The king of War - บทที่ 198ฉันต้องการความจริง
นี่เป็นค่ำคืนที่ลิขิตมาให้ไม่หลับใหล ปกติเสี้ยวเสี้ยวเข้านอนไวมาก วันนี้กลับฮึกเหิมผิดปกติ กระทั่งกลางดึกถึงได้หลับไป
เช้าตรู่วันต่อมา หยางเฉินเพิ่งออกกำลังกายเสร็จกลับมาถึงบ้าน ฉินยีกำลังยกนมอุ่นสองแก้วเดินออกมาจากในห้องครัว พอมองเห็นหยางเฉิน หล่อนก็หัวเราะแบบเจ้าเล่ห์ “พี่เขย เมื่อคืนผ่านไปแบบสุขใจหรือเปล่า? ขอโทษจริงๆ นะ ความผิดฉันเองที่เอายัยก้างขวางคอตัวน้อยไว้ไม่อยู่”
“แต่ว่าพี่ไม่ต้องรีบร้อน อดทนอีกไม่กี่วัน ช่วงเวลานี้ให้ฉันเป็นคนไปรับไปส่งเสี้ยวเสี้ยว ให้พวกเราสานสัมพันธ์กันเข้าไว้ ไม่นานชีวิตความ‘สุข’ของพี่ก็มาถึงแล้ว!”
บนหน้าฉินยีเต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายและการหยอกล้อ
“เสี่ยวยี ช่วงนี้เธออยากโดนตีมากใช่มั้ย?”
เวลานี้ เสียงของฉินซีดังขึ้นมากะทันหัน
เห็นเพียงเธอกำลังอุ้มเสี้ยวเสี้ยวเดินลงมา หน้าตาเต็มไปด้วยความอับอายและโมโห
ฉินยีรีบหุบปากทันที หัวเราะหึๆ เดินเข้าไปรับเสี้ยวเสี้ยวมา ก่อนจะยิ้มกริ่มถามไปว่า “เสี้ยวเสี้ยว ครั้งก่อนหนูไม่ได้บอกว่าอยากจะมีน้องชายสักคนเหรอ?”
เสี้ยวเสี้ยวรีบพยักหน้า ฉินยีถามอีกว่า “งั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หนูต้องมานอนกับน้า”
“ทำไมล่ะคะ?”
เสี้ยวเสี้ยวท่าทางไม่เข้าใจ
“ต้องให้ปะป๊ากับหม่าม้าอยู่ด้วยกันตามลำพัง ถึงจะมีน้องชายมาให้หนูได้” ฉินยีอธิบายให้ฟังอย่างอดทน
เสี้ยวเสี้ยวเบ้ปากน้อยๆ เงยหน้ามองฉินยี พูดจาแบบน่าสงสาร “แต่ว่าหนูอยากนอนกับหม่าม้า และอยากมีน้องชายด้วย ทำยังไงดีคะ?”
“งั้นคงไม่มีวิธีแล้ว นอกจากหนูจะมานอนกับน้า ไม่อย่างนั้นหม่าม้าหนูก็มีน้องชายให้ไม่ได้!”
ฉินยีเหมือนเป็นตาลุงร้ายกาจคนหนึ่ง กำลังล่อลวงเสี้ยวเสี้ยวอยู่
“คุณน้าคะ หนูมีวิธีแล้ว!”
ทันใดนั้นเสี้ยวเสี้ยวดวงตาลุกวาว พูดอย่างดีใจ “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหนูนอนกับหม่าม้า คุณน้านอนกับปะป๊า แบบนี้คุณน้าก็สามารถมีน้องชายให้หนูได้คนหนึ่งแล้ว!”
เสี้ยวเสี้ยวพูดประโยคนี้ออกมา ชั่วขณะนั้นผู้ใหญ่ทั้งสามคนแข็งเป็นหินไปเลย
ตั้งนาน ฉินยีถึงพูดแบบหน้าแดงเขินอาย “พวกพี่กินข้าวเถอะ ฉันไปทำงานก่อนแล้ว!”
พูดจบ หล่อนออกจากบ้านไปเหมือนหนีอะไร
“หม่าม้า ทำไมคุณน้าไม่กินข้าวคะ?”
เสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ความหมายประโยคเมื่อสักครู่นั้นของตนเองดีนัก จึงถามขึ้นมาด้วยความไร้เดียงสา
ฉินซีก็หน้าแดงเพราะเขินอายเช่นกัน ถลึงตาใส่หยางเฉินทีหนึ่ง และพูดกำชับกับเสี้ยวเสี้ยวว่า “ต่อไปนี้ห้ามพูดเรื่องมีน้องชายอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นหม่าม้าจะไม่สนใจหนูแล้วด้วย!”
