The king of War - บทที่ 108 ทางเลือกสองทาง
ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ไม่ทันไร หยางเฉินได้เล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง อย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย ให้ฉินซีฟังทั้งหมด
ฉินซีที่เดิมทีรู้สึกแค้นเคืองคำพูดของหยางเฉิน เมื่อได้ฟังสิ่งที่หยางเฉินเจอมาแล้วนั้น คำพูดแค้นเคืองต่างๆ ก็ได้หายไป
การสนทนาในยามราตรี ทำให้ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาแนบชิดใกล้กันเพิ่มขึ้น
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนเก็บของเรียบร้อย ตอนที่เตรียมกำลังไปออกไปนั้น ได้เห็นฉินยีที่อ่อนล้า กำลังจะออกไปเช่นกัน
“พี่ พี่เขยอรุณสวัสดิ์!”
ฉินยีทักทายก่อน
ฉินซีที่เดิมทีเป็นห่วงฉินยีอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อเห็นฉินยีทักทายก่อน จึงโล่งอก
“เสี่ยวยี ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ฉินซียังคงไม่สบายใจ จึงได้ถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร เมื่อคืนทำงานล่วงเวลาดึกไปหน่อย พักผ่อนไม่เพียงพอ”
ฉินยีบิดขี้เกียจ พูดอย่างแจ่มใส “พี่เขย วันนี้ฉันขอติดรถไปบริษัทด้วย ได้มั้ย?”
หยางเฉินหัวเราะ “ได้แน่นอน!”
หลังจากที่หยางเฉินไปส่งเสี้ยวเสี้ยวและฉินซีเสร็จ จึงค่อยขับรถไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป
ระหว่างทาง ฉินยีกล่าว “พี่เขย ปัญหาของบริษัท โดยส่วนใหญ่ฉันเอาอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ยังยุ่งยากอยู่ ก็คือผู้บริหารระดับสูงผู้ทรงวัยวุฒิมากมาย ไม่ค่อยพอใจ กับการรักษาการแทนผู้จัดการทั่วไปของฉัน”
หยางเฉินพลางขับรถพลางพูด “ในเมื่อตอนนี้คุณรักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป งั้นคุณก็ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างของบริษัท กล้าหน่อย คิดจะทำอะไรก็ทำ ถ้ามีคนไม่พอใจ ก็คิดหาวิธีให้พวกเขายอมรับ ถ้าทำไม่ได้จริงๆ ไล่ออกก็ได้”
สิ่งที่ฉินยีต้องการก็คือคำพูดประโยคนี้ของหยางเฉิน หัวเราะคริคริ“พี่เขย งั้นฉันทำตามใจแล้วนะ! ถ้ามีปัญหา พี่ต้องช่วยฉันนะ”
“เดิมทีคิดว่าคุณจะรับไม่ไหว ตอนนี้ดูๆแล้ว ผมคิดมากไปจริงๆ”
หยางเฉินหัวเราะ แล้วพูดต่อ “ทำตามสบาย ตอนที่ต้องใช้ไม้แข็งต้องห้ามอ่อนข้อเด็ดขาด พยายามเทรนคนที่ตัวเองไว้ใจไว้บ้าง”
ตอนกำลังพูด ได้ขับรถมาถึงที่ด้านล่างของบริษัทแล้ว หลังจากที่ฉินยีลงจากรถ หยางเฉินจึงได้กลับรถแล้วจากไป
เมืองโจวเฉิง ตระกูลหยาง
ในคฤหาสน์หรูหลังหนึ่ง หยางเซี่ยงหมิงผู้นำของตระกูลหยางนั่งบนโซฟา ปิดกาน้ำร้อน เทชาร้อนในแก้วชาให้ตัวเอง
หยางเวยยืนข้างๆเขา แล้วกล่าว “คุณปู่ ถึงแม้ตระกูลกวนล่มสลายแล้ว แต่กิจการในนามของตระกูลกวนยังอยู่ กลับสามัคคีกันอย่างน่าแปลกใจ คิดจะเข้าไปแทรกแซง อย่าหวัง”
หยางเซี่ยงหมิงขมวดคิ้ว “ถึงจะตกต่ำแต่ก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน ยังไงก็เป็นธุรกิจในนามตระกูลกวน ต่อให้ตระกูลกวนล่มสลายแล้ว อยากจะฮุบกิจการตระกูลกวน ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“คุณปู่ จากการตรวจสอบของผม ในนามกิจการของตระกูลกวน ถือว่าเป็นอิสระมาก เดิมทีไม่ควรสามัคคีกันขนาดนี้ ตอนนี้สามัคคีกันเป็นหนึ่ง เทียบกับตอนที่ตระกูลกวนยังมีอยู่ ยังแน่นแฟ้นยิ่งกว่า”
หยางเวยพูดอย่างเคร่งเครียดว่า “ผมสงสัยว่า หยางเฉินเริ่มดำเนินการแล้ว ไม่แน่เขาอาจจะรวบรวมตระกูลกวน ดังนั้นเราจึงไม่มีโอกาส”
เมื่อได้ยินดังนี้ หยางเซี่ยงหมิงไม่พูดอะไร ดื่มน้ำชาเข้าไป หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก จู่ๆก็กล่าวขึ้นมา “น่าจะไม่ใช่นะ แต่เพราะแกหาโอกาสดีที่สุดไม่ได้ต่างหาก เมื่อวานบ่ายเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเพิ่งจะเกิดเรื่อง วันนี้ข่าวได้ขึ้นหน้าหนึ่งไปหลายสำนัก เกรงว่าไอ้เด็กนั่นกำลังวุ่นวาย ตอนนี้ถึงจะเป็นโอกาสของเรา”
ทันใดนั้นสายตาของหยางเวยก็เป็นประกายขึ้นมา “คุณปู่ วางใจได้ ผมจะไปคุยกับคนรับผิดชอบในธุรกิจต่างๆในนามของตระกูลกวนเดี๋ยวนี้”
ในขณะเดียวกัน ณ แดนประหารเจียงโจว ในห้องขังห้องหนึ่ง
ผู้เฒ่าผมขาวที่สวมชุดนักโทษ กำลังนั่งอยู่ในมุม ตัวสั่น
“ไอ้แก่ กูเจ็บหลัง ทุบๆหลังให้กูหน่อยสิ”
ชายวัยกลางคนที่อยู่เตียงชั้นบนข้างๆ อายุสี่สิบกว่าปี ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ กำลังมองไปที่ผู้เฒ่าอย่างมีเลศนัย
ข้างๆชายวัยกลางคน มีคนหลายคนห้องล้อมอยู่ บ้างก็กำลังนวดเท้าให้ชายวัยกลางคน บ้างก็กำลังนวดแขน ชายวัยกลางคนกำลังนอนอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าครื้นเครง
ผู้เฒ่าตัวสั่น รีบยืนขึ้นแล้วเดินไป
ตั้งแต่เขาถูกขังในห้องขัง ทุกๆวันมีชีวิตอย่างระมัดระวัง ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขาถูกต่อยไปหลายครั้งแล้ว
คนที่ถูกขังอยู่ในนี้ คือนักโทษประหารทั้งหมด ไม่มีทางให้เกียรติเด็กและคนชรา
เมื่อเทียบกับชีวิตที่สูงส่งที่ผ่านมา ที่นี่มันคือนรกชัดๆ เขาในตอนนี้ เต็มไปด้วยความเสียใจ
เขาเพิ่งจะทุบหลังให้ชายวัยกลางคนไปไม่กี่ครั้ง ชายวัยกลางคนก็โมโห “มึงแม่งออกแรงหน่อยได้มั้ยวะ?”
“มึงไปสอนมัน ว่าต้องออกแรงยังไง” ชายวัยกลางคนสั่งวัยรุ่นโทษประหารที่อยู่ข้างๆ
นักโทษประหารวัยรุ่นหัวเราะ ยกมือขึ้นแล้วต่อยไปที่อกของผู้เฒ่า โดยไม่ไว้หน้าแต่อย่างใด
ผู้เฒ่าเจ็บจนคร่ำครวญ
ในขณะเดียวกันนี้เอง ผู้คุมเรือนจำคนหนึ่งเปิดห้องคุมขัง กล่าวอย่างสงบ “กวนเจิ้งซาน ออกมา!”
กวนเจิ้งซานที่ถูกเอาตัวไปนี้ เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีพอดี
ไม่นาน กวนเจิ้งซานถูกนำตัวไปห้องรับรอง ตอนที่เขาเห็นคนที่คุ้นเคยคนนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“คุณหยาง ผมผิดไปแล้ว ผมมีตาแต่หามีแววไม่ ได้โปรดไว้ชีวิตผมเถอะนะ ผมไม่กล้าเป็นศัตรูกับคุณอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อกวนเจิ้งซานเห็นหยางเฉิน ก็คุกเข่าลงกับพื้น คำนับยอมรับผิดอย่างรุนแรงกับพื้น ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานหน้าผากแตก เลือดไหลออกมา
“กวนเจิ้งซาน วันนี้ที่ผมมา ก็เพื่อให้โอกาสคุณ แต่ก็อยู่ที่คุณว่าจะคว้าโอกาสไว้มั้ย”
หยางเฉินกล่าวอย่างสงบ
เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องนี้จะจัดงานไม่ง่ายขนาดนั้น แต่เมื่อดูจากท่าทางที่กวนเจิ้งซานกลัวตน ทุกอย่างจะราบรื่น
กวนเจิ้งซานดีใจ รีบกล่าว “คุณหยาง เพียงแค่คุณเอาผมออกไปจากที่บ้าๆแบบนี้ จะให้ผมทำอะไร ผมยอมทำทุกอย่าง”
เขาที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติและร่ำรวยเงินทองมาตลอดชีวิต จะเคยมีประสบการณ์แบบนี้ได้อย่างไรกัน?
“ตอนนี้ ผมมีสองข้อให้คุณเลือก ดูว่าคุณจะเลือกข้อไหน”
หยางเฉินยิ้ม กล่าว “ข้อแรก ผมพาคุณออกไป แต่คนตระกูลกวนคนอื่นๆ ต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป ข้อสอง ผมให้คุณตาย แล้วคนอื่นๆของตระกูลกวน ก็ออกไปจากที่นี่”
“ให้เวลาคุณคิดสิบวินาที จากนั้นให้คำตอบผม!”
“ผมเลือกข้อสอง คุณฆ่าผมเถอะ!”
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินแปลกใจคือ เขาเพิ่งบอกตัวเลือกทั้งสองข้อไป กวนเจิ้งซานได้เลือกข้อสองทันที
“เหรอ? คุณแน่ใจ?”
หยางเฉินถามอย่างมีเลศนัย
“คำถามปรนัยง่ายๆ ยังต้องครุ่นคิดด้วยเหรอ? ผมกวนเจิ้งซานทำอะไรโดยพลการมาโดยตลอด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมาตลอด แต่ไม่ได้เป็นคนที่ไร้คุณธรรม”
กวนเจิ้งซานยิ้มขมขื่น “ถ้าเอาชีวิตของผม แลกกับความเป็นอิสระของเหล่าลูกหลานของตระกูลกวน ผมยอม”
“ผมพอใจ กับคำตอบของคุณมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะให้โอกาสตระกูลกวนของคุณอีกครั้ง ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย”
หยางเฉินยิ้มออกมา ยืนขึ้น สั่งผู้คุมที่อยู่ข้างๆ “ปล่อยคนของตระกูลกวน ทั้งหมด!”