The king of War - บทที่ 1925 สุดท้ายก็อยู่ต่อ
กลางลานประลองของสำนักมารรังสีวิถีบู๊ของหยางเฉินได้เพิ่มสูงถึงจุดสูงสุดที่รองจากแดนนภาแล้ว แม้แต่ลี่เฉินก็ยังต้องยอมรับว่าตอนที่ตัวเองอยู่ กึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ก็ไม่สามารถปลดปล่อยรังสีวิถีบู๊ที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้
เนี่ยชิวไม่เหลือความมั่นใจที่จะชนะได้แล้ว ตอนนี้ เขาทำได้แค่พยายามป้องกันการโจมตีอันรุนแรงของหยางเฉินที่หวังเอาชีวิตเท่านั้น
ในตอนนี้ ไม่เพียงหยางเฉินที่บาดเจ็บไปทั้งตัว เนี่ยชิวก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ดูอนาถยิ่งกว่า เสื้อผ้าตามตัวก็ฉีกขาดจนไม่เหลือชิ้นดี ผมสีขาวยาวๆ ก็หลุดลุ่ยไปหมด
หม่าชาวที่ถูกลี่เฉินปกป้องอยู่ข้างๆ สีหน้ามีแต่ความกังวล ถึงรู้ว่าเนี่ยชิวต้องแพ้แน่ๆ แต่ก็อดที่จะกังวลไม่ได้
“ตาย!”
หยางเฉินตะโกนออกมา เคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า หายตัวไปจากจุดที่ยืนในพริบตา
เนี่ยชิวรับรู้ได้ถึงความกดดันอันมหาศาล เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะโจมตีแล้ว แต่กลับเตรียมรับการโจมตีในครั้งนี้อย่างเต็มที่
ในพริบตาที่หยางเฉินพุ่งเข้าหาเขา เขาก็ได้รวบรวมรังสีวิถีบู๊ทั้งหมดในตัวไปไว้ที่หน้าอก
“ตุบ!”
วินาทีต่อมา ร่างของคนคนหนึ่ง ได้ดีดตัวออกไปราวกับจรวด พุ่งไกลออกไปหลายสิบเมตร เลือดสาดกระเซ็น
“ตูม!”
ร่างกายของเนี่ยชิวกระแทกลงพื้นอย่างแรง เลือดอาบเต็มหน้า เสื้อผ้าตรงหน้าอกของเขาได้ถูกพลังอันรุนแรงนี้โจมตีขาดกระจุยไปแล้ว
ส่วนตรงหน้าอกของเขา ยังมีรอยหมัดอันน่าตกใจปรากฏอยู่ด้วย
ในวินาทีนี้ บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ!
ทุกคนต่างมองไปยังเนี่ยชิวที่นอนอยู่บนพื้นและพยายามจะลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้ด้วยความช็อก
ผ่านไปพักใหญ่ ถึงมีเสียงที่ตกตะลึงดังขึ้นกลางฝูงชน
“หยางเฉิน ชนะเหรอ?”
“เขาที่อยู่แค่แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลางเท่านั้น ทำไมถึงเอาชนะผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดรองจากแดนนภาได้ล่ะ?”
“ใครก็ได้ช่วยบอกฉันที ว่ามันเป็นเรื่องจริงใช่มั้ย?”
……
คนที่ยังอยู่ที่ลานประลอง ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดของสำนักมารไม่เว้นแม้แต่คนเดียว พวกเขาต่างก็เป็นชายวัยกลางคนที่อยู่มาอย่างน้อยสี่ห้าสิบปีแล้ว แถมยังมีนักสู้ที่อายุค่อนข้างมากแล้วด้วย
ตอนนี้ก็ทนไม่ได้จนต้องส่งเสียงอุทานออกมา
ถึงพวกเขาจะคาดไว้ก่อนแล้วว่าหยางเฉินจะเอาชนะเนี่ยชิวได้ แต่ในตอนที่มันเกิดขึ้นตรงหน้า พวกเขาก็ยังยากที่จะรับได้อยู่ดี
ภายใต้สายตาของทุกคน หยางเฉินค่อยๆ เดินมาตรงหน้าของเนี่ยชิว จ้องมองอีกฝ่ายอย่างผู้ที่อยู่เหนือแล้วพูดด้วยนำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ความแค้นก่อนหน้านี้ ถือว่าหายกัน!”
