The king of War - บทที่ 1258 ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
เวลานี้ฉินต้าหย่งรู้สึกว่าฉินซีเพ้อเจ้อไปเรื่อย หัวเราะบอกว่า “นี่คือลูกเห็นหยางเฉินเหนื่อยเกินไป เลยไม่วางใจอยู่บ้างเหรอ?”
ฉินซีมองทางต้วนหวูหยา พูดแบบทำหน้าอ้อนวอน “คุณอาต้วน ถือว่าหนูขอร้องคุณนะคะ ให้หนูเข้าไปหน่อย แค่ดูสักแวบได้หรือเปล่าคะ?”
“ถ้าเขาอยู่ หนูจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนเขาเลย จะออกมาเงียบๆ”
“หนูเพียงแค่อยากจะยืนยันว่าเขาอยู่บนเครื่องบินก็พอค่ะ!”
เห็นฉินซีท่าทางแบบนี้ ในใจต้วนหวูหยาตื่นตระหนก รีบบอกว่า “คุณฉิน คุณจริงจังไปแล้ว!”
“ไม่ใช่ผมไม่ให้คุณเข้าไปนะครับ แต่ว่าคุณหยางสั่งไว้ ไม่อนุญาตใครคนใดเข้าไปครับ ผมเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหยาง หวังว่าคุณฉินอย่าทำให้ผมลำบากใจเลยครับ”
เขาได้เพียงพูดแบบนี้
เดิมทีฉินยีที่ยังคิดว่าไม่มีอะไร เวลานี้ก็รู้สึกไม่ปกติอย่างมาก มองทางต้วนหวูหยาถามว่า “คุณอาต้วน พี่สาวหนูเพียงแค่อยากเข้าไปดูสักหน่อย ก็ไม่ได้เหรอคะ?”
“หรือว่า แม้แต่เธอที่เป็นภรรยาคนนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปดูเขาสักหน่อย?”
ท่าทีต้วนหวูหยายังคงแน่วแน่ ส่ายหน้าแล้ว “ขอโทษครับ!”
เห็นต้วนหวูหยาที่แทบจะไร้จิตใจ ทันใดนั้นฉินซีหมดหวังอยู่บ้าง
“หลบไป!”
ฉินยีไม่มีทางยอมรับได้ ตะโกนใส่ต้วนหวูหยา “คุณหลบไปให้หนูเดี๋ยวนี้!”
ต้วนหวูหยาไม่ขยับ เหมือนตึกเหล็กแห่งหนึ่ง ปล่อยฉินยีออกแรงผลัก เขาก็ไม่ขยับสักนิด
“พี่เขย!”
ฉินยีตะโกนเรียกขึ้นฉับพลัน “พี่เขย สรุปพี่ทำอะไรอยู่? ทำไมไม่ให้พวกเราเข้าไป?”
“พี่เขย พี่ได้ยินไหม?”
“ถ้าพี่ได้ยินแล้ว พี่รีบออกมาสิ!”
เห็นฉินยีร้องตะโกนเสียงดัง ต้วนหวูหยาทำหน้าตกตะลึง
เขาขวางประตูของห้องพักผ่อนไว้ กลับไม่มีทางห้ามฉินยีแหกปากตะโกนได้
แต่ทว่า ไม่ว่าฉินยีจะร้องตะโกนอย่างไร กลับไม่มีการตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
น้ำตาของฉินซี ในชั่วขณะนั้นไหลทะลักอย่างกับเขื่อนแตก “หยางเฉิน สรุปคุณอยู่ที่ไหน?”
ฉินยีทำหน้าอึ้งทึ่ง “พี่เขย เขาไม่อยู่จริงๆ?”
หล่อนตะโกนเสียงดังขนาดนั้นแล้ว หยางเฉินไม่ตอบรับใดกลับมา ได้เพียงอธิบายว่า หยางเฉินไม่อยู่
ฉินต้าหย่งก็ตะลึงแล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วกันแน่? หยางเฉินไม่ใช่ว่าขึ้นเครื่องมาด้วยกันกับพวกเราเหรอ? ทั้งที่พ่อมองเห็นว่าเขาไปห้องพักผ่อนแล้ว!”
เห็นหลายคนนี้อยู่ในความเสียใจ ต้วนหวูหยากัดฟันแน่น ดวงตาแดงพอสมควร เอ่ยปากบอกกะทันหัน “คุณหยาง ไม่อยู่บนเครื่องบินจริงๆ ครับ!”
“หยางเฉิน!”
