The king of War - บทที่ 1983 ค่ายกลหลอมวิญญาณ
The king of War บทที่ 1983 ค่ายกลหลอมวิญญาณ
คำพูดของตู้ป๋อ ทำให้หม่าชาวตะลึงค้างถึงที่สุด จะกำจัดวิญญาณของเทพมาร คาดไม่ถึงยังต้องกำจัดร่างกายของหยางเฉินไปพร้อมกันด้วยเหรอ?
เวลานี้ ลี่เฉินเอ่ยปากพูดว่า “ในอดีตเทพมารเคยผิดใจผู้คนมากมาย ตอนนี้วิญญาณของเทพมารยังมีตัวตนอยู่บนโลก ต้องเรียกผู้แข็งแกร่งมากมายเข้ามาแน่ ในสายตาของบุคคลใหญ่โตของโลกบู๊โบราณเหล่านั้น คงไม่สนใจว่าเทพมารจะยึดครองร่างกายของใครเอาไว้อยู่ พวกเขาเพียงจะทำลายร่างกายของหยางเฉินไปด้วยกันเลย”
หม่าชาวกุมหมัดทั้งสองขึ้นมาแน่น พูดแบบกัดฟันแน่นด้วย “ถ้าถึงขั้นนั้นจริงๆ คงมีสักวันหนึ่ง ผมจะล้างแค้นแทนพี่เฉินด้วยมือตัวเอง!”
มองลักษณะท่าทางแน่วแน่ของหม่าชาว ลี่เฉินรู้ว่า ถ้าถึงตอนนั้นเข้าจริง หม่าชาวต้องทำแบบนี้แน่นอน
นี่ทำให้เขาแอบโล่งอกไปทีหนึ่ง เหตุผลที่เขาอธิบายให้กระจ่าง ก็แค่อยากให้หม่าชาวมีการเตรียมป้องกันล่วงหน้า เลี่ยงที่ถึงเวลาผู้แข็งแกร่งของโลกบู๊โบราณปรากฏตัวขึ้น แล้วจะทำลายวิญญาณของเทพมาร พร้อมกับทำลายร่างกายของหยางเฉินไปด้วยกันเลย พอหม่าชาวคิดไม่ตก แล้วจะไปสู้สุดชีวิตกับอีกฝ่ายเอา
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นั่นคือหม่าชาวไปหาที่ตาย
ตู้ป๋อพูดอีกว่า “นายอย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป ทุกอย่างเป็นแค่สมมุติฐาน ฉันคิดว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เทพมารกล้าสิงบนร่างกายของหยางเฉิน คงต้องคิดถึงผลลัพธ์เอาไว้แล้ว โดยเฉพาะช่วงที่เขาอยู่ภายใต้สภาพสูงสุด เป็นถึงหนึ่งในผู้นำชั้นสูงสุดของโลกบู๊โบราณเลยนะ ไม่อาจโดนทำลายลงไปง่ายดายขนาดนั้นหรอก”
เวลานี้ ยังเหลือผู้แข็งแกร่งพันธมิตรพิทักษ์สี่คน กำลังล้อมรอบหยางเฉินไว้ตรงกลางไม่ขยับเขยื้อน เพียงแค่ไม่มีใครสักคนกล้าเข้าไปอีก
ในบรรดาพวกเขา มีคนหนึ่งโดนฆ่าทิ้งในเสี้ยววินาที ถ้าในบรรดาพวกเขามีใครกล้าลงมืออย่างสะเพร่า มีแต่จะโดนฆ่าฉับพลัน
ชิงเฟิงมองทางไกลออกไปแล้ว ในสายตาเต็มไปด้วยการรอคอย
เขารู้ดีมากว่า อาศัยพวกเขาสี่คน เดิมทีคงทำอะไรเทพมารไม่ได้หรอก
หยางเฉินมองไปยังทิศทางนั้นเหมือนกัน ทำหน้าเหยียดหยาม พูดจาแบบเยาะเย้ย “ถ้าพวกนายคิดว่า รอคนพวกนั้นมาแล้ว จะทำอะไรฉันได้ อาจจะดูถูกฉันเกินไปหน่อยไหม?”
พอได้ยิน ชิงเฟิงและคนอื่นสีหน้าดูแย่กันหมด
หรือว่า วิญญาณเทพมารที่เพียงแค่ยึดครองร่างกายร่างหนึ่งไว้ จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรจนสามารถเพิกเฉยต่อผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอดได้เลยเหรอ?