“แต่ว่า ผมจะทำให้คุณได้รู้ ว่านี่เป็นครั้งแรก และจะเห็นครั้งสุดท้าย ถ้าหลังจากนี้ คุณกล้าคิดไม่ซื่อกับน้องชายผม ผมก็ไม่มีทางปล่อยคุณไปแน่นอน!”
พูดจบ เขาก็กระทืบเท้าลงไปยังพื้นที่ข้างหัวเนี่ยชิว
“ตุบ!”
เกิดเสียงดังขึ้น แผ่นดินถึงกับสะเทือน ส่วนพื้นดินที่อู่ข้างหัวเนี่ยชิว ยุบลงไปเป็นรอยเท้าขนาดใหญ่
ถ้าหยางเฉินต้องการฆ่าเนี่ยชิว เมื่อกี้ก็คงไม่กระทืบลงไปที่พื้นแล้ว
เนี่ยชิวเองก็รู้ดีว่าหยางเฉินกำลังเตือนเขา
เขามองหยางเฉินด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน สายตาไม่มีความเกลียดชังแต่อย่างใด แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “ผมเป็นผู้พิทักษ์ของเขา ก่อนที่ฝีมือของเขาจะก้าวข้ามผม ถ้าต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งนอกจากผมตาย ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่มีทางตายก่อนแน่นอน!”
เนี่ยชิวสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงแน่วแน่
มันเป็นคำสัญญาที่ให้กับหยางเฉิน และเป็นคำสัญญากับหม่าชาวเหมือนกัน
หยางเฉินที่อยู่ในสภาพตึงเครียด ถึงได้ผ่อนคลายลง รังสีวิถีบู๊ในตัวเขาหายไปทันที
ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าถาโถมเข้ามา ทำให้หยางเฉินแทบหมดสติไปทันที
ตอนที่เขาพยายามไม่ให้ตัวเองล้มลง เขาเพิ่งเอาชนะเนี่ยชิวมาได้ ถ้ามาล้มเอาตรงนี้ ทุกอย่างที่ทำมา มันก็จะสูญเปล่า
“พี่เฉิน!”
หม่าชาวดูออกว่าหยางเฉินไม่ปกติ เขากำลังจะวิ่งเข้าไป แต่กลับถูกลี่เฉินคว้าแขนเอาไว้
ลี่เฉินมองไปยังหม่าชาวที่ทำหน้าโมโห แล้วพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเธอออกไปตอนนี้ ทุกอย่างที่เขาทำมาเมื่อกี้มันจะสูญเปล่าทันที”
สีหน้าของหม่ชาวเกร็งขึ้นมาทันที พร้อมกับความสงสัยที่มากกว่า
ลี่เฉินหันมองไปทางหยางเฉินด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม แล้วพูดเบาๆ ว่า “เขาสู้อย่างเป็นตาย ไม่ใช่แค่เรื่องที่เนี่ยชิวเกือบฆ่าเธอก่อนหน้านี้ ยังตั้งใจที่จะสร้างบารมีให้เธอด้วย”
“หลังจากวันนี้ เนี่ยชิวจะไม่มีทางดูถูกเธออีก ไม่ใช่แค่เขา จากนี้ในสำนักมารก็จะไม่มีใครกล้าดูถูกเธออีก”
พอได้
พอได้ฟังคำอธิบายของลี่เฉิน หม่าชาวก็เข้าใจทันที จมูกเปรี้ยว จนน้ำตาเกือบไหลออกมา
ลี่เฉินพูดต่อ “ตอนนี้เขาต้องรู้สึกเหนื่อยมากแน่ๆ แต่เธอไม่ต้องห่วง นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อกี้เขาทนปลดปล่อยเขตแดนวิถีมารได้นานกว่าห้านาที ต่อให้เป็นฉันในตอนนี้ ก็ทนได้แค่ห้านาทีเท่านั้น แต่ฉันบรรลุถึงแดนเหนือมนุษย์แล้ว แต่เขา อยู่แค่แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลางเท่านั้น”
“เขารู้ดีว่า จะล้อมตอนนี้ไม่ได้ ถ้าล้มลงไป คนอื่นจะมองเขายังไง? ถึงแม้ว่าจะยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา แต่ก็น่าเกรงขามน้อยกว่าการที่เขาไม่ได้ล้มลง จากตรงนี้ทุกคนในสำนักมารต่างรู้ดีว่า เธอเป็นน้องชายของเขา ใครกล้าทำร้ายเธอ เขาก็ไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน”
ท่ามกลางสายตาผู้แข็งแกร่งของสำนักมารหยางเฉินมาถึงตรงหน้าหม่าชาว แล้วยิ้มออกมา “จากนี้ไป ใครก็ห้ามรังแกนายเด็ดขาด!”
