The king of War - บทที่ 19 คำสัญญากลางสายฝน
บทที่ 19 คำสัญญากลางสายฝน
หยางเฉินที่ยืนอยู่ชั้นบนสุด มองเห็นฉินซีรับโทรศัพท์สายหนึ่งแล้วก็รีบร้อนจากไปพร้อมกับฉินยี
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”
เขาหมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล “สองพี่น้องนั่นท่าทางดูลุกลี้ลุกลน จากไปรวดเร็วขนาดนั้น จะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ ๆ”
เขาพูดจบก็หันกลับไปเดินออกจากห้องทำงานไป
ฉินยีขับรถด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทาง เห็นเป็นเพียงลำแสงสายฟ้าแลบสีขาวฉวัดเฉวียนไปมาอย่างต่อเนื่อง
ยังดีที่ไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน รถบนถนนจึงมีไม่มาก
ปกติใช้เวลาขับรถครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้ฉินยีกลับใช้เวลาขับรถเพียงยี่สิบนาทีก็มาถึงประตูบ้าน
สองพี่น้องสามารถมองเห็นผู้คนมากมายรายล้อมอยู่รอบตัวบ้านจากในที่ไกล ๆ โจวยู่ชุ่ยกับฉินต้าหย่งกำลังโดนรปภ. 7-8 คน ล้อมอยู่กลางวง
“พวกแก ไอ้พวกชั่ว นี่เป็นบ้านของฉัน ถือดีอย่างไรมาไล่ฉันออกไป?” โจวยู่ชุ่ยร้องตะโกนเสียงดังอย่างเดือดดาล ยังคงโบกไม้โบกมือไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
“ฉินเฟย นายจะเอายังไงกันแน่?” ฉินซีพุ่งออกจากตัวรถ ร้องตะโกนไปทางฉินเฟย โกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว
ตอนที่ฉินเฟยเห็นสองสาวเดินลงมาจากมาเซราติก็มีสีหน้าประหลาดใจ
ไม่มีใครในตระกูลฉินรู้เรื่องที่คนตระกูลซูมาส่งของกำนัลให้ถึงบ้าน พอเห็นรถคันนี้ฉินเฟยก็หัวเราะเสียงเย็น “ฉินซี เธอนี่มันเป็นปรสิตของตระกูลจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าจะขับมาเซราติราคาเป็นล้าน มิน่าล่ะ ท่านปู่ถึงได้ออกคำสั่งการของผู้นำ ไล่ครอบครัวของพวกเธอออกจากตระกูล”
“นายหุบปากซะ! นี่เป็นสินสอดที่ตระกูลซูมอบให้กับยียี ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด” ฉินซีพูดด้วยความโมโหดวงตาแดงก่ำ
ฉินเฟยรู้สึกประหลาดใจ ตระกูลที่สามารถมอบรถหรูราคาเป็นล้านได้ทั้งเจียงโจวก็มีเพียงตระกูลซูตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากเป็นแบบนี้จริง ๆ นั่นก็แสดงว่าฉินยีถูกคนในตระกูลซูชอบพอเข้าให้แล้ว เธอถือว่าเป็นหงส์ที่บินไปอยู่บนยอดไม้แล้ว
แต่พอนึกถึงฉินซีที่ใช้อำนาจคุกคามเขา เขาทำได้เพียง ‘กำจัดไม่ให้เหลือซาก’
“รถคันนี้จะเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่ก็ไม่ช่าง เพราะเส้นตายที่ท่านปู่ให้กับเธอไว้สามวันมาถึงแล้ว นี่เป็นบ้านของตระกูลฉิน ในเมื่อพวกเธอโดนขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว ถ้าอย่างนั้นบ้านหลังนี้ก็ต้องคืนให้กับตระกูล” ฉินเฟยยิ้มตาหยีพูด
นึกไม่ถึงเลยว่าในตอนนี้บุคคลที่มีความสัมพันธ์สายตรงของตระกูลฉินทั้งหมดที่อยู่รายล้อมจะไม่มีสักคนที่ก้าวออกมาช่วยฉินซีพูดสักประโยค พวกเขากลับเยาะหยันด้วยซ้ำ ท่าทางเหมือนมาดูเรื่องสนุกแท้ ๆ เลย
น้ำใจของคนเปราะบางแค่นี้เองสินะ
หัวใจของฉินซีกำลังหลั่งเลือด ดวงตาทั้งคู่ของเธอแดงก่ำ “ต่อให้จะขับไล่พวกเราออกจากตระกูลฉินจริง ๆ นั่นก็ยังขาดคำสั่งการของผู้นำ คำสั่งการของผู้นำยังไม่ถ่ายทอดลงมา พวกนายก็อดใจรอมาไล่พวกเราไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“แก ไอ้คนระยำ ฉันจะเดิมพันกับแก!”
