The king of War - บทที่ 2087 ต้องฝ่าไปให้ได้
ฉีเฟิงเอามือไพล่หลังด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ เขามองไปที่หยางเฉินด้วยท่าทีที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ราวกับไม่กังวลว่า หยางเฉินจะปฏิเสธเขา
เขาเองก็แอบลิงโลดอยู่ลับๆ เช่นกัน ถ้าเขาสามารถรับสมัครคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์วิถีบู๊ให้กับตระกูลฉีได้ ตระกูลจะต้องตกรางวัลให้เขาอย่างหนักแน่
ในตระกูลฉี เขาเป็นเพียงเครือญาติเท่านั้น ไม่ใช่สมาชิกของศูนย์อำนาจ เมื่อห้าปีที่แล้ว มีเครือญาติที่มีสถานะเดียวกับเขาประสบความสำเร็จในการเป็นสมาชิกของศูนย์อำนาจตระกูลฉีเพราะเขาสามารถคัดเลือกบูโดอัจฉริยะที่มีอายุไม่เกิน 30 ปีและมีแดนบูโดถึงระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง
พรสวรรค์ด้านบูโดของหยางเฉินนั้นร้ายกาจยิ่งกว่า เขาไปถึงผู้แข็งแกร่งแดนนภาทั้งที่ยังอายุน้อยกว่า 30 ปี ถ้าเขาสามารถรับ หยางเฉินเข้าสู่ตระกูลฉีได้ ตำแหน่งของเขาในตระกูลฉี จะสูงขึ้น
ผู้แข็งแกร่งระดับแดนนภาขั้นสองสองคนที่อยู่เบื้องหลัง ฉีเฟิงในเวลานี้เองก็มีสีหน้าเย็นชาเช่นกัน แม้ว่าพรสวรรค์ด้านบูโดของหยางเฉินจะแข็งแกร่งมาก แต่ในสายตาพวกเขา มันก็ยังเป็นแค่มดปลวก
ในขณะที่พวกเขาคิดว่าหยางเฉินไม่มีทางปฏิเสธเงื่อนไขที่ฉีเฟิงมอบให้แน่ แต่หยางเฉินกลับกันเลิกคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าพวกนายไปซะตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“นี่ถึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด…”
ฉีเฟิงพูดโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ได้สติกลับมาและพูดด้วยความโกรธว่า “นี่นายกล้าปฏิเสธ?”
หลังจากประหลาดใจได้ไม่นาน สมาชิกที่แข็งแกร่งทั้งสองของตระกูลฉีก็ปล่อยความกดดันพลังบู๊อันยิ่งใหญ่มาโอบล้อมหยางเฉิน
ดวงตาของหยางเฉินเป็นประกายเย็นเยียบ หากไม่ใช่เพราะกฎใหม่สำหรับนักบูโดที่ออกมาเพื่อคืนนี้โยเฉพาะ เขาคงลงมือเดี๋ยวนี้เลย
แม้ว่าข้างหลังฉีเฟิงจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแดนนภาขั้นสองสองคนอยู่ แต่หยางเฉินก็ยังกล้าที่จะสู้ตาย ด้วยฝีมือในตอนนี้ของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฆ่าคนเหล่านี้ได้ในพริบตา แต่เขามั่นใจว่าตนจะต่อสู้จนแค่อาการบาดเจ็บสาหัสและฆ่าคนทั้งสามลงให้หมดได้
อย่างไรก็ตาม แดนบูโดของเขาอยู่ในขั้นกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นเท่านั้น หากเขาสามารถฝ่าด่านไปแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางได้ การฆ่าสามคนนี้ก็จะไม่มีปัญหา
“ทำไมจะไม่กล้าปฏิเสธ?”
หยางเฉินยิ้มอย่างเย็นชาและถามกลับว่า “นายรู้ไหมว่าแม้แต่ผู้นำของพันธมิตรพิทักษ์ก็เคยเชิญฉันให้เป็นจอมพลคนที่สิบมาก่อน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉีเฟิงก็ตกใจ
แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลฉี แต่ก็เป็นแต่ญาติเท่านั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ชัดเจน การที่หยางเฉินปฏิเสธตำแหน่งจอมพลของพันธมิตรพิทักษ์นี้ สำหรับพันธมิตรพิทักษ์แล้วถือเป็นเรื่องน่าอับอาย ดังนั้นจึงย่อมไม่เผยแพร่เรื่องนี้
หลังจากได้ยินคำพูดของหยางเฉิน ฉีเฟิงก็ตกใจมาก ในเวลาเดียวกันในใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัวต่อหยางเฉิน
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นี่ก็หมายความว่าหยางเฉินยังมีสถานะเป็นจอมพลคนที่สิบของพันธมิตรพิทักษ์ด้วยไม่ใช่หรือไง?
