The king of War - บทที่ 1227 ความทุกข์ของหวูหยา
เมืองราชวงศ์ต้วน วังราชวงศ์ต้วน มีบ้านสไตล์โบราณหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ตามลำพัง
ภายในห้อง มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ที่นุ่มสบายหญิงสาวในชุดเรียบง่ายกำลังเช็ดใบหน้าคมสันของชายหนุ่มด้วยผ้าขนหนูอ่อนนุ่มชุ่มน้ำ
“นี่ก็สามวันแล้ว คุณจะนอนจนถึงเมื่อไหร่?”
หลังจากเช็ดใบหน้าของชายหนุ่มเสร็จแล้ว หญิงสาวก็นั่งที่ขอบเตียง เอามือเท้าคาง จับจ้องไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มและพูดกับตัวเอง
“หล่อจริงๆ!”
ภายในดวงตาอันมีเสน่ห์ของหญิงสาวเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มุมปากวาดโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างสวยงาม
สามวันที่ผ่านมา เธอดูแลชายหนุ่มอยู่ตลอด ทุกวันเธอจะคอยอยู่เคียงข้างเขาและพูดกับตัวเอง แต่ชายหนุ่มก็ยังนอนอยู่บนเตียง
ถ้าไม่ใช่เพราะหมอเทวดาประจำตระกูลเคยตรวจและบอกว่าชายหนุ่มยังมีชีวิตอยู่ เธอต้องคิดว่าเขาเป็นคนตายแล้วแน่ๆ
ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหยางเฉินที่ต้วนหวูหยาเป็นคนพามาที่ราชวงศ์ต้วน
“เขาหล่อไหม?”
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น หญิงสาวสะดุ้งโหยงในทันที ใบหน้าน้อยๆ อันบอบบางเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ
“พ่อคะ ท่านมาแล้ว ทำไมมาเงียบๆ ล่ะคะ?”
หญิงสาวพูดอย่างเขินอาย
“ฮ่าฮ่า…”
ชายวัยกลางคนหัวเราะลั่น จ้องมองลูกสาวด้วยรอยยิ้ม “หยู่เยียน ถ้าให้ลูกแต่งงานกับเขา ลูกจะยินดีไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อ ต้วนหยู่เยียนก็หน้าแดงขึ้นกว่าเดิม เธอก้มศีรษะพลางตอบว่า “ฉันยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่เคยทำความรู้จักกับเขามาก่อน แล้วฉันจะแต่งงานกับเขาได้ยังไง?”
“นั่นก็หมายความว่า หากลูกรู้ว่าเขาเป็นใคร หลังจากได้ทำความรู้จักกับเขาแล้ว ลูกจะไม่ปฏิเสธเขา จะยินดีแต่งงานกับเขาใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนถามด้วยรอยยิ้ม
“พ่อคะ!”
ต้วนหยู่เยียนรู้สึกเขินอายมากยิ่งขึ้น ดวงตาอันทรงเสน่ห์ระยิบระยับเต็มไปด้วยความเขินอาย “ฉันจะไปชงชาให้ท่านนะคะ!”
พูดจบเธอก็เดินหนีออกไป
หลังจากที่เธอออกไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็นั่งลงที่ขอบเตียงและมองดูหยางเฉินที่ยังหลับสนิทอยู่ พลางถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “คุณหยาง เมื่อไหร่คุณจะฟื้นขึ้นมาสักที?”
“หมอเทวดาจากราชวงศ์ต้วนได้มาตรวจให้คุณแล้ว บอกว่าสภาพร่างกายของคุณดีมาก ไม่น่าจะยังหลับสนิทอยู่”
“ถ้าฉันไม่รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง ก็อาจจะคิดว่าคุณกำลังแกล้งทำอยู่”
ชายวัยกลางคนไม่ใช่ใครอื่น เขาคือต้วนหวูหยา ทายาทของราชวงศ์ต้วน
เมื่อสามวันก่อน หลังจากที่เขาพาหยางเฉินมาถึงราชวงศ์ต้วน ก็จัดให้หยางเฉินอยู่ในห้องเล็กๆ นี้ และมอบหยางเฉินให้อยู่ในการดูแลของต้วนหยู่เยียนผู้เป็นธิดา
เขามาเยี่ยมหยางเฉินด้วยตัวเองทุกวัน แต่ก็ไม่เห็นว่าหยางเฉินจะฟื้นขึ้นมา มันทำให้เขารู้สึกค่อนข้างเป็นกังวล
“พ่อคะ เขาเป็นใครกันแน่?”