เวลานี้ ผู้แข็งแกร่งที่กำลังรีบมาที่นี่ ไม่ได้เกินความคาดหมายเลย ทั้งหมดล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอด
โดยเฉพาะที่นี่เป็นโลกทั่วไป ภายใต้สถานการณ์ปกติ ไม่อนุญาตให้ผู้แข็งแกร่งแดนนภาอยู่ในโลกทั่วไป เพราะการฝึกฝนแต่ละครั้งของผู้แข็งแกร่งแดนนภา จะสิ้นเปลืองชี่ทิพย์มหาศาล จะทำลายความสมดุลของโลกทั่วไปกับโลกบู๊โบราณเสียหายได้
ปัจจุบันนี้สามารถจัดส่งผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอดมายังโลกทั่วไปได้ นั่นเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ถ้าส่งนักบูโดที่แกร่งกว่ามายังโลกทั่วไปอีก ม่านพลังระหว่างโลกทั่วไปกับโลกบู๊โบราณ กลัวว่าจะพังทลายในชั่วพริบตา ถึงตอนนั้น ผลสุดท้ายคงร้ายแรงอย่างมาก
แน่นอนว่า นี่หมายถึงแค่โลกบู๊โบราณเท่านั้น สำหรับโลกทั่วไป กลับมีผลดีอยู่มาก
ถึงตอนนั้นแล้ว ชี่ทิพย์อันมหาศาลของโลกบู๊โบราณ จะเข้ามาสู่โลกทั่วไป นักบูโดของโลกทั่วไป ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ผู้คนทั่วไปมากมาย ก็มีโอกาสเข้าใจวิถีบู๊ได้ด้วย
เวลานั้น สำหรับโลกทั่วไปแล้ว จะกลายเป็นยุคสมัยที่ชี่ทิพย์ฟื้นคืน
ในทางกลับกัน ชี่ทิพย์ของโลกบู๊โบราณเข้าสู่โลกทั่วไป นักบูโดของโลกบู๊โบราณ ความเร็วการฝึกบำเพ็ญจะลดลงมาก
สำหรับนักบูโดโลกบู๊โบราณที่ปรับเข้ากับชี่ทิพย์เข้มข้นได้ตั้งแต่แรกแล้ว นี่คือการโจมตีแบบพังพินาศเลยทีเดียว
“มาแล้ว!”
ทันใดนั้นลี่เฉินมองยังทิศทางนั้น พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
หลังเสียงเขาพูดจบลง ผู้แข็งแกร่งที่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวมากมาย มาเยือนที่สำนักมาร ล้อมรอบหยางเฉินไว้ตรงกลางด้วยกันกับชิงเฟิงและคนอื่นๆ
ครั้งนี้ คาดไม่ถึงผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอดมากันหกคนเลย ขบวนการสู้รบเช่นนี้ สำหรับคนของโลกทั่วไปนั้น ถือว่าเป็นการมีอยู่ชั้นยอดแล้ว
“ในที่สุดก็มากันแล้วเหรอ?”
หยางเฉินยกมุมปากขึ้นเบาๆ วาดเส้นโค้งอันหยอกเย้าขึ้น
ผู้แข็งแกร่งพันธมิตรพิทักษ์ที่เป็นหัวหน้า กลิ่นอายบู๊บนตัวน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง กลัวว่าระยะห่างจากแดนนภาขั้นสองชั้นต้นจะอีกไม่ไกลแล้ว
หลังได้ยินคำพูดของหยางเฉิน เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ พูดด้วยเสียงเย็นชา “คุณเหมือนรอคอยพวกเรามาหาคุณมาก?”
หยางเฉินพูดแบบเรียบนิ่ง “คนพวกนั้นก่อนหน้านี้ ความสามารถอ่อนเกินไป เดิมทีไม่พอสนับสนุนฉันกับร่างกายนี้ให้ประสานกันโดยสมบูรณ์ พวกนายไม่มา ใครจะมาช่วยวิญญาณของฉันกับร่างกายนี้ประสานกันถึงที่สุดล่ะ?”
