The king of War - บทที่ 1459 ทำลายราชวงศ์
ไม่นาน หลังจากที่ทีมแพทย์บนเครื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เย่เทียนหมิงเสร็จ เย่เทียนหมิงก็กลับไปที่ห้องโดยสาร สายตาของเขาจ้องไปที่หยางเฉิน เขาอยากจะฆ่าหยางเฉินให้ตายในตอนนี้ด้วยซ้ำ
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ หยางเฉินก็เอาแต่นอนไม่ยอมตื่น ดูเหมือนว่าเขาคงจะง่วงจริงๆ
ซ่งจั่วและซ่งโย่วระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เพื่อระวังไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนเมื่อกี้อีก
ในห้องโดยสาร บางครั้งจะมีหลายคนมองมาทางหยางเฉินด้วยสายตาที่สงสัย และอยากจะรู้จักสถานะของหยางเฉิน
“เฮ้!”
จู่ๆ ถังยี่โหรวก็ผลักหยางเฉินเบาๆ และพูดเบาๆ
หยางเฉินลืมตาและหันมามองถังยี่โหรวแล้วถามว่า “มีอะไรครับ?”
เมื่อสบตากับหยางเฉิน ถังยี่โหรวก็รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก และใบหน้าเธอก็แดงขึ้นมาทันที
เธอรีบสงบสติลง แล้วมองไปที่หยางเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง และกระซิบว่า “อีกยี่สิบนาที เครื่องบินจะลงจอดที่สนามบินนานาชาติของเมืองราชวงศ์เย่แล้ว ฉันขอเตือนคุณว่า ทางที่ดีอย่าออกจากสนามบินเด็ดขาด หลังจากลงจากเครื่องแล้วให้รีบซื้อตั๋วแล้วออกจากเมืองราชวงศ์เย่ให้เร็วที่สุด”
“ไม่อย่างงั้น คนอย่างเย่เทียนหมิงไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่ เขาเป็นถึงหลานชายของกษัตริย์เย่ พูดได้ว่า ในเมืองราชวงศ์เย่ มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าทำให้เขาไม่พอใจ”
“เพราะฉะนั้น คุณต้องไปจากเมืองราชวงศ์เย่ เข้าใจไหม?”
หยางเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาจ้องไปที่ถังยี่โหรว ถังยี่โหรวที่ถูกหยางเฉินจ้องก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย และพูดด้วยท่าทางที่โมโหว่า
“คุณอย่าคิดมาก ฉันก็แค่ไม่อยากให้คุณมามีปัญหาเพราะฉัน ยังไงฉันก็เป็นคู่หมั้นของเย่เทียนหมิง เพราะเขาอยากนั่งกับฉัน คุณเลยได้ทำให้เขาไม่พอใจ”
จู่ๆ หยางเฉินก็ถามขึ้นมาว่า “คุณไม่ชอบเขาเหรอครับ?”
ถังยี่โหรวเหลือบมองไปทางเย่เทียนหมิง พร้อมกับร้องไห้และส่ายหัวไปมา
“เพราะในฐานะที่เป็นผู้หญิงของตระกูล ไม่ชอบก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี?”
“ไม่มีใครสามารถช่วยฉันปฏิเสธการหมั้นครั้งนี้ได้ แม้กระทั่งพ่อแม่ของฉันก็ตาม”
หยางเฉินก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาทันที
“อย่าคิดมากเลย หลังจากวันนี้ การหมั้นนี้จะเป็นโมฆะ” หยางเฉินพูดเบาๆ
ถังยี่โหรวแปลกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะกับตัวเอง แล้วถามว่า “คุณช่วยฉันทำให้การหมั้นครั้งนี้เป็นโมฆะได้จริงนะเหรอ?”