ในเวลานี้ ต้วนหยู่เยียนได้เดินเข้ามาพร้อมกับชาหลงจิ่งชั้นดี เธอยื่นถ้วยชาให้ต้วนหวูหยาแล้วถามขึ้น
ดวงตาของต้วนหวูหยาค่อยๆ ลุ่มลึกขึ้น “เขาเป็นตำนาน!”
“ตำนาน?”
ต้วนหยู่เยียนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ
ในฐานะที่บิดาเป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในด้านวิถีบู๊ของราชวงศ์ต้วน และเป็นทายาทของราชวงศ์ต้วนด้วย ในฐานะลูกสาว เธอนั้นรู้ดีกว่าใครๆ ว่าน่าภาคภูมิใจแค่ไหน
ต้วนหวูหยาเคยพูดเยินยอคนอื่นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แถมยังเป็นชายหนุ่มที่มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น
ต้วนหวูหยาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ความสามารถด้านวิถีบู๊ของพ่อสามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้วน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณหยาง ความสามารถของผมมันก็เป็นแค่ขยะเท่านั้น”
“อะไรนะ?”
ต้วนหยู่เยียนตกตะลึง เธอย่อมรู้ดีว่า ต้วนหวูหยามีความสามารถด้านวิถีบู๊ที่แข็งแกร่งเพียงใด หลังจากผ่านไป 50 ปี เขาก็ได้ครอบครองความสามารถวิถีบู๊ระดับแดนเทพชั้นปลายแล้ว ต่อให้ลองมองไปที่ราชวงศ์ทั้งสี่ เขาก็ยังเป็นผู้ที่มีความสามารถด้านวิถีบู๊แข็งแกร่งที่สุด
แต่ตอนนี้เขากลับบอกว่าความสามารถในด้านวิถีบู๊ของตัวเอง เป็นแค่ขยะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางเฉิน
“ท่านพ่อ เขาเก่งกาจมากไหม?”
ต้วนหยู่เยียนเริ่มเกิดความสนใจในตัวหยางเฉินอย่างมาก
“แข็งแกร่งกว่าพ่อของลูกมาก บางทีแม้แต่ปู่ของลูกก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา”
ต้วนหวูหยากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
คำพูดเหล่านี้ถือว่าเบาแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่ากษัตริย์ต้วนเป็นยอดฝีมือแดนเทพชั้นยอด แต่เขาก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่า หยางเฉินตัวคนเดียวก็สามารถเอาชนะยอดฝีมือแดนเหนือมนุษย์ของเมืองเหมียวได้
บางทีต่อให้เป็นกษัตริย์ต้วนบิดาของเขา ก็ยังห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของหยางเฉิน
เมื่อต้วนหยู่เยียนได้ยินคำพูดของต้วนหวูหยาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นระส่ำ
“แม้แต่ท่านปู่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขางั้นหรือ?”
ต้วนหยู่เยียนพึมพำกับตัวเอง เมื่อเธอมองไปที่หยางเฉิน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ
“แม่ของลูกจากไปเร็ว แม้ว่าพ่อจะเป็นทายาทของกษัตริย์ต้วนในตอนนี้ แต่ยิ่งสถานะของพ่อสูงเท่าไหร่ สถานการณ์ของเขาก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
ทันใดนั้นต้วนหวูหยาก็พูดด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “สิ่งที่พ่อกลัวที่สุดคือ วันหนึ่งลูกจะตกอยู่ในอันตรายและไม่มีใครปกป้องลุก แล้วควรทำอย่างไรดี?”
“ท่านพ่อ!”
สองตาของหยู่เยียนแดงก่ำ ดวงตาอันทรงเสน่ห์พร่ามัว พลางเอ่ยปากว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าพูดเป็นลางไม่ดีอย่างนั้นสิ”
“ได้ ไม่พูด พ่อไม่พูดแล้ว!”
ต้วนหวูหยากล่าวขึ้น
คนอื่นต่างรู้สึกอิจฉาที่เขาอยู่ในฐานะทายาทของราชวงศ์ต้วน แต่มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่า สถานการณ์ของตนอันตรายแค่ไหน
คนอยู่ที่สูงมักหนีไม่พ้นความว้าเหว่ บางทีอาจจะหมายถึงแบบที่เขาเป็น
เขาอยู่ในฐานะทายาทของราชวงศ์ต้วน ผู้คนมากมายต่างจ้องมองมาที่เขา หากเขาทำผิดพลาด สิ่งที่ต้องเผชิญต่อไปก็คือหายนะ
ผู้คนนับไม่ถ้วนคิดจะเหยียบย่ำเขา รวมทั้งพี่น้องของเขาด้วย แต่นี่ก็คือความเศร้าใจของคนที่เป็นพระโอรส
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเป็นอัจฉริยะด้านวิถีบู๊อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้วน ที่มีพลังแห่งความเป็นศัตรูและอยากให้เขาตายด้วย
เขาต้องตายเท่านั้น จึงจะสามารถตัดคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งของพวกเขาได้
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงพยายามพาหยางเฉินมารับการรักษาที่ราชวงศ์ต้วน เมื่อหยางเฉินหายเป็นปกติแล้ว มันจะเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิต
เท่าที่เขารู้จักหยางเฉิน หยางเฉินจะให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นอะไรไปจริงๆ หยางเฉินจะต้องคุ้มครองความปลอดภัยให้ต้วนหยู่เยียนได้แน่นอน
เมื่อสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าของพ่อ ต้วนหยู่เยียนก็จับมือพ่อของเธอแน่นและฝืนยิ้ม “ท่านพ่อ อย่าคิดมาก หยู่เยียนภูมิใจมากที่มีพ่อที่ยิ่งใหญ่อย่างท่าน”
ต้วนหวูหยายิ้มเล็กน้อยและมองไปที่หยางเฉินซึ่งนอนอยู่บนเตียง พลางพูดว่า “คุณหยาง เมื่อไหร่คุณจะฟื้นขึ้นมาสักทีล่ะ?”
ในขณะเดียวกัน หยางเฉินซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงใหญ่ได้พยายามลืมตา แต่ก็ไม่สำเร็จ
อันที่จริงเมื่อสามวันก่อนที่เพิ่งถูกต้วนหวูหยาพามาที่ราชวงศ์ต้วน เขาได้สติแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้สักที
ต้วนหยู่เยียนอยู่ข้างกายเขาทุกวันและพูดกับเขา ในช่วงเวลานี้ ต้วนหยู่เยียนได้บอกความลับมากมายที่มีเพียงเธอที่รู้ให้ฟัง หยางเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดอยู่ในใจ
สิ่งที่ทำให้เขาอายที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่ต้วนหยู่เยียนเช็ดตัวให้เขา เขารู้สึกราวกับว่าถูกแก้ผ้าและอึดอัด
แต่เขาก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ จำต้องทนทรมานอยู่
“ท่านพี่ ท่านนี้คือหยางเฉินที่สร้างชื่อผงาดฟ้าในการแข่งขันชิงตำแหน่งคิงแห่งเยี่ยนตู เขาคือคุณหยางใช่ไหม?”
และในเวลานี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดจีนโบราณได้เข้ามาพร้อมกับคนของเขา เขามองไปที่หยางเฉินซึ่งนอนอยู่บนเตียงใหญ่และถามด้วยรอยยิ้ม