พูดแบบนี้ออกมา ทุกคนล้วนตื่นตกใจไร้ที่เปรียบ
ที่แท้ เมื่อสักครู่ยังไม่ใช่ความสามารถแกร่งสุดของเขา เขาเพียงแค่อยากจะทำให้วิญญาณของตนเองและร่างกายของหยางเฉินประสานกัน โดยผ่านการต่อสู้ระดับสูง
ชิงเฟิงมองทางผู้แข็งแกร่งที่เป็นหัวหน้าแล้วพูดว่า “ซือคง พวกคุณระวังไว้หน่อย เขาสามารถฆ่าผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นคนหนึ่งตายในเสี้ยววินาทีได้แล้ว”
ซือคงมองเพื่อนร่วมงานที่กลายเป็นศพแล้ว สีหน้าดูแย่เอามากๆ
ถึงแม้ยิ่งใหญ่เช่นเขา ก็ยังรู้สึกถึงความกดดันที่สยองขวัญที่สุดซึ่งมาจากบนตัวของหยางเฉินเข้าแล้ว
เขารู้สึกได้ว่า ร่างกายนี้ มีเพียงความสามารถที่เพิ่งเขาสู่แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นชัดๆ
ส่วนเขา เป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอดแล้ว และระยะห่างจากแดนนภาขั้นสองชั้นต้นก็ไม่ไกลด้วย
“หัวหน้าสมาคมบอกแล้ว ขอแค่คุณยินยอมเข้าร่วมพันธมิตรพิทักษ์ พันธมิตรพิทักษ์ไม่จำกัดอิสรภาพของคุณได้ เพียงแค่ตอนที่ต้องการให้คุณลงมือ คุณลงมือช่วยเหลือได้ ก็พอแล้ว”
ซือคงมองทางหยางเฉิน พูดแบบหน้าตาไร้ความรู้สึก
หยางเฉินหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ยังอยากดึงฉันเป็นพวก? ให้ฉันเข้าร่วมพันธมิตรพิทักษ์ นั่นไม่ใช่ว่าไม่ได้ ขอแค่หัวหน้าสมาคมของพวกนายยินยอมยกตำแหน่งของหัวน้าสมาคมให้ฉัน ฉันก็จะเข้าร่วม เป็นยังไงล่ะ?”
“อวดดี!”
ซือคงตวาดใส่ พูดด้วยท่าทางโกรธเคือง “ท่านหัวหน้าสมาคม เป็นคนที่นายหลบหลู่ได้เหรอ? ดูแล้ว นายยังอยากปฏิเสธ ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นอย่าโทษว่าพวกฉันไม่เกรงใจนายแล้วกัน”
พูดจบ เขาโบกฝ่ามือ ตะโกนว่า “ค่ายกลสังหารวิญญาณ!”
หลังเขาสั่งการออกไป ผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอดห้าคนที่ตามเขามา รีบแยกไปรอบด้านทันที
แต่ละคน ล้วนยึดครองตำแหน่งสำคัญเอาไว้
ชั่วขณะที่หกคนหยุดลง กลิ่นอายที่ดุจทำลายล้าง ปกคลุมหยางเฉินเอาไว้ตรงกลาง
“ค่ายกลสังหารวิญญาณ!”
ลี่เฉินก็ทำหน้าตกใจเช่นกัน
ตู้ป๋อมองทางผู้แข็งแกร่งพันธมิตรพิทักษ์ พูดจาเสียงทุ้ม “เตรียมการมาพร้อมตามคาด ภายในค่ายกลสังหารวิญญาณวิญญาณทุกอย่างล้วนดับสูญ นอกจากว่าวิญญาณของเทพมารมีอำนาจมากพอ สามารถเพิกเฉยต่อค่ายกลสังหารวิญญาณได้”
“เพียงแค่ ดูท่าทาง วิญญาณของเทพมาร จะไม่ได้นึกถึงว่าพันธมิตรพิทักษ์ใช้งานค่ายกลสังหารวิญญาณออกมา”
หยางเฉินที่ถูกล้อมอยู่ในค่ายกลสังหารวิญญาณบนใบหน้า เต็มไปด้วยแววความโกรธเคือง
หยางเฉินพูดจาแบบหน้าตาดุร้าย “ค่ายกลสังหารวิญญาณอะไรนี่ ฉันอยากจะดูหน่อย ค่ายกลสังหารวิญญาณกระจอกๆ สามารถล้อมเทพมารอย่างฉันได้ไหม!”
เสียงพูดจบลง ออร่าบู๊อันน่าสะพรึงกลัวส่วนหนึ่ง ระเบิดออกจากบนตัวเขา
“ตูม!”
ทันใดนั้น ออร่าบู๊บนตัวของเขา ก็บรรลุถึงแดนนภาขั้นสองชั้นต้นเรียบร้อย
ส่วนหยางเฉินที่เมื่อสักครู่เพิ่งฝ่าฟันภัยพิบัติส่วนเนื้อหนัง เพียงแค่เนื้อหนังเพิ่งบรรลุถึงความแกร่งของแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ปัจจุบันนี้เทพมารบีบบังคับพัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นถึงแดนนภาขั้นสองชั้นต้นแล้ว
ร่างกายของหยางเฉินพังทลายทันที เพราะไม่มีทางแบกรับความสามารถยิ่งใหญ่ที่พุ่งขึ้นกะทันหันไว้ได้ รอยเลือดอันสยดสยองมากมาย ปรากฏอยู่บนร่างกายของหยางเฉินแล้ว