“ถ้าคุณต้องการ ผมช่วยคุณได้นะ” หยางเฉินพูด
ถังยี่โหรวพูดด้วยท่าทางที่อารมณ์เสียว่า “ทางที่ดีตอนนี้คุณเอาเวลาไปหาคิดวิธีออกจากเมืองราชวงศ์เย่ก่อนเถอะ!”
พูดจบ เธอก็ทำเป็นไม่สนใจหยางเฉิน แต่สีหน้าของเธอกลับมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
หยางเฉินขำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็นอนต่อ
ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีกว่าเครื่องจะลง ตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาหยางเฉินก็เอาแต่ฝึกเทคนิคการหายใจชั้นที่หกของคัมภีร์ต้าเต้าเทียนหยาน
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนที่เขาอยู่ในแดนเหนือมนุษย์ขั้นสอง เขายังคงสามารถฝึกเทคนิคการหายใจระดับที่ห้าได้ พูดตามหลักก็คือ ตอนนี้เขาได้ทะลวงเข้าไปแดนเหนือมนุษย์ขั้นสามแล้ว เป็นเรื่องปกติที่เขาจะฝึกเทคนิคการหายใจชั้นหก
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถฝึกเทคนิคการหายใจระดับหก ได้เลย ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่ถึงขั้นที่เขาสามารถฝึกเทคนิคการหายใจชั้นที่หกได้
การเดินทางไปเมืองราชวงศ์เย่ครั้งนี้ เดิมทีเขามาเพื่อทำลายราชวงศ์เย่ แต่โดยผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นสามจากโลกแห่งบูโด ควบคู่กับเทคนิคการหายใจขั้นห้าของคัมภีร์ต้าเต้าเทียนหยาน ก็เทียบเท่ากับพลังการโจมตีของแดนเหนือมนุษย์ขั้นห้า
และเย่หลินเองก็อยู่ในดินแดนเหนือมนุษย์ขั้นห้า แล้วนี่ก็ไม่ได้เจอมาเจ็ดวันแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าภายในเจ็ดวันนี้เขาจะบุกเข้าดิแดนเหนือมนุษย์ขั้นหกหรือยัง
หากความแข็งแกร่งของเย่หลินทะลวงสู่แดนเหนือมนุษย์ขั้นหก สำหรับหยางเฉินแล้ว นั่นถือเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก
แม้ว่าเขาจะมีซ่งจั่วและซ่งโย่วสองพี่น้องอยู่แล้ว และยังมีหลี่จ้งที่ทะลวงเข้าไปในแดนเหนือมนุษย์ได้แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังไม่พอ
เป้าหมายหลักครั้งนี้ของเขา คือการล้มล้างราชวงศ์เย่ จากนั้นให้ตระกูลหลี่เข้ามาแทนที่
แต่ในราชวงศ์เย่มีคนคอยปกป้องอยู่ หากราชวงศ์เย่ถูกทำลายขึ้นมา พวกเขาต้องออกมาปกป้องราชวงศ์เย่อย่างแน่
เพราะฉะนั้น หยางเฉินจึงต้องหาวิธีที่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งทะลวงเข้าไปในแดนเหนือมนุษย์ขั้นหกหรือแดนเหนือมนุษย์ขั้นเจ็ด ถึงจะสามารถเอาชนะราชวงศ์เย่ได้
แน่นอนเขายังสามารถปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาได้ด้วยการผ่านสายเลือดที่น่าคลั่ง แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะเปิดใช้งานสายเลือดที่น่าคลั่งได้อย่างไร
ตามที่พี่น้องตระกูลซ่งต้องการจะสื่อคือ หยางเฉินได้ปลุกสายเลือดคลั่งในตัวแล้ว แต่หยางเฉินไม่รู้สึกว่าตัวเองในปัจจุบันแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างไร และไม่รู้ว่าจะกระตุ้นสายเลือดคลั่งในตัวอย่างไร
บางครั้งหยางเฉินก็สงสัยว่าที่พี่น้องตระกูลซ่งคิดอาจจะผิด เขารู้สึกว่าตัวเองยังปลุกไม่ได้สายเลือดคลั่ง แต่คิดว่าเป็นเพราะยาวิเศษที่ดอกเตอร์แบล็กได้ฉีดเข้าไปในร่างกายของเขายังมีสารตกค้างอยู่
“เรียนท่านผู้โดยสารทุกคนโปรดทราบ เครื่องบินกำลังลดระดับลง ขอความกรุณาผู้โดยสารทุกท่านนั่งประจำที่ และรัดเข็มขัดนิรภัย ปรับที่นั่งและที่พักแขนให้อยู่ในปกติ และขอความกรุณาผู้โดยสารทุกท่านปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ต่อไปเราจะหรี่ไฟห้องโดยสาร ขอบคุณค่ะ!”
ขณะที่หยางเฉินกำลังคิดหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาอยู่ จู่ๆ ก็มีเสียงประกาศว่าเครื่องบินกำลังจะลงจอด
จากนั้นเขาเลยลืมตาขึ้นมา และมีแสงส่องเข้ามาในตาอย่างจัง ในที่สุดก็ถึงเมืองราชวงศ์เย่แล้วเหรอ?
เย่เทียนหมิงเหลือบมองหยางเฉินด้วยสายตาอาฆาตสุดๆ เป็นถึงหลานชายของกษัตริย์เย่ โตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยถูกใครรังแกแบบนี้มาก่อน
ครั้งนี้ เป็นความอัปยศที่สุดในชีวิต เขาจะทำให้หยางเฉินตายอย่างทรมาน
เขารู้สึกได้ถึงจิตสัังหารเย่เทียนหมิง หยางเฉินหันไปมองทางเย่เทียนหมิง แล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เย่เทียนหมิงและหยางเฉินจ้องหน้ากัน พอจ้องตากันสักพัก ก็ละสายตากัน
“นี่! อย่าลืมเรื่องที่ฉันบอกคุณก่อนหน้านี้นะ! บอดี้การ์ดของราชวงศ์เย่คงรอเย่เทียนหมิงอยู่ข้างนอกแล้ว เดี๋ยวฉันจะหาวิธียื้อเวลาบอดี้การ์ดของเย่เทียนหมิงไว้ หลังจากลงเครื่องแล้ว คุณก็หนีไปให้เร็วที่สุดเลยนะ”
ถังยี่โหรวเตือนด้วยความอย่างประหม่า
หยางเฉินขำแล้วมองถังยี่โหรวและพูดว่า “ผมมาทำธุระที่เมืองราชวงศ์เย่ ถ้ายังทำธุระมไม่เสร็จ ผมก็จะไม่มีทางไปเด็ดขาด”
“อะไรนะ? คุณไม่ไปงั้นเหรอ?”
ถังยี่โหรวตกใจ เธอนึกว่าที่เธอพูดมาตั้งเยอะขนาดนั้น หยางเฉินคงฟังเข้าใจแล้ว แต่ที่ไหนได้ หยางเฉินไม่ได้คิดจะหนีแต่แรกอยู่แล้ว
“นี่คุณบ้าหรือเปล่า?”
“เย่เทียนหมิงเป็นหลานชายของกษัตริย์เย่ ในเมืองราชวงศ์เย่ ราชวงศ์เย่ก็เหมือนกับพระเจ้า คุณหักแขนของเย่เทียนหมิงเขาจะปล่อยคุณไปง่ายๆ งั้นเหรอ?”
“คุณมีเรื่องอะไรที่ยังไม่ได้จัดการ บอกฉันได้นะ ฉันจะช่วยคุณจัดการมันเอง ได้ไหม?
ถังยี่โหรวพูดอย่างเร่งรีบ
หยางเฉินยิ้มและพูดว่า “ผมต้องการล้มล้างราชวงศ์เย่ คุณช่วยผมได้ไหมครับ?”