The king of War - บทที่ 1698 ฝากฝังความหวัง
บทที่ 1698 ฝากฝังความหวัง
ใบหน้าของเจ้าเมืองมู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เสียงหัวเราะดังไปทั่วจวนเจ้าเมือง
ถึงแม้ว่าขาเพิ่งจะได้รับความเจ็บปวดอย่างมหาศาล แต่เขาไม่หวาดกลัว กลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า
เขามองไปทางเฝิงเสียวหว่านอย่างตื่นเต้น “ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันหาหมอวิเศษไปทั่วหล้า ไม่มีใครสามารถทำให้ขาของฉันมีความรู้สึกได้ แต่ว่าเธอ เสียวหว่าน กลับสามารถทำให้ขาของฉันมีความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ได้ ฉันรู้สึกดีใจมากจริงๆเสียวหว่าน ขอบคุณเธอมาก!”
เสียวหว่านสีหน้าซีดเซียว เอ่ยปากพูดว่า “ฉันเองก็ทำได้แค่ให้ขาของคุณมีความรู้สึกกลับมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากนี้จะสามารถทำให้ยืนขึ้นได้อีกครั้งมั้ยฉันไม่กล้ารับประกันค่ะ ทำได้แค่รักษาต่อไป แล้วดูผลลัพธ์ในอนาคตค่ะ”
เจ้าเมืองมู่พูดอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “ฉันเชื่อใจเธอ!”
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขาของเจ้าเมืองมู่ยังแบกรับความเจ็บปวดที่แสนสาหัสอยู่ แล้วความเจ็บปวดก็ยังทวีคูณเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย แต่ว่าเขาไม่ส่งเสียงร้องสักคำ
ความดีใจในตอนนี้ ได้มากเกินกว่าความเจ็บไปแล้ว
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเฝิงเสียวหว่านก็จบการรักษา
เธอเหนื่อยจนทรุด ใบหน้าเองก็ซีดเซียวอย่างมาก เธอรีบหยิบเอาเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วกินเข้าไป
ผ่านไปสักพัก เธอถึงได้รู้สึกว่าดีขึ้น แล้วมองไปทางเจ้าเมืองมู่ ถามว่า “ตอนนี้คุณลองดู ว่าสามารถลุกขึ้นได้มั้ยค่ะ?”
เจ้าเมืองมู่อึ้งไปสักพัก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถลุกขึ้นยืนได้เร็วมากขนาดนี้ ดังนั้นเมื่อกี้ที่เฝิงเสียวหว่านจบการรักษาแล้ว เขาก็ไม่ได้ลองลุกขึ้น
ตอนนี้ฟังเฝิงเสียหว่านพูดอย่างนี้แล้ว เขาอึ้งไปก่อน จากนั้นก็ดีใจ รีบเขามือพยุงรถเข็น ตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน
เพียงแต่ เขาเพิ่งลุกขึ้นได้เพียงครึ่งเดียว ก็ล้มลงบนรถเข็นแล้ว
“ท่านเจ้าเมืองครับ!”
มู่ฮว๋าตกใจอย่างมาก รีบเข้าไปพยุงตัวเจ้าเมืองมู่ไว้
แต่กลับถูกเจ้าเมืองมู่ตะคอกใส่ว่า “ไม่ต้องสนใจฉัน!”
พูดจบ เขาก็ตะเกียกตะกาย พยายามลุกขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับครั้งเมื่อกี้ ที่สองขางออยู่ครึ่งหนึ่ง ไม่สามารถที่จะยืดตรงได้เต็มที่
แต่ว่า แต่ว่าเขาไม่ท้อแท้เลยสักนิด กลับมีแต่ความตื่นเต้น ลองลุกขึ้นซ้ำๆเรื่อยๆ
ภายใต้การจับตามองของทุกคน เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้มากกว่าเดิมในทุกๆครั้ง
ไม่รู้ว่าลองไปกี่ครั้งแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถยืนได้ เพียงแต่สองขาเอาแต่สั่นไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังแบกรับแรงกดดันอย่างหนักอยู่
“ฮ่าๆๆๆ!”
เจ้าเมืองมู่หัวเราะออกมา เนื่องจากตื่นเต้นดีใจ น้ำตาถึงกับไหลออกมา และพูดอย่างตื่นเต้นมากว่า “ฉันสามารถยืนได้แล้ว!ฉันสามารถยืนได้แล้ว!ฮ่าๆๆๆ!”
คนอื่นๆเองก็ตกใจอย่างมาก โดยเฉพาะมู่ฮว๋า อาการของเจ้าเมืองมู่ร้ายแรงมากแค่ไหน เขารู้ดีมาก ซึ่งต้องนั่งรถเข็นมานานหลายปีแล้ว
ในระหว่างนั้น ตระกูลมู่เชิญหมอดังมาแล้วมากมาย แต่ล้วนไม่สามารถทำให้ขาของเจ้าเมืองมู่มีความรู้สึก แต่ในวันนี้ เฝิงเสียวหว่านเพิ่งจะทำการรักษาให้กับเจ้าเมืองมู่เป็นครั้งแรก เจ้าเมืองมู่ก็สามารถลุกขึ้นยืนได้แล้ว
เจ้าเมืองมู่หัวเยาะยิ้มแย้ม พูดว่า “เสียวหว่าน ขอบใจเป็นมาก ขอบใจเธอมากจริงๆ ถ้าหากเธอไม่รังเกียจ ก็นับฉันเป็นคุณปู่บุญธรรมเถอะ แล้วหลังจากวันนี้ไปเธอก็คือองค์หญิงของจวนมู่!”
ชั่วขณะนั้นเฝิงเสียวหว่านเองก็มึนงง ตัวเองก็แค่ได้รับสายของหยางจิ่วเทียน จากนั้นก็มาที่จวนมู่เพื่อทำการรักษาให้กับเจ้าเมืองมู่ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมานับถือคุณปู่บุญธรรม
เธอหันไปมองหยางเฉิน หยางเฉินยิ้มและพูดว่า “เสียวหว่าน เจ้าเมืองมู่ยินดีที่รับเธอเป็นหลานบุญธรรม นั่นถือเป็นเกียรติของเธอเลยนะ!”
เมื่อได้ฟังหยางเฉินพูดเช่นนี้แล้ว เฝิงเสียวหว่านจึงหันไปมองเจ้าเมืองมู่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันยินดีค่ะ!คุณปู่มู่!”
เจ้าเมืองมู่หัวเราะพูดว่า “ฮ่าๆ!ดี!หลานสาวที่แสนดีของฉัน!”
มู่ฮว๋าที่อยู่ด้านข้าง รู้สึกตกใจเล็กน้อย เจ้าเมืองมู่ไม่ได้หัวเราะดีใจมากขนาดนี้มานานแล้ว แต่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดของเจ้าเมืองมู่ที่ขาพิการมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว เขาก็สามารถเข้าใจได้
มู่ฮว๋ายิ้มแล้วหันไปมองเฝิงเสียวหว่าน โค้งคำนับเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า ไยินดีด้วยครับคุณหนูเฝิง!”
เจ้าเมืองมู่ถลึงตาใส่มู่ฮว๋า เอ่ยปากพูดว่า “ได้รับเสียวหว่านมาเป็นหลานสาวบุญธรรม ถือเป็นเกียรติกับฉัน ควรจะยินดีกับฉันสิ ที่ได้รับหลานสาวบุญธรรมที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มาคนหนึ่ง”
มู่ฮว๋าพูดยิ้มๆว่า “ผมพูดผิดเองครับ ยินดีด้วยครับท่านเจ้าเมือง!”
เจ้าเมืองมู่มองเฝิงเสียวหว่าน จากนั้นก็หันไปมองหยางเฉิน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “หยางเฉิน นอกจากฉันจะต้องขอบคุณเสียวหว่านแล้ว ยังต้องขอบคุณนายอีกด้วย!ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันก็คงไม่ได้หลานสาวบุญธรรมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มา นายวางใจได้ เพียงแค่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าเจ้าเมืองหวยเฉิงจะมาจวนมู่ของฉันด้วยตัวเอง ฉันก็จะไม่มีทางให้นายเป็นอะไรไป”
หยางเฉินยิ้มอ่อน “อย่างนั้นก็ขอขอบคุณเจ้าเมืองมู่ด้วยนะครับ!”
เจ้าเมืองมู่พยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยปากพูดว่า “เมื่อกี้เสียวหว่านทำการรักษาให้กับฉัน ได้สูญเสียพลังงานไปมาก งั้นฉันไม่รบกวนแล้วละ เสียวหว่านเธอก็พักผ่อนให้ดีนะ”
พูดจบ มู่ฮว๋าก็เข็นเขาจากไป
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่พวกหยางเฉินเท่านั้น
เหล่าจิ่วพูดเสียงเข้มว่า “เจ้าเมืองมู่คนนี้ก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ คิดที่อยากจะรับเสียวหว่านเป็นหลานบุญธรรม”
หยางเฉินพูดยิ้มๆว่า “ไม่ว่ายังไง สำหรับสถานการณ์ของเราในตอนนี้ เขายอมรับเสียวหว่านเป็นหลานบุญธรรม ถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง”
เหล่าจิ่วพยักหน้า “มันก็ใช่!ภายนอกของเขาดูแล้วเหมือนจะปกป้องเราอย่างดีแน่นอน แต่พวกเราก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“กลัวแค่เรื่องที่นายมีของอาถรรพ์จะแพร่ออกไป ถ้าหากข่าวนี้ลือกันออกไป เจ้าเมืองมู่เองก็คงจะหวั่นไหวด้วยเช่นกัน”
ในตอนนี้ ที่พวกเขากล้าซ่อนตัวอยู่ในจวนมู่ นอกจากการที่จวนมู่แสดงความเป็นมิตรก่อนแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นก็คือเรื่องที่หยางเฉินมีมีดพกอาถรรพ์ยังไม่ถูกลือกันออกไป
หยางฉินผู้มีพลังระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเจ็ดชั้นยอด เมื่อในมือมีมีดพกอาถรรพ์ ก็สามารถทำร้ายติงชางที่มีพลังเทียบเท่ากับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นต้นได้อย่างสาหัส เห็นได้ชัดว่าของอาถรรพ์ชิ้นหนึ่ง ช่วยเพิ่มพลังให้กับผู้แข็งแกร่งบูโดคนหนึ่งได้มากเพียงใด
ถ้าหากว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอด แล้วในมือยังมีมีดพกอาถรรพ์อีกเล่มหนึ่ง อย่างนั้นแล้วจะแข็งแกร่งมากเพียงใด?
“นอกจากว่าคนตระกูลติงจะเป็นคนโง่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่มีทางเผยแพร่เรื่องมีดพกอาถรรพ์แน่นอน”
หวยหลันเอ่ยปากพูดว่า “แน่นอน ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ที่พวกเขาจะเผยแพร่ข่าวออกไป”
“ความเป็นไปได้อะไร?”
หยางเฉินและเหล่าจิ่วมองไปที่หวยหลัน
หวยหลันพูดว่า “ถ้าหากว่า ตระกูลติงอยู่ในจุดที่ถูกทำลายล้าง ไม่แน่ตระกูลติงอาจจะทำเพื่อปกป้องตระกูลไว้ และปล่อยวางของอาถรรพ์ จึงเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป”
ได้ยินเช่นนั้น เหล่าจิ่วคิ้วขมวด “ที่พูดมาก็คือ ห้ามไม่ให้ตระกูลติงถูกทำลายด้วย”
หวยหลันพยักหน้า “อย่างนั้นก็ต้องดูว่าจวนมู่คิดยังไงแล้วละ ถ้าหากว่าสองขาของเจ้าเมืองมู่หายได้ดีแล้ว พลังต้องเพิ่มขึ้นอย่างงมากแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าหากลงมือจัดการกับตระกูลติง งั้นตระกูลติงจะเปิดเผยเรื่องนี้กับเจ้าเมืองมู่หรือเปล่าละ?”
เมื่อฟังคำพูดของเธอแล้ว สีหน้าของหยางเฉินและเหล่าจิ่วก็เป็นกังวลขึ้นมา
หยางเฉินยิ้มขมขื่น “ไม่คิดเลยว่า แรงดึงดูดจากของอาถรรพ์ชิ้นหนึ่งจะมากมายขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีดพกเล่มนี้อยู่ในมือฉัน มันเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่”
เหล่าจิ่วพูดว่า “เป็นวาสนาไม่ใช่เคราะห์ หากเป็นเคราะห์ก็หลบไม่พ้น!ตอนนี้ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นแล้ว พวกเราต่างก็รีบคิดหาวิธีฟื้นฟูพลังซะ ฉันคาดว่า ตระกูลติงและจวนเมืองหวยเฉิงจะต้องร่วมมือกันสร้างแรงกดดันให้กับจวนมู่แน่นอน ถ้าหากพวกเราไม่มีพลัง ถึงตอนนั้นก็อันตรายแน่”
หยางเฉินพยักหน้า สองมือกำหมัดแน่น “ท่านเก้าพูดถูก ตอนนี้ ตอนนี้พวกเราก็แค่ฝากความหวังไว้กับตัวพวกเราเองนั่นแหละ!”