The king of War - บทที่ 2118 แดนแบบใหม่
The king of War บทที่ 2118 แดนแบบใหม่
รถเก๋งขนาดเล็กสีดำคันหนึ่ง เร่งความเร็วมุ่งสู่เขตสมรภูมิจงโจว
ภายในรถ เมิ่งชินหลันยิ้มระรื่นเต็มใบหน้า ในมือก็ยังถือกระปุกเคลือบสีขาวที่เก็บยาเม็ดอยู่
“ไม่คิดเลยว่า คนที่ชื่อฉีเทียนเหอนี่ ใจสปอร์ตขนาดนี้ ใจใหญ่มือเติบให้ทีก็อัญมณีมูลค่าล้านหย่อน ยังยาวิเศษอีกเม็ด”
เมิ่งชินหลันพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น แล้วพูดต่ออีกว่า “ไม่ได้!จะให้กลับไปแบบนี้มันน่าเสียดายอ่ะ ฉันว่าต้องไปตระกูลราชวงศ์ไป๋หลี่สักหน่อย และพวกสาขาย่อยของตระกูลราชวงศ์บู๊โบราณต่าง ๆ ฉันก็จะไปให้หมด!”
จางจี้ที่กำลังขับรถอยู่ มุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ใส่ใจกับเมิ่งชินหลัน ยังคงขับรถมุ่งบนเส้นทางตรงไปยังศูนย์ที่ทำการเขตสมรภูมิรบจงโจว
หยางเฉินยิ้ม ๆ มองหน้าเมิ่งชินหลัน ยังคงมีรสนิยมเดิม ๆ
เห็นจางจี้ไม่มีปฏิกิริยาสนองรับ เมิ่งชินหลันรีบพูดว่า “รองผู้บัญชาการจาง คุณหันหัวรถเร็วเข้า ไปที่ตระกูลราชวงศ์ไป๋หลี่กันนะ!”
หยางเฉินจึงได้ออกปากพูดว่า “ชินหลัน คุณอย่าทำให้มากเรื่องขึ้นเลย ที่ตระกูลราชวงศ์ไป๋หลี่ผมได้ไปมาแล้ว และอีกหลายตระกูลใหญ่ ๆ ท่านผู้บัญชาการเย่ก็ไปแล้ว”
“อีกอย่าง ให้คุณไปสาขาย่อยในจงโจวของตระกูลต่าง ๆ น่ากลัวก็คงไม่ได้ทำให้อะไรดีจะขึ้นเลย”
“ฉีเทียนเหอคนนี้ ไม่ธรรมดาเอามาก ๆ ผมได้รับสัมผัสถึงกระแสที่มีมั่งไม่มีมั่งของปราณบูโดจากตัวของเขา ผมสงสัยว่า ระดับแดนบูโดของเขา ไม่ได้ถูกทำลายทิ้ง”
ได้ยินคำพูดของหยางเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชินหลันเหือดหายไปหมด สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาสุด ๆ
เมิ่งชินหลันพูดว่า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ ฉีเทียนเหอเป็นคนที่มีชื่อเสียงในระดับสูงมากคนหนึ่งในโลกบู๊โบราณล่าง เขาเคยทำลายพลังฝีมือจากการฝึกบำเพ็ญมาในตัวเขาทิ้งเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องนี้ เป็นที่ฮือฮามากทั่วทั้งโลกบู๊โบราณล่าง”
จางจี้ที่กำลังขับรถอยู่ก็พูดขึ้นว่า “พวกเรามีข้อมูลที่สมาคมผู้อาวุโสส่งมาให้อยู่ ฉีเทียนเหอในตระกูลฉี ได้ทำลายพลังฝีมือบูโดของตัวเองทิ้งจริง”
หยางเฉินขมวดคิ้วย่น นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ถ้างั้นก็แปลกมาก ผมรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างไม่รู้สาเหตุจากตัวของเขาชัด ๆ ความรู้สึกแบบนี้ ผมจะรู้สึกได้จากนักบูโดที่แข็งแกร่งกว่าผมเท่านั้น”
“พวกคุณว่า เป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่งไหม ตอนแรกนั้นเขาคงจะทำลายพลังบูโดของเขาเองทิ้งไปจริง แต่ว่า ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการสร้างภาพ หรืออาจจะว่า หลังจากที่เขาได้ทำลายพลังบูโดเขาทิ้งแล้ว เกิดไปพบโชคบังเอิญ ฟื้นฟูฝึกบำเพ็ญพลังบูโดทั้งหมดกลับมาได้?”