ฉินซีร้องไห้ตะโกนทีหนึ่ง พุ่งเข้าไปในห้องพักผ่อนโดยตรง
แต่ทว่าในห้องพักผ่อน ว่างเปล่าไร้ผู้คน มีเงาของหยางเฉินอยู่ที่ไหน?
ฉินยีและฉินต้าหย่งก็รีบวิ่งเข้ามาเหมือนกัน ทันใดนั้นตกใจค้าง
“คุณอาต้วน สรุปเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ หยางเฉินไปที่ไหนแล้ว? ขอร้องคุณบอกหนูมา ได้หรือเปล่าคะ?”
ฉินซีมองไม่เห็นหยางเฉิน ใกล้จะเป็นบ้าแล้ว อารมณ์ฮึกเหิมอย่างยิ่งสอบถามเสียงดัง
“เขาไปแล้ว!”
เงียบงันอยู่นาน ต้วนหวูหยาเอ่ยปากบอกมาสามคำ
“ไปแล้ว? เขาไปที่ไหน? ทำไมต้องไป?”
ฉินซีอารมณ์ฮึกเหิมไร้ที่เปรียบ ตะโกนว่า “สรุปเขาอยู่ที่ไหน? คุณบอกหนูมาเร็ว เขาอยู่ที่ไหนกันแน่?”
“คุณอาต้วน หนูขอร้องแหละ หนูคุกเข่าให้คุณก็ได้ คุณบอกหนูเถอะค่ะ สรุปเขาไปที่ไหนแล้ว ขอร้องบอกหนูหน่อย ได้หรือเปล่า?”
ฉินซีพูดอยู่ กำลังจะคุกเข่าลง
“คุณฉิน ไม่ต้องครับ!”
ต้วนหวูหยารีบดึงฉินซีขึ้นมาแล้ว เห็นฉินซีที่อารมณ์ฮึกเหิม ในใจเขาก็ทุกข์ใจมากเหมือนกัน
“คุณรีบบอกมาสิ สรุปพี่เขยหนูไปที่ไหนแล้ว?”
ฉินยีหวาดผวาแล้ว สอบถามไปยังต้วนหวูหยา
“คุณหยาง ผิดใจบุคคลใหญ่โตที่เก่งกาจมากคนหนึ่งครับ แม้แต่เขาก็ไม่มีความมั่นใจจะรับมือ ดังนั้นเขาจึงจัดการให้ผมติดตามคุ้มครองอยู่ข้างกายพวกคุณ”
ในที่สุดต้วนหวูหยายอมเอ่ยปาก พูดจาเสียงแข็ง “อยู่ด้วยกันกับพวกคุณ ได้แต่จะพลอยทำพวกคุณลำบากด้วย ดังนั้น เขาเลยออกไปจากเมืองเยี่ยนตูแล้ว ไปยังสถานที่ที่ใครก็หาไม่เจอครับ”
“รอหลังจากผ่านพ้นวิกฤติ เขาจะมาหาพวกคุณครับ”
ต้วนหวูหยาพูดกึ่งจริงกึ่งหลอก
ถ้าเกิดบอกฉินซีพวกเขาไปว่า ครั้งนี้ หยางเฉินฝ่าอันตรายรอดตามหวุดหวิด พวกเขาต้องยอมรับไม่ได้แน่
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้ฉินซีไม่มีทางรับได้เหมือนกัน
“หยางเฉิน คนสารเลว! คุณบอกว่าชาตินี้คุณจะไม่จากฉันกับลูกสาวไปอีกแล้ว คุณหลอกฉัน คุณหลอกฉัน……”
หลังฟังคำพูดของต้วนหวูหยา ฉินซีอ่อนยวบไปทั้งตัว ร้องห่มร้องไห้เสียงดัง
ในความคิดเธอ หยางเฉินคือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งไหนทำไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรไม่มีปัญหาที่เขาจัดการไม่ได้
แต่ปัจจุบันนี้ คาดไม่ถึงหยางเฉินหลอกพวกเขาไปจากเมืองเยี่ยนตู พอจะอธิบายได้ว่า ศัตรูที่เจอในครั้งนี้ แกร่งมากแค่ไหน
ในขณะเดียวกัน เครื่องบินส่วนตัวที่หยางเฉินโดยสารไป ค่อยๆ แล่นลงที่สนามบินนานาชาติหนิงโจว
“ยังมีเวลาอีกห้านาที!”
