The king of War - บทที่ 1810 กินอาหารเช้าด้วยกัน
บทที่ 1810 กินอาหารเช้าด้วยกัน
เสียงเรียก “พี่เฉิน” จากหม่าชาว ในทันทีนั้นก็ดึงดูดเอาสายตาทุกคนที่อยู่ที่นั่น หยางเฉินหันหน้าไปทันที ก็เห็นหม่าชาวลุกนั่งขึ้นมาแล้ว
เห็นเขากวาดตามองไปทั่วบริเวณ สุดท้ายหยุดลงตรงอ้ายหลิน ด้วยแววตาอ่อนโยนหวานซึ้ง ค่อย ๆ ปริปากพูด “ที่รัก ครึ่งปีที่ผ่านมา ทำให้เธอลำบากมากเลยนะ!”
อ้ายหลินได้ยินที่พูดมา อารมณ์ในตัวเองหมดความอดกลั้นได้อีก น้ำตาทะลักออกมาเป็นฝนเท โถมเข้าหาอ้อมกอดของหม่าชาว ปล่อยเสียงร้องไห้เต็มที่
คนอื่น ๆ ที่อยู่กันในห้อง ได้เห็นสภาพฉากนี้ ต่างก็รู้สึกอบอุ่นชื่นใจ
หม่าชาวนอนสลบมาถึงครึ่งปีเต็ม ๆ ในที่สุดก็ฟื้นตื่นมาได้ วันนี้ เป็นวันที่ทุกคนรอคอยกันมาแสนนาน
หยางเฉินแน่นอนว่าดีใจเป็นอย่างที่สุด พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งสองคนจะได้สู้ศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กันได้ต่อไปอีก
ทว่า พอคิดถึงที่หวยหลานพูดไว้เมื่อครู่ที่ผ่านมา ในใจเขาก็ให้เป็นกังวลขึ้นมาอีกเต็ม
หม่าชาวถึงแม้จะฟื้นมาแล้ว แต่แก้วดูดเลือดของสุดวิเศษของสายเลือดตระกูลไป๋หลี่นั้น ฝังอยู่ในตัวของเขา มันเป็นเรื่องที่อันตรายสุด ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแก้ววิเศษจรัสราตรีที่มีฤทธิ์ประคบวิญญาณที่พวกเขาชิงมาจากศิษย์รักของราชายานั้นมา หม่าชาวคงจะยังไม่ได้ฟื้นตื่นขึ้นมาได้
โดยผลจากสรรพคุณของแก้ววิเศษจรัสราตรี เต็มที่ก็ประคองอยู่ได้ครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้ ถ้าหยางเฉินไม่สามารถเอาไม้เท้าตี้มาได้ หม่าชาวก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายยิ่งหนักขึ้นไปอีก
เวลานี้ ก็คงมีแต่หวังไว้ที่ไม้เท้าตี้ ที่จะถอนเอาแก้วดูดเลือดในตัวของหม่าชาวออกมาได้
หม่าชาวกับอ้ายหลินกอดกันอยู่นาน จึงค่อยแยกกันออกมา
“คุณมาดูนี่ นี่ลูกของพวกเรา ชื่อหม่าจิ้งอัน!”
อ้ายหลินรีบอุ้มเสี่ยวจิ้งอันออกมา พูดในอารมณ์ตื่นเต้น
หม่าชาวพอได้เห็นเสี่ยวจิ้งอัน ยื่นมือทีสั่นเทาออกไป ใจกลัวจะทำให้เสี่ยวจิ้งอันต้องเจ็บ คิดรับเด็กน้อยจากมืออ้ายหลินมาอุ้มอีกใจก็ไม่กล้า
เสี่ยวจิ้งอันก็มองหน้าหม่าชาว ใบหน้าน้อย ๆ เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา อยู่ในอ้อมอกของอ้ายหลิน มือเท้าน้อย ๆ ทั้งสี่ดีดดิ้น
“ปา ปา!”
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวจิ้งอันอ้าปากส่งเสียงออกมา
พอได้ยินเสียงสองคำนี้ หม่าชาวหักห้ามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ รับเด็กน้อยมาจากมืออ้ายหลินอย่างนิ่มนวล
ภาพที่เห็นกันอยู่นี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกสะเทือนใจ เฝิงเสียวหว่านกับเฝิงเจียหยี อีกทั้งหวยหลานทั้งสามสาว ต่างกำลังเช็ดน้ำตา
สองพี่น้องตระกูลซ่ง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มองสามคนพ่อแม่ลูกที่ได้พบกันอยู่พร้อม
หยางเฉินก็เต็มด้วยยิ้มบนใบหน้า เขาเข้าใจอย่างดีถึงความรู้สึกในขณะนี้ของหม่าชาว ก็เหมือนกับเขาเองในตอนนั้น จากไปเป็นเวลาถึงห้าปีเต็ม ๆ จนเขากลับมาอีกที จึงได้รู้ว่าตัวเองมีลูกสาวแล้ว ความรู้สึกละอายแก่ใจในตอนนั้น เคยทำให้เขาไม่อยากให้อภัยกับตัวเองมาแล้ว
หม่าชาวหมดสติไปครึ่งปีเต็ม ๆ กว่าจะฟื้นตื่นกลับมา เขาไม่มีทางรู้ได้เลย ครึ่งปีที่ผ่านมานี้ อ้ายหลินฝ่าฟันผ่านมายังไง
“ที่รัก ผมขอโทษ!”
หม่าชาวมองอ้ายหลินที่ใบหน้าอาบเต็มด้วยน้ำตา พูดด้วยตาแดง ๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน หม่าชาวกับอ้ายหลินค่อยคลายอารมณ์อัดอั้นสงบใจลง
หม่าชาวขยี้ตาที่แดงอยู่ สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ หัวเราะแล้วพูด “ขอโทษนะ ทำให้ทุกคนต้องรอเสียนาน!”
หยางเฉินหัวเราะพลางเดินเข้าไป กางมือออก โอบกอดกันกับหม่าชาว พูดด้วยหัวเราะว่า “พี่น้อง ในที่สุดก็รอจนแกตื่นจนได้!”
หม่าชาวก็กอดหยางเฉินแน่น พูดตาแดง ๆ ว่า “พี่เฉิน ผมรู้สึกตัวอยู่หลายวันแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครึ่งปีผ่านมานี้ อ้ายหลินได้พูดให้ผมฟัง ผมรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว พี่เฉิน ต้องขอบคุณพี่เฉินมาก!”
ตั้งแต่เริ่มคาดพกแก้ววิเศษจรัสราตรีไว้กับตัวหม่าชาว เขาก็เริ่มมีสติ เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดรอบตัวเขา ตลอดทั้งเรื่องที่ทุกคนพูดกัน เขาได้ยินรับรู้ได้หมด เพียงแต่ตื่นขึ้นไม่ได้
หม่าชาวถึงแม้ฟื้นแล้ว แต่ด้วยเพราะนอนสลบไสลอยู่ครึ่งปีเต็ม ๆ พอเพิ่งลงจากเตียง การยืนก็ยังทรงตัวไม่ค่อยดี เวลาเดินก็เป๋ไปเซมา การจะให้กลับสู่สภาพปกติ คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้รีบร้อน มีเฝิงเสียวหว่านอยู่ อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ คงฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
หยางเฉินตรวจสอบพลังฝีมือในตัวหม่าชาว ดูแล้วเทียบได้เหมือนกับสองพี่น้องตระกูลซ่ง อยู่ที่แดนเหนือมนุษย์ขั้นห้าชั้นต้นแล้ว
