานานหลายปี อยู่ในการควบคุมของคนในตระกูลอวี่เหวินทั้งหมด ถึงแม้บริษัทจะกลับมาอยู่ในมือของเขา แต่กลับไม่ได้ควบคุมอย่างจริงจังเสียทีเดียว
โดยเฉพาะที่สำนักงานใหญ่ หลายๆคนล้วนเป็นคนที่ตระกูลอวี่เหวินเทรนขึ้นมา
แต่ตัวตนของเขาค่อนข้างลึกลับ นอกจากผู้นำของตระกูลอวี่เหวินและญาติมิตร คนอื่นก็ไม่มีใครรู้
ตอนนี้ตระกูลอวี่เหวินมอบเยี่ยนเฉินกรุ๊ปให้หยางเฉิน สำหรับคนหมู่มาก นี่เป็นการแย่งผลประโยชน์ของพวกเขา แล้วจะปล่อยให้หยางเฉินควบคุมบริษัทง่ายๆได้อย่างไรกัน?
ทุกๆอย่างเป็นไปตามที่หยางเฉินคิดไว้ ลั่วปิงเพิ่งจะไปมอบตัว นักข่าวมากมายก็มาที่บริษัท
ในสถานที่วุ่นวายเหลือเกิน คิดจะปกปิดเรื่องการตายของเผิงกาง เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว
แว็บเดียว ฉินยีที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง ก็ต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอย่างหนัก
ในขณะเดียวกันนี้ หยางเฉินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น รับเสี้ยวเสี้ยวมาเสร็จ ก็ไปรับฉินซีที่ซานเหอกรุ๊ปต่อ
“พ่อคะ เราจะไปไหนเหรอคะ?”
ในขณะที่ไปยอดเมฆา เสี้ยวเสี้ยวพบว่าไม่ใช่เป็นทางกลับบ้านเล็กตระกูล จึงถามอย่างสงสัย
หยางเฉินพลางขับรถ พลางยิ้ม “เสี้ยวเสี้ยว พ่อจำที่หนูพูดได้ ว่าอยากอยู่บ้านที่ประณีตเหมือนพระราชวัง ถูกมั้ย?”
เสี้ยวเสี้ยวพยักหน้า มองไปที่ฉินซี แล้วพูดต่อว่า “เสี้ยวเสี้ยวชอบบ้านหลังใหญ่ แต่บ้านแบบนั้น ต้องมีเงินเยอะจึงจะซื้อได้ เสี้ยวเสี้ยวไม่อยากให้พ่อแม่หาเงินอย่างลำบาก”
ฉินซีน้ำตาคลอเบ้า ไม่คาดคิดว่าลูกสาวจะรู้เรื่องขนาดนี้
หยางเฉินเคยได้ยินเสี้ยวเสี้ยวพูดประโยคแบบนี้มาก่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกครั้ง นอกจากจะเอ็นดูแล้ว ในใจก็ยินดีมากๆอีกด้วย
อย่างน้อยสนองความต้องการอย่างหนึ่งของลูกสาวได้แล้ว
“เสี้ยวเสี้ยว ตอนนี้เราจะไปบ้านใหม่กัน”
ฉินซีจับมือลูกสาว พูดกับเธอด้วยใบหน้าที่อ่อนหวาน
“บ้านใหม่?”