ดวงตาของหม่าชาวแดงก่ำ แล้วตะโกนเสียงดังว่า “พี่เฉิน!”
หยางเฉินพยายามไม่ให้ตัวเองล้มลง แล้วหันไปพูดกับลี่เฉินที่อยู่ข้างๆ ว่า “ผู้อาวุโสลี่ ตอนนี้จะบอกผมได้แล้วใช่มั้ยครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ลี่เฉินมองหน้าเฉินด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ให้น้องชายของเธอเป็นคนเล่าเรื่องทุกอย่างให้เธอฟังดีกว่า!”
พูดจบ เขาหมุนตัวแล้วเดินจากไป
สิบนาทีหลังจากนั้น ภายในห้องสไตล์โบราณที่หรูหราของ สำนักมารห้องหนึ่ง
หยางเฉินกำลังจ้องมองหม่าชาวด้วยความช็อก เมื่อกี้ หม่าชาวได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังคร่าวๆ แล้ว
หม่าชาวยังอธิบายอีกว่า “แต่มันก็เป็นแค่สิ่งที่ผู้อาวุโสลี่ต้องการ ผมยังไม่ได้รับปากว่าจะเข้าร่วมกับสำนักมารที่มาภูเขาวมารในครั้งนี้ เดิมทีก็มาเพื่อฝึกวิชา ถ้าเข้าร่วมกับสำนักมารแล้ว แผนที่วางไว้ก็จะเสียหมด”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พี่เฉิน ผมจะไปหาผู้อาวุโสลี่ตอนนี้เลย แล้วคุยกันให้เข้าใจ”
“เดี๋ยว!”
หยางเฉินรีบเรียกหม่าชาวที่กำลังจะไปหาลี่เฉินไว้ แล้วถามกลับไปว่า “ทำไมนายถึงมาที่ภูเขาวมาร?”
หม่าชาวชะงัก ก่อนจะตอบมาว่า “เพื่อฝึกฝน ใช้เวลาครึ่งปี ทำให้ฝีมือของตัวเองบรรลุจริงๆ ผมไม่อยากเป็นแค่ตัวถ่วงของพี่อีกแล้ว แค่อยากตามพี่ให้ทัน”
หยางเฉินพูด “เมื่อเป็นแบบนั้น แล้วทำไมนายถึงไม่เข้าร่วมสำนักมาร? สำนักมารเป็นหนึ่งในห้ากองกำลังใหญ่ของภูเขาวมาร ถ้านายเข้าร่วมกับสำนักมารจากการให้ความสนใจของผู้อาวุโสลี่ จะต้องฝึกนายอย่างเต็มที่แน่”
“หรือนายคิดว่า พึ่งพาแค่การฝึกของตัวเอง จะสู้การฝึกของกองกำลังระดับสุดยอดของภูเขาวมารไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันว่านะ นายอยู่ที่สำนักมารแหละดีแล้ว!”