แน่นอนว่า แก้วดูดเลือดในตัวของหม่าชาว มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน
เดิมทีเดียวนั้น ระดับแดนบูโดของหม่าชาว อยู่แค่เพียงแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยถูกแก้วดูดเลือดกระตุ้นเอาสายเลือดบรรพชนไป๋หลี่ บีบเค้นเอาพลังแฝงที่อยู่ในก้นบึ้งออกมา
ถึงแม้มาถึงขณะนี้จะมีอยู่ที่แดนเหนือมนุษย์ขั้นห้า แต่ในกลุ่มคนที่อายุรุ่นเดียวกันนี้ นอกจากหยางเฉิน ก็อยู่ในขั้นที่เรียกว่าเป็นพรสวรรค์ระดับหลุดโลกของวงการบูโดสุด ๆ แล้ว
วันรุ่งขึ้น แต่เช้ามืด หยางเฉินก็ขับรถไปรับเซี่ยเหอแล้ว
พอเห็นหน้าเซี่ยเหอ เซี่ยเหอเหมือนตาทั้งคู่ยังดูปูดบวมอยู่หน่อย ขอบตาก็ดูดำเข้ม ชัดเจนว่าเมื่อคึนนี้หลับไม่เต็มอิ่ม
“เซี่ยเหอ เช้าสวัสดีนะ!เธอน่าจะยังไม่ได้กินมื้อเช้านะ?ผมพาคุณไปกินมื้อเช้ากัน”
หยางเฉินมองหน้าเซี่ยเหอ พูดยิ้ม ๆ
เซี่ยเหอพูดอย่างไม่มีอารมณ์ “ไม่ต้องหรอก ส่งฉันไปที่กองงานละครที่ฉันจะไปถ่ายงานประชาสัมพันธ์เถอะ”
เห็นท่าทีเย็นชาของเซี่ยเหอ หยางเฉินยิ้มแห้ง ๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เซี่ยเหอ เมื่อวานนี้ผมไม่ดีเอง พูดจาผิดไปบ้าง เธอเป็นคนใจกว้าง ก็ให้อภัยผมสักครั้งนะ ได้มั้ย?”
เซี่ยเหอเคยมีบุญคุณกับเสี้ยวเสี้ยวอย่างมาก หยางเฉินไม่เคยลืมบุญคุณในครั้งนั้น ถึงแม้เขาก็เคยช่วยเซี่ยเหอไว้มากมาย แต่ลึกลงไปในใจของเขา เซี่ยเหอเป็นผู้มีบุญคุณที่สูงมากของเสี้ยวเสี้ยว เกินกว่าที่เขาจะต้องตอบแทนได้ทั้งชาติ
ในใจของเขา เซี่ยเหอสำหรับเขานั้น คือเพื่อนที่สำคัญมากที่สุด เขาจะไม่ยอมเสียเพื่อนคนนี้ไป
ดูสีหน้าที่จริงใจของหยางเฉิน เซี่ยเหอต้องใจอ่อนลงในทันที เมื่อคืนหล่อนนอนไม่ได้หลับดีเลย และได้ตัดสินใจอยู่แล้วว่า รอให้วันนี้ช่วยงานถ่ายทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะเลิกติดต่อกับหยางเฉินอีก
อีกทั้งหล่อนยังได้ตัดสินใจ ตั้งแต่นี้ต่อไป เวลาที่เผชิญหน้ากับหยางเฉิน ก็จะวางตัวเป็นเหมือนคนแปลกหน้า
แต่ว่า ตอนนี้พอได้พบหน้าหยางเฉิน หล่อนก็ใจอ่อน ทำยังไงก็ทำใจไม่ได้
ในทันทีนั้นเซี่ยเหอก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ครู่หนึ่งต่อมา จึงได้ทำเชิดหยิ่งพูดแก้เขินไปว่า “ฉันจู่ ๆ ก็เกิดหิวขึ้นมา ช่วยพาฉันไปทานอาหารเช้าหน่อยเถอะ!”
เซี่ยเหอถึงไม่ได้บอกว่าให้อภัยหยางเฉิน แต่คำพูดของหล่อนแบบนี้ ก็เป็นการแสดงท่าทีของหล่อนให้เห็นชัดแล้ว หยางเฉินก็รู้สึกดีใจมาก รีบยิ้มแล้วตอบไป “ดี ๆ ๆ ผมพาคุณไปทานอาหารเช้ากันเดี๋ยวนี้เลย!”
ไม่นานนัก รถก็มาจอดที่หน้าร้านอาหารเช้าร้านหนึ่ง เป็นร้านอาหารเช้าพื้นบ้านมาก ๆ สภาพร้านไม่ได้ใหญ่โต แต่ในร้านนั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มากินมื้อเช้ากัน
หยางเฉินยิ้ม ๆ และพูดว่า “อาหารเช้าของที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว หน้าร้านดูเล็กไปหน่อย แต่รสชาติของเขาดีจริง รสชาติแบบบ้านๆ มาก ๆ เดี๋ยวคุณได้กินแล้ว จะต้องชอบร้านนี้แน่”
“วันนี้ก็คงเพราะเรามาสายหน่อย ถ้ามาเช้ากว่านี้สักครึ่งชั่วโมง น่ากลัวต้องรอคิวไปพักใหญ่”
ขณะกำลังพูด ในร้านอาหารเช้านั่นพอดีมีคนที่กินเสร็จ หยางเฉินรีบลากเซี่ยเหอเข้าไป “แย่ง” ที่นั่งได้
หยางเฉินก็เอาใบเมนูอาหารยื่นให้เซี่ยเหอ หัวเราะพลางพูดว่า “คุณดูเอา นี่เป็นรายการอาหาร คุณอยากกินอะไร เดี๋ยวผมไปสั่งให้”
เซี่ยเหอเดิมนั้นมาจากครอบครัวยากจน จึงไม่รู้สึกรังเกียจสภาพแวดล้อมรอบบริเวณแบบนี้ จึงได้ขอซาลาเปาใส่ไส้สองลูก และชานมหนึ่งถ้วย
ครู่เดี๋ยวเดียว หยางเฉินก็ได้ยกถาดอาหารเช้ามา หยิบเอาชามชานมวางลงข้างหน้าเซี่ยเหอ พูดยิ้ม ๆ ว่า “ชานมของเจ้านี้ ใช้นมวัวแท้ ๆ ชงกับชาแดง ไม่มีสารเจือใด ๆ จะเติมน้ำตาลหน่อย และใส่เกลือสักนิดก็ได้”
เซี่ยเหอยกชานมขึ้น ค่อย ๆ จิบ ชมออกปากว่า “รสชาติบ้าน ๆ จริง ๆ อร่อยมากเลย”
พูดเสร็จ กัดซาลาเปาใส่ไส้คำหนึ่ง พอกัดซาลาเปาเข้าไป ไส้ผักกับเนื้อชุ่มด้วยน้ำ อร่อยเข้าไปเต็มปาก
เซี่ยเหอถึงกับเจริญอาหารขึ้นมา ซาลาเปาทั้งสองลูกถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว พูดด้วยความอยากกินที่ยังไม่ยอมจะหายว่า “ดูเหมือนน่าจะได้อีกสักสองลูก แต่ไม่ได้ละ ฉันต้องควบคุมอาหาร”
หยางเฉินหัวเราะ “อยากกินก็กินเลย เพียงอย่าให้ถึงกับมีปัญหากับสุขภาพก็แล้วกัน ผมไปซื้อมาให้อีกสองลูกนะ”
พูดจบ เขาก็ลุกยืนขึ้น
แต่ พอเขาแค่ลุกยืนขึ้น ในทันใดนั้น กระแสอันตรายอย่างรุนแรงจู่โจมใส่เข้ามา สีหน้าเขาเปลี่ยนไปในฉับพลัน รีบถลันเข้าปกป้องเซี่ยเหอไว้ให้อยู่ข้างหลัง ยกมือขึ้นตั้งการ์ดรับ
“ปัง!”
ขาของฝ่ายตรงข้ามอัดลงมา กระทืบใส่อย่างหนักหน่วงลงบนแขนที่หยางเฉินตั้งการ์ดรับไว้ตรงหว่างอก