ฉินยีที่อารมณ์เดือดจนเกือบจะถึงขีดอันตราย พอเห็นพี่สาวโดนเหยียดหยามเช่นนี้ เธอก็พุ่งไปทางฉินเฟย
ฉินเฟยหัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง “ไม่รู้จักประมาณตน!”
ฉินยีเพิ่งจะวิ่งเข้าไปก็โดนรปภ.สองคนขวางเอาไว้ เธอเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง จะข้ามผ่านการขัดขวางของผู้ชายเต็มวัยสองคนได้อย่างไร?
“ปล่อยยียีนะ!”
ฉินซีก็โถมตัวเข้าไปด้วย แต่ก็มีจุดจบเหมือนกับฉินยี
ฉินเฟยเดินไปถึงข้างกายของสองสาว ยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ฉินซี ตอนนี้ซานเหอกรุ๊ปอยู่ในมือของฉันแล้ว ต่อให้ทำให้มันพัง ก็กลับไปอยู่ในมือเธอไม่ได้หรอก ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ฉินซีดันตัวรปภ.ออกอย่างรวดเร็วและรุนแรง พุ่งเข้าไปจับแขนของฉินเฟยไว้ กัดเข้าไปหนึ่งคำ
“อ๊าก…”
ฉินเฟยที่เมื่อกี้กำลังหัวเราะอย่างหนักด้วยความลำพองใจอยู่ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวน เขาต่อสู้ดิ้นรน บริเวณที่ถูกกัดยิ่งถูกดึงรั้ง ความเจ็บปวดเพิ่มมากขึ้น
“ปล่อยฉันนะ แก ยัยผู้หญิงชั่ว!” เขาถูกยั่วให้โมโหจบสิ้นสติจนระเบิดความโกรธในทันที เขาต่อยออกไปทางฉินซีหนึ่งหมัด
“พี่คะ!” ฉินยีตะโกนเสียงดัง แต่ก็โดนรปภ.สองคนขัดขวางเอาไว้ อย่างไรก็ผ่านไปไม่ได้
สามารถบีบบังคับจนฉินซีใช้ฟันกัดได้ แค่คิดรู้ว่าเธอโมโหเพียงใด
สายตามองกำปั้นของฉินเฟยที่กำลังจะตกลงมาถึงตัวของเธอ ชั่วพริบตาก็มาถึงแล้ว
“พลั่ก!”
ข้อมือของฉินเฟยโดนจับไว้ในฉับพลัน ตอนนี้ระยะห่างของกำปั้นกับศีรษะของฉินซีเหลือเพียงไม่กี่เซนติเมตร
ตอนที่มองเห็นคนที่มาขัดขวางทุกคนต่างรู้สึกช็อก
“หยางเฉิน!” ฉินยีมองเงาร่างของร่างนั้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน อดที่จะน้ำตาไหลออกมาไม่ได้
ฉินซีเองก็ระบายอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา เธอมองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ที่ในตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ที่แดงก่ำของอีกฝ่ายมองเธออย่างโทษตัวเอง มือข้างหนึ่งยังจับไว้ที่ข้อมือของฉินเฟย
“ที่แท้ก็ไอ้สวะอย่างแกนี่เอง ฉันขอแนะนำให้แกรีบปล่อยมือ ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษที่ฉัน…”
“กร๊อบ!”
ฉินเฟยยังพูดไม่ทันจบ เสียงแตกหักที่กังวานก็ดังมาจากบริเวณข้อมือ จากนั้นอาการเจ็บปวดเฉียบพลันก็จู่โจมเข้ามา
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งบ้านใหญ่
“ปัง!”
เขาเพิ่งจะร้องออกมา บนหน้าอกก็โดนพลังมหาศาลปะทะเข้ามาอีก จากนั้นเขาก็ปลิวไปไกลถึง 7-8 เมตรแล้วตกลงมาแรง ๆ บนพื้นปูนซีเมนต์
สองตากลอกไปมา นึกไม่ถึงว่าจะหมดสติไป
หยางเฉินเดินไปถึงข้างกายของฉินเฟย หยิกเข้าไปตรงร่องกลางเหนือริมฝีปากแล้วพูดว่า “เป็นลมซะแล้ว แค่นี้เองเหรอเนี่ย!”