เสี้ยวเสี้ยวหน้าตาสงสัย
“ใช่ บ้านใหม่จ่ะ บ้านใหม่ที่ใหญ่เหมือนพระราชวัง” ฉินซียิ้มพลางกล่าว
เสี้ยวเสี้ยวตาเป็นประกายชัดเจน ส่งเสียงชอบใจ “แม่คะ จริงเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอนจ่ะ เดี๋ยวลูกก็จะรู้เอง”
ฉินซีเห็นท่าทีเสี้ยวเสี้ยวตื่นเต้น ก็ดีใจมาก
เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านเล็กตระกูล โจวยู่ชุ่ยวันๆท่าทางเหมือนมนุษย์ป้า หาเรื่องแทบทุกวัน ทะเลาะข้างล่าง ดังชัดเจนไปถึงข้างบน
เดิมทีเธออยากพาเสี้ยวเสี้ยวออกไปอยู่แล้ว ไม่คิดว่าหยางเฉินจะทำสำเร็จ แล้วยังเป็นคฤหาสน์หรูอีกด้วย
เมื่อกลับถึงยอดเมฆา เสี้ยวเสี้ยวลงจากรถ ก็ตกใจไปกับคฤหาสน์ใหญ่ที่ราวกับพระราชวัง ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “พ่อแม่ พระราชวังจริงๆด้วย! ดีมากเลย เสี้ยวเสี้ยวจะได้อยู่ในพระราชวังแล้ว!”
ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ เสี้ยวเสี้ยวเป็นเหมือนกับนกที่กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ วางเล่นไปรอบๆอย่างไม่หยุด
สองสามีภรรยากำลังมองลูกสาว ที่กระโดดโลดเต้นด้วยสีหน้าพอใจ
ฉินซียังไม่รู้ เกี่ยวกับเรื่องของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป จนกระทั่งสองทุ่ม เห็นฉินยียังไม่กลับมา เธอจึงเริ่มเป็นห่วง “ทำไมเสี่ยวยียังไม่กลับมา?”
เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู ข่าวหน้าหนึ่งของเจียวโจวกำลังแนะนำข่าวมากมายขึ้นมา เป็นข่าวเกี่ยวกับเยี่ยนเฉินกรุ๊ปทั้งหมด
“เยี่ยนเฉินกรุ๊ปฆ่าคนตายเป็นผักปลา บีบคั้นต่อหน้าผู้คน กดดันพนักงานกระโดดตึกตาย!”
“ผู้จัดการทั่วไปของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงโจว เล่นชู้ ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ!”
“ผู้จัดการทั่วไปเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาเจียงโจวถูกจับ คนรักขึ้นตำแหน่งอย่างเร็ว รักษาการผู้จัดการทั่วไป!
ข่าวติดต่อกันมากมาย ล้วนเป็นข่าวของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปทั้งนั้น
ฉินซีเปิดข่าวดู เมื่ออ่านเนื้อข่าวจบแล้ว เธอก็หน้าซีดทันที
มองไปที่หยางเฉินที่กำลังเล่นกับเสี้ยวเสี้ยว แล้วกล่าว “หยางเฉิน ประธานลั่วถูกจับ เสี่ยวยีรักษาการแทนตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เธอรู้แค่ว่าหยางเฉินและลั่วปิงรู้จักกันดี แต่ไม่รู้เกี่ยวกับหยางเฉินและเยี่ยนเฉินกรุ๊ป เธออ่านข่าวเมื่อกี้ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงในข่าวคือฉินยี
“ลั่วปิงมอบตัว เรื่องนี้มีเงื่อนงำ อีกไม่นานเขาจะได้ออกมา แต่ช่วงนี้ เสี่ยวยีต้องเผชิญหน้า จัดการเรื่องทุกอย่างของบริษัท”
หยางฉินกล่าว จากนั้นก็ลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดเสริมว่า “ผมคือประธานของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป! เรื่องการเลื่อนตำแหน่งเสี่ยวยี เป็นความคิดของผมเอง”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ ฉินซีก็นิ่งไป
“ประธานเยี่ยนเฉินกรุ๊ป? คุณเป็นคนของตระกูลอวี่เหวิน?”
ฉินซีรู้ในทันที น้ำตาคลอเบ้า จ้องไปที่หยางเฉินอย่างไม่ละสายตาแล้วถาม “คุณยังมีอีกกี่เรื่อง ที่ยังปิดบังฉันอยู่?”