ฉีเฟิงอาจไม่สนใจเกี่ยวกับตัวตนของผู้อาวุโสสี่ แต่เขานั้นต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับตัวตนของจอมพลคนที่สิบของพันธมิตรพิทักษ์
เนื่องจากในโลกบู๊โบราณล่าง แม้ว่าจะเป็นแค่จอมพลคนที่สิบของพันธมิตรพิทักษ์ แต่หากไปยังสายตระกูลบูโดที่ไหน ผู้นำตระกูลนั้นก็ยังต้องให้การต้อนรับอย่างระมัดระวัง
หยางเฉินกล่าวต่อว่า “แต่ฉันปฏิเสธหัวหน้าสมาคมตู้ไป!”
“อะไรนะ?”
ดวงตาของ ฉีเฟิงเบิกกว้าง ในใจตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าที่หยางเฉินเพิ่งบอกว่าเขาได้รับเชิญจากหัวหน้าสมาคมพันธมิตรพิทักษ์
เขาพูดด้วยความโกรธว่า “นายกล้าปฏิเสธหัวหน้าสมาคมตู้ได้ยังไง? นายไม่รู้หรือไงว่าจอมพลคนที่สิบของพันธมิตรพิทักษ์
หมายถึงอะไรในโลกบู๊โบราณล่าง? นั่นเป็นสิทธิ์สูงสุด นักบูโดคนไหนก็ยังต้องปฏิบัติด้วยความให้เกียรติระดับสูง”
หยางเฉินพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกนายสนใจเรื่องตำแหน่งพวกนี้แต่ฉันไม่ ทำไมฉันจะปฏิเสธไม่ได้? เอาล่ะ! ถ้าคุณฉีไม่มีอะไรอื่นแล้วก็เชิญออกไปเถอะ ถ้ายังมีเรื่องอื่น คืนนี้ค่อยคุยกับฉันที่โรงแรมจงโจว”
ฉีเฟิงมีสีหน้าน่าเกลียดมาก แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเกี่ยวกับตัวตนผู้อาวุโสสี่ของหยางเฉิน แต่ตอนนี้โลกบู๊โบราณล่างและโลกมนุษย์ได้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว ว่ากันว่าเบื้องหลังสมาคมผู้อาวุโสมีคนที่น่าสะพรึงกลัวอยู่
ก่อนที่ตระกูลฉีจะส่งพวกเขามาที่จงโจวได้บอกพวกเขาว่าอย่าไปยั่วยุคนของสมาคมผู้อาวุโส เห็นได้ชัดว่าแม้แต่ผู้นำตระกูลฉีก็กลัวการมีอยู่ของสมาคมผู้อาวุโส
ตอนนี้หยางเฉินเป็นถึงผู้อาวุโสสี่ของศูนย์กลุ่มผู้อาวุโสจิ่วโจวทั้งหมด แน่นอนว่า ฉีเฟิงไม่กล้าลงมือไปมั่วๆ
“พวกเราไปกันเถอะ!”
หลังจากจ้องมองที่หยางเฉินเป็นเวลานาน ฉีเฟิงก็กัดฟันพูดขึ้น จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไป ผู้แข็งแกร่งของตระกูลฉีก็ติดตามไปด้วย
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของพวกเขา ดวงตาของหยางเฉินฉายแสงที่เฉียบคมและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตระกูลบู๊โบราณเหล่านี้หยิ่งผยองกว่าที่ฉันคิดไว้มาก”
หากเขาไม่มีสถานะเป็นผู้อาวุโสสี่ก็แล้วไป แต่นี่ฉีเฟิงรู้ทั้งรู้ว่าเขาคือผู้อาวุโสสี่แต่ก็ยังกล้าที่จะเข้ามาข่มขู่ถึงที่
“ดูท่า ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของฉันยังอ่อนแอเกินไป หากต้องการแก้ปัญหาในจงโจวหรือแม้แต่ปัญหาในอีกสี่เขตอื่น ฉันคงต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของข้า อย่างน้อยๆ ก็ต้องฝ่าไปถึงแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลาง! ”
หยางเฉินกำหมัดแน่นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฉีเฟิงไม่ได้เป็นสมาชิกหลักของตระกูลฉีก็กล้าที่จะปฏิบัติต่อผู้อาวุโสสี่ของจิ่วโจวแบบนี้แล้ว แถมยังมาพร้อมกับผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายถึงสองคนด้วย
ตามข้อมูลที่ เย่จางกั๋ว มอบให้กับหยางเฉิน หยางเฉินรู้ว่า ฉีเฟิงไม่ใช่สมาชิกหลักของตระกูลฉีในเมืองจงโจวในครั้งนี้
แม้ว่า ฉีเฟิงจะไม่ใช่คนในจงโจว แต่ตระกูลฉีก็ยังเป็นได้ขนาดนี้ แล้วหากเป็นคนในจงใจจะเย่อหยิ่งมากขนาดไหน?