ฉินเฟยที่เพิ่งจะสลบไปสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้งแล้วลืมตาทั้งสองข้างขึ้นทันที
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นต่อไป
ทุกคนต่างมองไปที่หยางเฉินด้วยสีหน้าตะลึงงัน
คนที่ใช้ขาข้างเดียวถีบผู้ใหญ่ทั้งคนปลิวไปได้ไกลถึง 7-8 เมตร นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม?
นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญคือคนก็เป็นลมไปแล้ว ยังจะช่วยให้ฟื้นขึ้นมารับความเจ็บปวดที่ข้อมือหักอีก
แต่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือถ้าหากหยางเฉินไม่ออมมือล่ะก็ ป่านนี้ฉินเฟยได้ไปพบพญายมแล้ว
วันนี้ได้เห็นหยางเฉินถีบคนปลิวอีกครั้ง และยังเป็นฉินเฟยอีก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองหยางเฉินแล้วไม่รู้สึกขัดหูขัดตา
“ถ้าหากไม่อยากตายก็ไสหัวกันออกไปให้หมด!” หยางเฉินดุด่าเสียงดังขึ้นฉับพลัน
ยังจะมีใครหน้าไหนกล้าอยู่ที่นี่ต่ออีก? ทุกคนต่างจากไปเหมือนกับกำลังหนีภัยอย่างไรอย่างนั้น
ฉินซีมีท่าทางขวัญหนีดีฝ่อ หยางเฉินมองดูแล้วปวดใจเป็นอย่างมาก
“แก ไอ้คนระยำ นึกไม่ถึงว่าถึงกับกล้าต่อยตีฉินเฟย นายท่านยิ่งไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่ เป็นเพราะแก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะโดนขับไล่ออกจากตระกูลได้อย่างไร เป็นเพราะไอ้คนระยำอย่างแก!”
โจวยู่ชุ่ยพูดแล้วก็ยกมือขึ้นมา แต่มือของเธอยังไม่ทันปะทะลงมา ฉินยีก็พุ่งเข้ามาแล้วคำรามขึ้นมาเสียงดัง “พอได้แล้ว!”
“นี่มันเวลาไหนแล้ว? นึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่แม่กังวลจะไม่ใช่เรื่องที่พี่โดนรังแก กลับเป็นการคิดว่านายท่านจะปล่อยพวกเราไปไหม?”
อารมณ์ของฉินยีพลุ่งพล่านเป็นพิเศษ ร้องไห้แล้วก็คำรามใส่โจวยู่ชุ่ย “ตระกูลฉินรังแกจนลามมาถึงพวกเราแล้ว แม่ยังจะผลักพี่สาวเข้าไปในกองไฟอยู่อีก? หรือว่าแม่ไม่รักเธอเลย?”
ในตอนนี้เอง ฉินซีที่เงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอดก็เงยหน้าขึ้นมองหยางเฉินในฉับพลัน “คำพูดที่นายเคยพูดไว้กับฉันเมื่อก่อน ยังเชื่อถือได้อยู่ไหม?”
ได้ยินอย่างนั้นหยางเฉินก็ยืดตัวตรง สีหน้าจริงจังขึ้น เขาพูดด้วยเสียงกังวานเปี่ยมไปด้วยพลังว่า “ขอเพียงเธออยากได้ ต่อให้เป็นโลกทั้งใบ ฉันก็ให้เธอได้”
ฉินซีเผยความรู้สึกออกมาบนใบหน้า น้ำตาไหลออกมาราวกับทำนบแตก “ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันอยากได้ใครสักคน คนที่คอยบังลมบังฝนให้กับฉันได้”
ได้ยินคำพูดของฉินซี ในใจของหยางเฉินราวกับกำลังหลั่งเลือด มองดูผู้หญิงที่น้ำตานองเต็มใบหน้าแล้วพูดขึ้นมาทันที “ได้!”
พูดออกมาแค่คำเดียวแล้วก็หันหลังจากไป
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าแลบผ่าลงมาที่ขอบฟ้า ฝนตกลงมาอย่างหนักในชั่วพริบตา
มองดูเงาร่างที่ค่อย ๆ หายไปในสายฝน ฉินซีก็หมดหนทางระงับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานในใจ เธอปล่อยโฮออกมาเสียงดัง