นอกจากเธอจะเจ็บปวด แล้วยังรู้สึกเศร้าโศกอีกด้วย แม้แต่ฉินยียังรู้ เรื่องของหยางเฉิน มากกว่าที่เธอรู้เสียอีก
หลังจากที่หยางเฉินครุ่นคิด จึงได้กล่าวว่า “เสี่ยวซี ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังคุณ เพียงแต่ไม่อยากให้คุณต้องเผชิญเรื่องนี้กับผม”
“คุณพูดว่าคุณรักฉัน บอกว่าฉันคือภรรยาของคุณ ดังนั้นจึงได้ช่วยฉันมากขนาดนี้ แต่การกระทำทั้งหมดของคุณ เคยมองว่าฉันเป็นภรรยาคุณบ้างมั้ย?”
ทันใดนั้นน้ำตาของฉินซีก็ไหลออกมา ร้องไห้พลางกล่าว “ในสายตาคุณ ฉันเป็นแค่คนที่ร่วมสุข แต่ร่วมทุกข์ไม่ได้งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่นะ ผมจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน?”
หยางเฉินเห็นฉินซีร้องไห้ ก็ร้อนใจขึ้นมา
“คุณรู้มั้ยอะไรคือสามีภรรยา? สามีภรรยาคือมีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน!”
ฉินซีร้องไห้ออกมาแล้วกล่าว “สามีภรรยาจริงๆ ถ้าเจออุปสรรค ต้องผ่านไปด้วยกัน เมื่อมีความสุข ก็เสพมันไปด้วยกัน”
“แต่ไม่ใช่ที่คุณคิดไปเองว่าทำเพื่อฉัน แบบนี้จะมีแต่ทำให้ฉัน รู้สึกห่างกับคุณมากเข้าไปอีก”
หยางเฉินชะงัก เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่ไม่อยากให้ฉินซีคิดมาก ดังนั้นจึงไม่บอกว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับตระกูลอวี่เหวิน
แต่ไม่คาดคิด ว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉินซีต้องการ สิ่งที่ฉินซีต้องการนั้นง่ายมาก นั่นก็คือมีสุขร่วมเสพมันทุกข์ร่วมต้าน
หยางเฉินคิดว่าฉินซียังไม่เปิดใจรับตัวเอง จนกระทั่งฉินซีพูดประโยคนี้ออกมา เขาเพิ่งจะรู้ ว่าในใจของฉินซีตนคือสามีของเธอ
“เสี่ยวซี ผมขอโทษ!”
สักพัก หยางเฉินขอโทษด้วยความจริงใจ จากนั้นก็กล่าว “จากนี้ไป ผมจะไม่ปิดบังอะไรคุณอีกต่อไป!”
ช่วงค่ำคืน เสี้ยวเสี้ยวนอนหลับในอ้อมกอดของฉินซี ภายใต้แสงไฟสลัว สองสามีภรรยานอนไม่หลับ อยู่บนเตียงนานแสนนาน
“คุณแซ่หยาง จะเป็นคนของตระกูลอวี่เหวินได้อย่างไรกัน?”
ฉินซีไม่ได้เป็นผู้หญิงหาเรื่อง ตอนนี้ความโมโหได้หายไปแล้ว จึงได้ไปหาหยางเฉินด้วยตัวเอง
“ตั้งแต่วันนั้นที่ผมและแม่ของผมถูกไล่ออกจากตระกูล ผมจึงได้ใช้นามสกุลของแม่ และตระกูลอวี่เหวิน จะไม่เกี่ยวข้องใดๆกับผมอีกต่อไป”
จู่ๆหยางเฉินก็พูดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่พูดเรื่องในอดีตของตนให้ฉินซีฟัง “เรื่องเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ตอนที่แม่ของผมยังไม่รู้จักคนพวกนั้น ใช้ความน้ำพักน้ำแรงของตัวเองสร้างกิจการขึ้นมา”