The king of War - บทที่ 142 ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
“ดังนั้น หนูกับน้องสาวยังไม่เติบโต พ่อก็ส่งพวกเราไปที่ต่างประเทศ ฟังดูแล้วเหมือนปกป้องหนู ในความเป็นจริงเพียงแค่อยากจะปลูกฝังพวกเรา หนึ่งคนรับช่วงตำแหน่งของพ่อ หนึ่งคนยอมรับการแต่งงานที่เชื่อมสัมพันธไมตรีที่พ่อจัดเตรียมให้ ใช่มั้ยค่ะ?”
ใบหน้าของซูซานเต็มไปด้วยน้ำตา พูดอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เพียะ!”
ซูเฉิงอู่พลิกมือแล้วก็ตบหน้าหนึ่งที ตบลงไปบนใบหน้าของซูซานอย่างหนัก พูดด้วยดวงตาแดงที่โกรธว่า: “หุบปากซะ! แกหุบปาก!”
“ฉันทำแบบนี้ ก็เพื่อตระกูลซูทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แกเป็นลูกสาวของฉันซูเฉิงอู่ ก็ต้องยอมรับชะตากรรมแบบนี้ ตระกูลซูเดินมาถึงจุดนี้ ยากมาก แม้ว่าจะเสียสละพวกแก ฉันก็ไม่มีทางใจอ่อนแม้แต่น้อย! ”
ซูเฉิงอู่ในเวลานี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหด ไม่สนใจความรู้สึกของซูซานแม้แต่น้อย
ซูซานกุมหน้าที่โดนตบ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินลงมา แต่ในแววตาของเธอกลับแน่วแน่มาก: “พ่อ ในเมื่อหนูบอกแล้ว หนูไม่ชอบเฉินอิงจวิ้น ถ้าอย่างนั้นต่อให้ตาย ก็ไม่มีทางที่จะแต่งงานกับเขา! ชะตากรรมของตัวหนูเอง หนูจะกำหนดด้วยตัวเอง!”
เมื่อเสียงลดลง เธอก็หันหลังออกไป
มองดูแผ่นหลังที่จากไปของซูซาน ซูซานเหมือนจะชราลงมากในชั่วพริบตาเดียว ดวงตาทั้งที่ขุ่นเคือง มีประกายน้ำตา
เนื่องจากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆของตัวเอง จะไม่เจ็บปวดใจได้อย่างไร?
เพียงแต่ เขาไม่มีลูกชาย มีเพียงลูกสาวสองคน เพื่อตระกูลแล้ว ทำได้เพียงให้พวกเธอแบกรับทุกอย่างไว้
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หยางเฉินส่งซูซานแล้ว ก็ไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป
เขาเพิ่งจะขับถึงที่ชั้นล่างของบริษัท ก็เห็นรถราชการมากมายจอดอยู่ที่ประตูของบริษัท บริเวณรอบๆของบริษัทก็ปิดล้อมด้วยเทปกั้นเขต ผู้คนมากมายก็ล้อมรอบอยู่ที่ข้างนอกเทปกั้นเขต และเงยหน้ามองขึ้นไปที่ชั้นบนของอาคาร
หยางเฉินรีบจอดรถที่ข้างถนนอย่างงรวดเร็ว เพิ่งจะลงรถ ก็เห็นชั้นบนของสำนักงาน ยังมีร่างของคนสองคน
ความสามารถในการมองเห็นที่ไกลของเขาเหนือกว่าคนทั่วไป แวบเดียวก็มองตัวตนของทั้งสองออก หนึ่งในคือฉินยี
และอีกหนึ่งคน คือรุ่นพี่ที่ฉินยีเคยเป็นคนเริ่มตามจีบในช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หวังเย่นจูน
ในเวลานี้ ฉินยีโดนหวังเย่นจูนใช้มีดจี้จับเป็นตัวประกัน และยืนอยู่ที่ขอบของชั้นบน หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจทำให้ตกลงมาจากด้านบนได้
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าของหยางเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
หยางเฉินถามพนักงานหนึ่งในฝูงชน
“ว่ากันว่าแฟนเก่าของประธานฉิน มาหาเธอ อยากจะคบกับประธานฉิน ประธานฉินไม่ยอม เขาก็เอามีดจี้เป็นตัวประกัน ยังจะพาประธานฉินไปกระโดดตึกด้วยกัน”
พนักงานคนนั้นพูดอย่างรวดเร็ว ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล
สีหน้าของหยางเฉินก็เย็นชาทันที ตอนนั้นหวังเย่นจูนมาตามตื๊อฉินยีที่ประตูทางเข้า ก็โดนเขาแจ้งให้คนของตระกูลหยางพาออกไป คาดไม่ถึงหมอนี่ยังจะกล้ามา
ถ้าหากเรื่องนี้เพียงแค่แก้แค้นส่วนตัวอย่างเดียว ก็แค่นี้เอง แต่ถ้าหากมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง ถ้าอย่างนั้นเรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น
“คุณจะทำอะไร?”