แม้ว่า ฉีเฟิงจะจากไปแล้ว แต่เขาไม่ได้นำหินอาถรรพ์ระดับกลางสองก้อนออกไปด้วย
หยางเฉินมองไปที่หินอาถรรพ์ระดับกลางสองก้อนและจมอยู่ในความคิด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฉินก็เย้ยหยัน ไม่ว่า ฉีเฟิงจะลืมหรือตั้งใจทิ้งไว้อยู่ที่นี่ก็ตาม ในเมื่อมันอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นของเขา
เขาจับหินอาถรรพ์ระดับกลางด้วยมือข้างหนึ่ง เทพสงครามส่งพลังออกมาทันที จากนั้นชี่ทิพย์ที่เแข็งแกร่งก็ถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายของเข
หินอาถรรพ์ระดับกลางทั้งสองนี้เปรียบได้กับ หินอาถรรพ์เกรดต่ำกว่าสองล้านก้อน
อย่างไรก็ตาม เมื่อหยางเฉินบำเพ็ญเพียร เขาก็พบว่ามูลค่าของหินอาถรรพ์ระดับกลางนี้ไม่ใช่แค่ระดับหินอาถรรพ์เกรดต่ำกว่าสองล้านก้อนเท่านั้น
เมื่อเขาบำเพ็ญเพียรด้วยความช่วยเหลือของหินอาถรรพ์เกรดต่ำ เขาสามารถดูดซับได้เพียงครั้งละหกชิ้นเท่านั้น แม้ว่าชี่ทิพย์ของหินอาถรรพ์เกรดต่ำจะแข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ความบริสุทธิ์ของมันไม่สูงนัก
ในระหว่างการบำเพ็ญเพียร ชี่ทิพย์ที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถใช้ได้ทันที แต่จะต้องใช้เทพสงครามส่งพลังออกมาไม่หยุดจากนั้นก็ทำให้มันบริสุทธิ์จนสามารถใช้ได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม หินอาถรรพ์ระดับกลางนั้นแตกต่างกัน หินอาถรรพ์ระดับกลางสองก้อนนี้เทียบเท่ากับหินอาถรรพ์ระดับต่ำสองล้านก้อน ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือความบริสุทธิ์ของชี่ทิพย์ในหินอาถรรพ์ระดับกลางนั้นสูงมาก หลังจากที่หยางเฉินดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว เขาก็สามารถใช้มันได้โดยตรงโดยไม่ต้องทำให้บริสุทธิ์
ด้วยวิธีนี้ อาศัยความช่วยเหลือของหินอาถรรพ์สองชนิด ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรด้วยหินอาถรรพ์ระดับกลางควรเป็นห้าเท่าของการบำเพ็ญเพียรด้วยหินอาถรรพ์ระดับต่ำ
เมื่อบำเพ็ญเพียร ด้วยหินอาถรรพ์ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้เขาอาศัยบำเพ็ญเพียรช่วยเพิ่มความเร็วในการบำเพ็ญเพียร ให้เร็วขึ้นไปอีก
“ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมง และยังมีเวลาอีกสี่ชั่วโมงก่อนการประชุมตอนเจ็ดโมงเย็น ตามความเร็วของการบำเพ็ญเพียร ในปัจจุบัน แดนบูโดของฉันน่าจะไปถึงแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางก่อนหนึ่งทุ่ม!”
หยางเฉินมองดูเวลาและพึมพำกับตัวเอง
เมื่อเขาเกือบแน่ใจได้แล้วในตอนนี้ว่างานประชุมตอนทุ่มนึงจะไม่มีตระกูลบู๊โบราณมาที่งาน และหลังจากกฎใหม่ออกมานี่ก็เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะเริ่มลงมือ
เพื่อให้แน่ใจยิ่งขึ้น เขาจะต้องฝ่าแดนให้ได้ก่อนทุ่มนึง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หยางเฉินก็ไม่กล้าที่จะชักช้าและเข้าสู่สถานะการบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว