The king of War - บทที่ 1313 เจ้าจะปฏิเสธหรือ
“ฆ่ามัน!”
หยางเฉินตะโกนก้อง พุ่งใส่เข้าไปหาหลงเยว่
“ปึง!”
แต่ที่เขาพุ่งไปยังไม่ทันได้ถึงข้างหน้าหลงเยว่ หลงเยว่ก็ปรากฏอยู่ตรงข้างหน้าเขาแล้ว ชัดขาถีบออกไป หยางเฉินพลันรู้สึกว่าหน้าอกยุบเข้าไป ตัวร่างกระเด็นลอยออกไปกว่าสิบเมตร
แค่โดนสวนกลับมา ยังไม่มีปัญญาต้านรับเลยหรือ?
หยางเฉินกระอักเลือดพุ่งออกจากปาก สีหน้าให้เห็นซีดไปอย่างชัด
“สภาพแกตอนนี้ ที่ให้ข้ามองนะ มันก็ไอ้มดปลวก จะเอาอะไรมาสู้กับข้า?”
ขณะที่หลงเยว่มองหยางเฉิน แววตามีแต่ความหยามเหยียด
หยางเฉินกัดฟันแน่น ดิ้นรนคลานลุกขึ้น มองไปที่หลงเยว่ สายตาคงเต็มด้วยความมุ่งมั่น “มาอีกเลย!”
ตามติดกับคำพูดที่หยุดลง เขาพุ่งใส่เข้าไปที่หลงเยว่อีก
“ปึง!”
ยังไม่ทันได้แตะถูกตัวหลงเยว่ ยังคงถูกซัดกระเด็นลอยออกไป
“ปึง ปึง ปึง!”
ติดตามมาอย่างกระชั้น เสียงตามมาอีกหลายครั้ง หยางเฉินเหมือนคนไม่รู้จักตาย โถมเข้าใส่หลงเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า และแต่ละครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ถูกกระแทกลอยออกไป
“หยางเฉิน ความกล้าหาญของแกน่านับถือมาก แต่มันเปลี่ยนใจข้าไม่ได้ การจะต้องฆ่าแกคือเรื่องจริงที่ข้าต้องทำ”
หลงเยว่ยืนตรงหน้าหยางเฉิน ความหยิ่งผยองเต็มหน้า พูดออกไปอย่างเย็นเยือกว่า “ชาติหน้า แกต้องจำไว้ว่าอย่าได้มาวุ่นวายกับคนในตระกูลราชวงศ์หลงอีก!”
จบเสียงพูด เขาก็ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง เล็งไปที่กะโหลกหัวเก็บสมองของหยางเฉินแล้วกระทืบลงไป
ในชั่วพริบตานั้นเอง ความโกรธเกรี้ยวในใจหยางเฉิน เดือดพล่านฉีดพลุ่งขึ้นมา
พลังบูโดในตัวระเบิดออก สิ่งน่าสะพรึงกลัวแผ่อานุภาพออกมาในวินาทีนั้น
“บรึม!”
เห็น ๆ อยู่กับการกระทืบใส่กำลังจะลงถึง พลันหยางเฉินใช้หมัดขวาที่อัดพลังไว้เต็ม พุ่งสวนออกไปเต็มแรง
“บรึม!”
หมัดที่หยางเฉินอัดออกไป กระแทกใส่ฝ่าเท้าของหลงเยว่ที่กระทืบลงมา
หลงเยว่ไม่ได้ไปคิดถึงเลยว่า หยางเฉินจะมีการตอบโต้อย่างน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ หลังจากที่ได้อัดหยางเฉินกระเด็นไปหลายครั้ง เขาก็ได้คลายความระวังตัวลง
หลงเยว่ที่ขาดการระวังตัว โดนหมัดเดียวของหยางเฉินอัดใส่ขาข้างนั้น
“กร๊อบ!”
เสียงบาดหูจากกระดูกแตก และในวินาทีที่ตามมานั้น ร่างของหลงเยว่ ดูอย่างกับลูกฟุตบอล กระเด็นลอยออกไป
ในพริบตาที่ซัดหลงเยว่กระเด็นลอยออกไป หยางเฉินก็พุ่งตามไปในจังหวะเดียวกันนั้น
“ไปตายเสียเลยมึง!”
เขาคำรามเสียงลั่น รวบรวมพลังที่มีทั้งหมดใส่ไปที่หมัดขวา อัดลงไปตรงกลางอกบริเวณหัวใจเต็มแรงในทันที
“แกกล้าหรือ!”
หลงเยว่ตกใจกลัวอย่างสุดขีด คำรามลั่นอย่างเคียดแค้น
“บรึม!”
หยางเฉินไม่มีการออมมือ พลังที่ระดมไว้เต็มสุด อัดใส่ตรงหน้าอกบริเวณหัวใจ
ร่างของหลงเยว่ลอยกระเด็นออกไปต่อ ไกลออกอีกกว่าสิบเมตร กระแทกใส่กับแท่งหินก้อนใหญ่
หินก้อนมหึมาแตกออกเป็นเสี่ยง
“ปึ้ก!”
หลงเยว่กระอักเลือดออกมา พลังอานุภาพบูโดแดนเหนือมนุษย์ขั้นสาม เหมือนลูกบอลถูกเจาะ สลายหายเกลี้ยงในพริบตา
นอนอยู่กับพื้น ปากอ้ากว้างหอบหายใจ สภาพเหมือนหมาที่ใกล้ตาย
หยางเฉินเอามือปาดเลือดที่มุมปากตัวเอง มองสภาพที่หมดทางสู้ของหลงเยว่ ค่อยผ่อนหายใจโล่ง
หลงเยว่คิดไม่ถึงได้เลยว่า หยางเฉินจะสามารถระเบิดเอาพลังที่เทียบได้กับพลังแดนเหนือมนุษย์ขั้นสามออกมาใช้จู่โจมในครั้งเดียวนี้ ได้แต่คิดเสียใจอยู่ในแววตา
“แก…..แกจะต้องได้ชดใช้….ชดใช้ด้วยมูลค่าที่เจ็บปวดที่สุด……”
เป็นคำพูดสุดท้ายของหลงเยว่ ก่อนที่ชีวิตจะดับ
อานุภาพพลังบูโดบนตัวหยางเฉิน จางหายไปในพริบตา กระแทกก้นนั่งลงกับพื้น สีหน้ายังให้เห็นความรู้สึกว่าโชคดีที่รอดตายมาได้
“ในที่สุด ก็ตาย!”
เขานั่งมองหลงเยว่พูดด้วยความรู้สึกที่ยังสับสน
ตั้งแต่ที่หลงเยว่เริ่มฝ่าเข้าสู่พลังแดนเหนือมนุษย์ขั้นสาม หยางเฉินก็นึกขึ้นอยู่ว่า หากดันทุรังปะทะ จะไม่มีโอกาสได้เลยแม้แต่น้อย
ฉะนั้นเขาจึงไม่ยอมให้ตัวเองเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง เพียงใช้พลังเท่าที่มีอย่างเต็มพิกัด เข้าต่อสู้กับหลงเยว่
แต่ว่า เขาก็แค่เพียงผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่ง ถึงจะมีพลังฝีมือที่เก่งกาจ เต็มที่ก็ฝืนขึ้นไปได้ถึงแดนเหนือมนุษย์ขั้นสอง แต่หลงเยว่นั้นไปถึงแดนเหนือมนุษย์ขั้นสามแล้ว ด้วยพลังฝีมือที่เขามีอยู่ ไม่มีทางจะสู้หลงเยว่ได้แน่
แต่ถ้าหากเขาเข้าสู่ภาวะบ้าคลั่ง สามารถเพิ่มพลังฝีมือการต่อสู้ได้ หลงเยว่ที่เพียงเพิ่งเข้าถึงแดนเหนือมนุษย์ขั้นสาม หยางเฉินเองถ้าเกิดเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง ก็สามารถฝืนดันพลังฝีมือระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นสามออกมาได้
แต่ทว่า เมื่อได้เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งแล้วถ้าอยู่นานมากเกิน เขาก็จะขาดสติสัมปชัญญะไปตลอด สุดท้ายจะกลายเป็นเครื่องยนต์ที่มีไว้ใช้สำหรับฆ่าคน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงคงเก็บวิธีนี้ไว้ พยายามใช้พลังฝีมือที่มีอยู่เข้าต่อสู้ คอยรอจังหวะที่หลงเยว่ชะล่าใจ แล้วหาดูจังหวะที่ดีที่สุด จู่โจมกลับให้เป็นไม้ตายในจังหวะเดียว
หากที่ผ่านไปเมื่อครู่นี้หลงเยว่ไม่ได้เผลอหย่อนลง ถึงจู่โจมสู้ไปสุดแรงนั้น หยางเฉินก็ไม่แน่ว่าจะฆ่าเขาได้สำเร็จ
“ราชวงศ์หลง”
แววตาของหยางเฉินสาดประกายแวบหนึ่ง เขาไม่เคยคิดจะลงมือทำอะไรกับราชวงศ์หลงเลย แต่มาวันนี้ การปรากฏตัวมาของหลงเยว่ จิตสำนึกบอกให้เขารู้เลยว่า เวลานี้ไม่ได้อยู่ที่เขาจะลงมือหรือไม่ แต่อยู่ที่ราชวงศ์หลงจะยอมปล่อยเขาหรือไม่
“ในเมื่อต้องเป็นอย่างนี้ ถ้างั้นราชวงศ์หลง ก็ควรต้องให้หายไปได้แล้ว!”
เสียงของหยางเฉินหนาวเยือกอย่างที่สุด
เขารู้อย่างแจ่มชัด คราวนี้ เขาได้ก่อเรื่องยุ่งยากหนักหนาขนาดไหน
หลงเยว่แม้จะเป็นคนของราชวงศ์หลง อีกยังเป็นบ่าวขันหมากในเจ้าเมืองแห่งฮว๋ายเฉิง หยางเฉินก็ไม่รู้ว่าฮว๋ายเฉิงคืออะไรที่ไหน แต่ก็เข้าใจอยู่ว่า ฮว๋ายเฉิงคงจะเหมือนกับเมืองเหมียว ดินแดนแห่งวิถีชีวิตบูโด ที่ปลีกตัวออกจากสังคมโลก
หลงเยว่เป็นถึงเขยของเจ้าเมืองฮว๋ายเฉิง ตำแหน่งฐานะในเมืองฮว๋ายเฉินต้องอยู่ระดับเหนือชั้นเป็นแน่ เมื่อข่าวหลงเยว่ถูกสังหารรู้ไปถึงเจ้าเมืองฮว๋ายเฉิง แน่นอนว่าจะต้องส่งผู้แข็งแกร่งออกมาสืบเรื่องในสังคมโลก
แน่นอนว่า ไม่ต้องใช้เวลามากมาย ฮว๋ายเฉิงก็ต้องสืบมาถึงตัวเองเป็นที่หมายหัวแน่
ในขณะเดียวกันนั้น ที่ราชวงศ์หลง
ในอาคารหลังเดี่ยวของคฤหาสน์ กษัตริย์หลงนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย แววตาที่คมเฉียบ จู่ ๆ ส่อเห็นความกังวลใจขึ้นมา
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ตั้งแต่ที่เขาได้เอาข่าวปลอมที่ว่าหลงเคอถูกหยางเฉินฆ่าส่งต่อไปให้หลงเยว่ ตาคอยจะเขม่นมาตลอด ในใจเขาก็ไม่มีความสบาย มักจะคิดอยู่ตลอดว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
“เสด็จพ่อ!”
เวลานั้นเอง เงาร่างของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เรียกทักอยู่หลายครั้ง กษัตริย์หลงถึงได้คืนสติกลับมา
“มาแล้วนะ!”
กษัตริย์หลงมองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า สีหน้ายังดูละอายแก่ใจอยู่
ชายวัยกลางคนที่ใบหน้าส่อถึงความเจนจัด มองไปที่กษัตริย์หลง สีหน้าท่าทีเรียบเฉย ที่ถูกสั่งให้มาเข้าเฝ้า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นระยะหนึ่ง นี่เพิ่งจะเป็นครั้งแรก
“แกยังโกรธพ่ออยู่อีกหรือ?”
กษัตริย์หลงมองหน้าคนวัยกลางคนที่มายืนอยู่ข้างหน้า เอ่ยปากถามไป
ชายวัยกลางคน ๆ นั้นส่ายหน้าและตอบ “มิกล้า!”
น้ำเสียงเรียบจืดสนิท!
ชายวัยกลางคน ๆ นั้นชื่อหลงเสียง โอรสองค์โตของกษัตริย์หลง และก็คือพระบิดาของหลงเทียนหยู่
โดยข้อเท็จจริงแล้ว เขาจึงจะใช่เป็นรัชทายาทตัวจริงที่จะต้องได้รับสืบทอด แต่หลังจากที่หลงเทียนหยู่ได้ไปกระทบกระทั่งหยางเฉินเข้า อีกทั้งหลงเคอไปปั้นเรื่องใส่ความ ทำให้กษัตริย์หลงเหินห่างหลงเสียงไป
หลงเสียงในเวลานี้ สถานะในราชวงศ์ไม่มีสิทธิในอำนาจใด ๆ แม้แต่น้อย ถึงขนาดเทียบคนนอกตระกูลบางคนยังไม่ได้
“ข้าคิดว่าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นทายาทสืบทอดราชวงศ์หลง เตรียมจะให้หาฤกษ์วันมงคล จัดพิธีสถาปนา ต่อแต่นี้ไป เจ้าก็คือรัชทายาทผู้สืบทอดราชวงศ์หลงเป็นกษัตริย์หลงองค์ต่อไป”
จู่ ๆ กษัตริย์หลงก็พูดขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ได้ หลงเสียงกลับส่ายหน้าในทันที พูดเสียงหัวเราะเหมือนประชดตัวเอง “เสด็จพ่อ ท่านหาคนดี ๆ ไม่ได้แล้วหรือ ถึงได้คิดมาถึงตัวหม่อมฉัน?”
“ต้องขอพระราชทานประทานอภัย ใจผมตายจากไปแล้วจากราชวงศ์หลง ไม่มีความคิดในตำแหน่งรัชทายาทเลย ขอเสด็จพ่อได้โปรดกรุณาสรรหาคนอื่นที่เหมาะสมดีกว่า!”
กษัตริย์หลงขมวดคิ้วย่น “เจ้าจะปฏิเสธงั้นหรือ?”