หยางเฉินเพิ่งจะกระโดดข้ามเทปกั้นเขตไป ก็โดนพนักงานหลายคนห้ามไว้
“หลีกไป!”
หยางเฉินกำลังกระตือรือร้นที่จะช่วยคน ตวาดประโยคหนึ่ง และพุ่งตรงไปที่อาคารสำนักงาน
ในเวลานี้ ชั้นบน!
หวังเย่นจูนมือหนึ่งกอดคอของฉินซีไว้อย่างแน่นหนา อีกมือหนึ่งถือมีดผลไม้เล่มหนึ่งไว้อย่างแน่น และจี้อยู่บนคอของฉินยี
ทั้งสองคนอยู่ที่ขอบชั้นบนสุด ที่ประตูทางเข้าบันไดของชั้นบน ยังมีเจ้าหน้าที่พูดเจรจาอยู่หลายคน กำลังพูดโน้มน้าวหวังเย่นจูนอย่างไม่หยุด
“ชายหนุ่ม อย่าได้หุนหันพลันแล่น ตราบใดที่คุณไม่ทำร้ายตัวประกัน พวกเรารับรองว่าจะไม่ทำร้ายคุณ”
นำโดยชายร่างกำยำ ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าบันได และพูดอย่างเคร่งขรึม
“พวกแกมีปัญญาก็ยิงเลย! กูใช้ชีวิตพอแล้ว วันนี้ไม่ได้ตั้งใจที่มีชีวิตออกไป”
ดวงตาทั้งสองของหวังเย่นจูนแดงเข้มไปหมด และมีอารมณ์พลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของฉินยีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เธอไม่เคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาก่อน เกิดเดินพลาดขึ้นมา เธอและหวังเย่นจูนก็จะล้มลงไปด้วยกัน
อาคารนี้มีทั้งหมดสิบหกชั้น ก็คำนวณชั้นละสามเมตร ซึ่งก็จะสูงเกือบห้าสิบเมตร ถ้าหากตกลงไปจากที่นี่จริงๆ ฉากนั้นคงจะน่าสังเวชใจเป็นอย่างมากแน่
แม้ว่าเจ้าหน้าที่พูดเจรจาจะถือปืน ก็ไม่กล้ายิง หวังเย่นจูนและฉินยีก็อยู่ที่ขอบของชั้นบน ถ้าหากหวังเย่นจูนตายแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉินยีก็จะตกลงตามไปด้วย
“หวังเย่นจูน นายต้องการอะไร? มีเรื่องอะไร พวกเรานั่งลงมา พูดคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอ?” ฉินยีพูดด้วยดวงตาที่แดง
แม้ว่าในใจจะมีความหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอจำต้องพยายามใช้โอกาสเพียงเล็กน้อยพูดโน้มน้าวหวังเย่นจูน
“ผู้หญิงสารเลว แกหุบปากซะ!”
หวังเย่นจูนตะคอกขึ้นมา เพราะอารมณ์พลุ่งพล่าน ปลายมีดผลไม้ก็บาดคอของฉินยีแล้วมีแผลเล็กน้อย และเลือดก็ไหลออกมาทันที
“คุณอย่าได้ใจหุนหันพลันแล่น!”
เจ้าหน้าที่พูดเจรจาก็กลัวจนหน้าถอดสี รีบตะโกนอย่างรวดเร็ว
“ผู้หญิงสารเลวอย่างแก ฉันอยู่ตระกูลหยางเฉยๆมานานขนาดนี้ ทั้งหมดก็เพื่อแกไม่ใช่เหรอ? แต่แล้วแกล่ะ? ไม่สนใจกับทุกอย่างที่ฉันทำให้ และพี่เขยเศษสวะคนนั้นของแก ยังเรียกหยางเวยพาตัวฉันออกไป”
“แกแมร่งรู้มั้ย? ครั้งนั้นหลังจากที่โดนพาตัวออกไป ตระกูลหยางก็ทำให้ฉันออกไปแต่ตัวเปล่า หลายปีมานี้ ทุกอย่างที่ฉันทุ่มเทอย่างหนัก ก็พังทลายไปทั้งหมด!”