เสี้ยวเสี้ยวทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม หยางเฉินเห็นแบบนี้เข้า จึงรีบพูดว่า “เสี้ยวเสี้ยว รีบกินข้าวเช้าเร็ว ไม่อย่างนั้นจะไปสายนะ!”
ทานอาหารเช้าเสร็จ หยางเฉินส่งเสี้ยวเสี้ยวไปโรงเรียนอนุบาลก่อน และหลังจากพาฉินซีไปส่งที่ซานเหอกรุ๊ป ก็ออกไปเพียงลำพัง
……
ตระกูลจวง
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนกลางคืนไม่ได้รั่วไหลออกไป
ตอนเช้าตรู่ คนของตระกูลเมิ่งมาถึงแล้ว
ในห้องรับแขกของตระกูลจวง จัดวางศพร่างหนึ่งเอาไว้บนพื้นด้านข้าง
นั่นคือหงเทียนหยาที่เมื่อคืนโดนเฉียนเปียวปาดคอทีเดียวจนตาย
ตรงเก้าอี้ตำแหน่งหลักในห้องรับแขก มีภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ อายุประมาณสามสิบปี
ส่วนผู้นำของตระกูลจวงกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตำแหน่งด้านซ้ายตัวแรก
จากจุดนี้สามารถรับรู้ได้ถึงตำแหน่งของชายหนุ่มคนนี้
“ท่านตระกูลจวง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ขอให้คุณเล่าออกมาให้ชัดเจนสักรอบหนึ่ง ถ้ากล้าปิดบังใดๆ ผมคิดว่าตระกูลจวงไม่มีความจำเป็นต้องมีตัวตนอีกต่อไป”
ชายหนุ่มที่นั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งหลัก เอ่ยปากบอกกะทันหัน หน้าตานิ่งสงบ แต่ในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยการข่มขู่
จวงเจี้ยนเซ่อได้ยินดังนั้น อดสั่นเทาไปทั้งตัวไม่ได้ เขารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ มีความสามารถพังตระกูลจวงจนพินาศได้จริง
เพราะผู้ชายอายุน้อยคนนี้คือรุ่นที่สามของตระกูลเมิ่ง เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุด ชื่อว่าเมิ่งฮุย
เมิ่งฮุยและเมิ่งชวนคือรุ่นเดียวกัน แต่ตำแหน่งของทั้งสองคนที่ตระกูลเมิ่งกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ส่วนในบรรดารุ่นที่สามของตระกูลเมิ่ง มีเพียงเมิ่งฮุยที่ถูกเรียกว่าคุณชายเมิ่ง
“คุณชายเมิ่งครับ เมื่อคืนมีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามายังที่พักของท่านหงกะทันหัน ตอนที่พวกเรามาถึงที่เกิดเหตุ พบว่าท่านหงโดนฆ่าเรียบร้อยแล้วครับ!”
จวงเจี้ยนเซ่อรีบตอบทันที
เมิ่งฮุยหรี่ตาจ้องจวงเจี้ยนเซ่อไว้ “เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
จวงเจี้ยนเซ่อกัดฟันบอก “คุณชายเมิ่งครับ ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนครับ แต่ที่แน่ใจได้คือเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหนุ่มที่ชื่อหยางเฉินคนนั้นแน่นอนครับ”
เมื่อคืนนี้ หลังจากตระกูลจวงหาเฉียนเปียวไม่เจอ จวงเจี้ยนเซ่อก็เรียกรวมญาติสายตรงของตระกูลจวง ปรึกษากันว่าจะรับมือกับการสอบสวนของตระกูลเมิ่งอย่างไรดี
ถ้าบอกความจริงออกไปตามตรง เพราะตอนนั้นจวงเจี้ยนเซ่อเกิดความลังเล ถึงทำให้เฉียนเปียวหาโอกาสหนีรอดไปได้ ตระกูลเมิ่งต้องตามตำหนิตระกูลจวงเป็นแน่
เพื่อปกป้องทั้งตระกูลแล้ว จวงเจี้ยนเซ่อจึงต้องปิดบังความจริงเอาไว้
สายตาเมิ่งฮุยค่อยๆ เย็นชาลงมา “ท่านตระกูลจวง ผมให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย บอกผมมา สรุปเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”
ทั้งตัวของจวงเจี้ยนเซ่อเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาไม่มั่นใจ สรุปเมิ่งฮุยกำลังหลอกถามเขา หรือว่ารู้ความจริงแล้วกันแน่
ตอนที่เขาลังเลอยู่นั่นเอง เมิ่งฮุยกวาดสายตาไปรอบห้องโดยฉับพลัน เอ่ยปากบอกว่า “ฉันให้โอกาสขึ้นรับตำแหน่งกับพวกนาย ถ้าใครบอกความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนออกมาได้ วันหลัง คนคนนั้นจะได้เป็นผู้นำของตระกูลจวง!”