หลังเดินลงเครื่องบิน หยางเฉินมองดูเวลา ยังเหลืออีกห้านาที สายการบินนานาชาติที่อู่หยู่หลานโดยสารมา ก็จะถึงแล้ว
เพิ่งถึงห้านาที เสียงคำรามดังขึ้นครู่หนึ่ง เครื่องบินลำหนึ่งแล่นลง
ในชั่วพริบตาเดียว แรงกดดันวิถีบู๊ที่น่าสะพรึงกลัว ระเบิดออกมาจากบนตัวของหยางเฉิน
เหตุผลที่เขามาหนิงโจว ก็คืออยากขัดขวางอู่หยู่หลาน ถ้าเกิดเขาปลดปล่อยแรงกดดันวิถีบู๊ อู่หยู่หลานต้องสามารถสัมผัสได้แน่นอน
ตามคาด ในเวลานี้ แรงกดดันวิถีบู๊ที่น่าสยองขวัญยิ่งกว่า แพร่กระจายออกมาจากในเครื่องบิน ชั่วพริบตาเดียวล็อกตัวหยางเฉินไว้
ห้านาทีต่อมา ยอดของภูเขาหนิง ภาพคนสองคน แยกกันยืนอยู่สองข้าง
“คือนาย ที่ฆ่าลูกชายฉัน?”
อู่หยู่หลานมองทางหยางเฉินด้วยท่าทางดุร้ายพลันถามขึ้น
เธอรู้ว่า คนที่ฆ่าต้วนหวูเหยียนคือผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ที่อายุเพียงยี่สิบแปดปีคนหนึ่ง ถึงแม้หยางเฉินจะไม่ได้เผยสถานะตนเอง แต่กลิ่นอายวิถีบู๊ที่ตลบอบอวลอยู่บนตัว เป็นแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งจริง
ง่ายมาก เธอเดาสถานะของหยางเฉินออกแล้ว
“ต้วนหวูเหยียน เขาสมควรตาย!”
หยางเฉินพูดด้วยท่าทางสงบนิ่ง และถือว่าตอบกลับอู่หยู่หลานไปด้วย
“นายวอนหาที่ตาย!”
ชั่วขณะนั้นอู่หยู่หลานโมโหเดือดดาล ลักษณะพลังวิถีบู๊ที่น่าสยองขวัญ กระจายออกมาจากบนตัวเธอ ปกคลุมหยางเฉินในชั่วพริบตา
แกร่งเหมือนหยางเฉิน เวลานี้ยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่มหาศาลอย่างยิ่ง บนไหล่ทั้งสองข้าง ราวกับภูเขายักษ์ลูกหนึ่งทับไว้
นี่คือความสามารถที่ปรามปราบโดยสมบูรณ์ ถึงมีความรู้สึกแบบนี้ได้
เส้นทางของวิถีบู๊ ผู้ที่อยู่แดนสูง แรงกดดันวิถีบู๊ของตัวมันเอง สามารถสร้างแรงกดดันมากมาย ให้แก่ผู้อยู่แดนต่ำได้
“ปึง!”
หินยักษ์ก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงเท้าอู่หยู่หลาน พังทลายฉับพลัน
“ไอ้หนุ่ม ฉันไม่ฆ่าพวกกระจอกหรอกนะ บอกฉันมา สรุปนายเป็นใคร?”
อู่หยู่หลานมองทางหยางเฉินแบบหน้าตาดุร้าย สอบถามเสียงโมโห
ถึงแม้เธออยากจะฆ่าหยางเฉินแล้วก็ตาม แต่รู้ดีว่า ผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งอายุน้อยเช่นนี้ ต้องมีเบื้องหลังใหญ่แน่
ถ้าฆ่าหยางเฉินทิ้ง จะนำหายนะมาสู่ราชวงศ์อู่ บางทีเธออาจสามารถปล่อยวางความแค้นลงชั่วคราวได้
หยางเฉินทำหน้าขมขื่น เขารู้ดีแน่นอนเช่นกัน อู่หยู่หลานถามถึงสถานะเขา เนื่องจากหวาดกลัว
แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะมีเบื้องหลังอะไรได้
“ผมเป็นใคร คุณยังไม่มีสิทธิ์รู้!”
หยางเฉินพูดจาเสียงเย็นชา
ปัจจุบัน คาดไม่ถึงเขามาถึงขั้นที่ต้องใช้อิทธิพลคนอื่นมาขู่ขวัญใคร
ขอเพียงให้เวลาเขาอีกสักระยะหนึ่ง ความสามารถของเขาจะต้องพัฒนาขึ้นหมดแน่
ต่อให้ทะลวงสู่แดนเหนือมนุษย์ขั้นสองได้ คงไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำเหมือนอย่างตอนนี้