“ถ้าหากไม่ใช่ว่าแกไม่ยอมรับฉัน ฉันจะมีวันนี้มั้ย?”
“แกไม่อยากคบกับฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันก็จะพาแกกระโดดลงไปจากตรงนี้ ต่อให้เป็นผี ฉันก็จะตามตื๊อแกไป! ฮ่าๆๆๆ…..”
อารมณ์ของหวังเย่นจูนตื่นเต้นมาก และทันใดนั้นก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“หวังเย่นจูน นายอย่าโง่ ถ้าหากตายไปจริงๆ พวกเราก็จะหายไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง นายเพื่อฉันคนเดียว แม้แต่ชีวิตก็ไม่เอาแล้วเหรอ?”
“ถ้าหากนายตายแล้ว พ่อแม่ของนายจะทำยังไง? คนเหล่านั้นที่รักนายจะทำยังไง? ทำแบบนี้ ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย!”
“แม้ว่าจะเสียงานของตระกูลหยาง แต่นายมีประกาศนียบัตรการศึกษา และก็มีความสามารถ มีที่ยืนให้นายอยู่เสมอ ถ้าไม่ได้จริงๆ นายอยู่ที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ป ฉันจะแนะนำสำนักงานใหญ่ให้นายไปเป็นรองผู้จัดการใหญ่ ดีมั้ย?”
เมื่อเห็นหวังเย่นจูนกำลังจะสูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ฉินยีรีบพูดโน้มน้าวอย่างรวดเร็ว
“หุบปาก! แกหุบปากซะ!”
หวังเย่นจูนคำราม ดึงฉินยีไว้ก็อยากจะกระโดดลงไปจากชั้นบน
“หวังเย่นจูน!”
ในขณะนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
หวังเย่นจูนที่เพิ่งเตรียมจะดึงฉินยีไว้ก็จะกระโดดลงไป ตัวสั่นไปทั้งร่างกาย หันกลับไปเห็นหยางเฉิน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นโหดร้ายมากในทันที
“คือแก!”
เขาจะลืมหยางเฉินไปได้อย่างไร ในความคิดของเขา ฉินยีเป็นคนร้าย แต่หยางเฉินกลับยิ่งน่ารังเกียจกว่า
ก็เพราะตัวเองมาหาฉินซี หยางเฉินเรียกหยางเวยมา เรื่องที่เขาตามตื๊อฉินยีถึงได้โดนเปิดเผย ดังนั้นจึงถูกตระกูลหยางขับไล่ออกจากตระกูล
ตอนที่ฉินยีเห็นหยางเฉิน ก็ดูประหลาดใจ แต่ในไม่ช้า ความประหลาดใจบนหน้าก็กลายเป็นกังวล
เธอรู้ดีมาก หวังเย่นจูนในตอนนี้บ้าคลั่งมากแค่ไหน เขาไม่มีทางปล่อยหยางเฉินไปอย่างแน่นอน
หยางเฉินมองไปที่หวังเย่นจูนอย่างสงบ และเอ่ยปากพูดว่า: “นายพูดถูก ฉันเป็นบอกตระกูลหยางเอง บอกว่านายตามตื๊อฉินยี และยังข่มขู่ตระกูลหยางด้วยเหตุนี้ ถ้าหากไม่ขับไล่นายออกไป ก็จะยกเลิกการร่วมลงทุนกับตระกูลหยาง”
คำพูดนี้ ข้างหน้าเป็นความจริง แต่ข้างหลังกลับเป็นเรื่องที่สมุนติขึ้นเอง
แต่เพื่อให้ความแค้นของหวังเย่นจูนเปลี่ยนมาเป็นตัวเอง หยางเฉินทำได้เพียงพูดแบบนี้
“ที่แท้เป็นสารเลวอย่างแกนี่เอง ใช้การร่วมลงทุนข่มขู่ตระกูลหยาง เป็นเพราะแกทั้งนั้น ถ้าหากไม่ใช่แก ฉันจะตกอยู่ในสภาพวันนี้ได้อย่างไร? เป็นเพราะแกทั้งนั้น!”
หวังเย่นจูนก็ตะโกนเสียงดังทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแค้น