เมิ่งฮุยพูดประโยคนี้ออกมา ญาติสายตรงของตระกูลจวงหลายคนพากันทำหน้าตาฮึกเหิม
ในใจจวงเจี้ยนเซ่อแอบรู้สึกไม่ดี รีบบอกว่า “คุณชายเมิ่งครับ ผมพูด! ผมพูด! ผม……”
“ปัง!”
คำพูดของจวงเจี้ยนเซ่อยังไม่ทันจบ กลางคิ้วมีรูเลือดโผล่มา ร่างกายของเขาล้มลงข้างหนึ่งทันที
เห็นเพียงชายกำยำที่ยืนอยู่ด้านหลังของเมิ่งฮุยคนนั้น เก็บปืนโคลท์คิงคอบร้ากระบอกหนึ่งกลับไปไว้ด้านข้างเสื้อสูท ทำเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
ทั้งภายในห้องรับแขกล้วนเงียบงัน ร่างกายแต่ละคนกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง
คาดไม่ถึงลูกน้องของเมิ่งฮุยจะคล่องแคล่วฉับไวเช่นนี้ บอกว่าจะลงมือก็ลงมือจริงๆ
“นี่คือสิ่งตอบแทนสำหรับการหลอกลวงฉัน!”
เมิ่งฮุยพูดจาด้วยหน้าตาไร้ความรู้สึก กวาดสายตามองทั้งห้อง ถามขึ้นอีกครั้ง “ใครจะเป็นคนบอกฉัน เรื่องความจริงเมื่อวานนี้?”
เมิ่งฮุยดูเหมือนหน้าตาเรียบเฉย แต่ทำให้แต่ละคนของตระกูลจวงรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ถึงแม้ผู้นำตระกูลจะโดนฆ่าแล้ว แต่กลับไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมาต่อหน้าเขา
“ผมพูด!”
“ผมพูด!”
“ผมพูด!”
……
หลังจากอึ้งทึ่งช่วงสั้นๆ ญาติสายตรงของตระกูลจวงต่างแย่งกันตอบ
เมิ่งฮุยฉีกมุมปากขึ้นเบาๆ ยื่นมือชี้ไปยังภาพคนคนหนึ่งในกลุ่มคน “นายเป็นคนพูด!”
คนที่ถูกชี้คือจวงเซิ่ง เดิมคือบุคคลที่ดีเลิศที่สุดในรุ่นนี้ของตระกูลจวง ตำแหน่งของผู้สืบทอดผู้นำตระกูล เดิมทีก็เป็นของเขา
จวงเซิ่งรีบเอ่ยปากบอก “เมื่อคืน พวกเรากำลังประชุมกันอยู่ ถกเถียงว่าจะจัดการหยางเฉินอย่างไร แต่ในตอนนั้นเอง รถจี๊ปThe Herdsmanคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตระกูลจวงแบบกะทันหัน ชนคฤหาสน์ที่ท่านหงพักอยู่โดยตรง…..”
จวงเซิ่งเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมทั้งรายละเอียด เล่าออกมาจนกระจ่างมาก
รอเขาพูดจบ เมิ่งฮุยพยักหน้าแล้ว ทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ผ่านไปตั้งนาน เมิ่งฮุยพูดขึ้นทันใด “พูดง่ายๆ ท่านหงโดนคนที่ชื่อว่าเฉียนเปียวฆ่าตาย ปากคอทีเดียว เฉียนเปียวอายุประมาณสามสิบปี เดิมทีตระกูลจวงมีโอกาสฆ่าเฉียนเปียว แต่เพราะจวงเจี้ยนเซ่อลังเล จึงทำให้อีกฝ่ายหาโอกาสหลบหนีไป ที่ฉันพูดมาถูกต้องมั้ย?”
“ถูกครับ เป็นแบบนี้!”
จวงเซิ่งรีบตอบกลับ
“เฉียนเปียว ทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นหูอยู่บ้างนะ?”
เมิ่งฮุยพูดกับตนเองมาทันใด