เมิ่งชินหลันมองไปที่หยางเฉินพูดว่า “ถ้าจะว่า เรื่องที่เขาทำลายพลังฝีมือของตัวเองนั้นเป็นการสร้างภาพ แล้วคนในโลกบู๊โบราณที่มีกันมากมายขนาดนั้น จะคลาดสายตากันไปได้ทั้งหมดเลยหรือ?หรือจะว่าหลังจากเขาทำลายพลังฝีมือตัวเองทั้งหมดแล้ว ได้พบประสบโชคมหัศจรรย์ใหม่ ก็คงเป็นไปไม่ได้มั้ง?”
“ที่เขาทำลายพลังฝีมือตัวเองมิ้ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ระยะสั้น ๆ แค่สามปีนี้ จากคนทุพพลภาพด้วยการทำลายพลังฝีมือตัวเอง กลายเป็นนักบูโดที่เหนือชั้นกว่านักบูโดแดนนภาอย่างท่าน น่าจะเป็นเรื่องเว่อไปหน่อยไหม?”
หยางเฉินก็คิดไม่ออกกับสาเหตุ เอ่ยปากพูดไปว่า “อาจจะว่า เป็นจิตหลอนของผมเองก็ได้!”
สายตาเมิ่งชินหลันจ้องเขม็งที่หยางเฉิน เอ่ยปากพูดไปว่า “หยางเฉิน คุณพูดกันมาตรง ๆ เลยดีกว่า มาถึงตอนนี้ คุณมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดไหน?แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นยอด?หรือว่าแดนนภาชั้นต้น?”
หยางเฉินยิ้ม ๆ ไม่พูดไม่จา
ความรู้สึกของเขาที่สัมผัสได้ ระดับขั้นแดนบูโดของเมิ่งชินหลันเวลานี้ อยู่ที่แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ด้วยความเข้าใจในตัวเมิ่งชินหลัน ขณะที่เมิ่งชินหลันทุ่มเทพลังฝีมือสุดกำลังนั้น ควรจะเป็นพลังฝีมือในแดนนภาขั้นปลาย หรืออาจจะถึงแดนนภาขั้นสองชั้นต้นด้วยซ้ำ
ในปีนั้นที่ดินแดนตะวันตก เมิ่งชินหลันเคยอาศัยเพียงกำลังของตัวเองคนเดียว ข้ามแดนสังหารผู้แข็งแกร่งถึงห้านาย งานเดียวในศึกครั้งนั้นก็ได้ยกระดับขึ้นเป็นขั้นเทพ
ผู้แข็งแกร่งที่เคยผ่านศึกในสมรภูมิรบมาแล้วอย่างเมิ่งชินหลัน ล้วนจัดเป็นจอมคนบูโดที่สามารถข้ามถิ่นสยบข้าศึกได้
มองเห็นท่าทางหยางเฉินที่อมยิ้มไม่พูดไม่จา เมิ่งชินหลันถลึงตาโตขึ้นมาทันที จ้องเขม็งไปที่หยางเฉินพูดว่า “คุณอย่าบอกนะว่า พลังฝีมือต่อสู้ของคุณ ก้าวข้ามแดนนภาขั้นสองชั้นต้นไปแล้ว?หรือจะว่า พลังการต่อสู้ของคุณ เทียบไปได้ถึงแดนนภาขั้นสองชั้นกลางแล้ว?”
“ถ้าหากจิตสัมผัสของฉันไม่ผิด คุณน่าจะอยู่ที่แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางแล้วใช่ไหม?”
หยางเฉินหัวเราะแล้วพูดไปว่า “คุณทายได้ไม่ผิด ผมอยู่ในระดับแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางจริง ๆ ส่วนพลังฝีมือการต่อสู้ของผมนั้น คุณยังคงมีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้จริง”
ก่อนหน้านี้ หยางเฉินบุกเดี่ยวไปที่ชั้นบนสุดโรงแรมจงโจว รับมือกับผู้แข็งแกร่งห้าตระกูลบู๊โบราณถึงสิบห้านาย ส่วนเมิ่งชินหลันพาคนไปที่บ้านตระกูลฉี ฉะนั้นจึงไม่รู้เห็นผลงานหยางเฉินใช้กำลังเพียงคนเดียว ฆ่าผู้แข็งแกร่งไปทั้งสิบห้านาย
จางจี้ที่กำลังขับรถ ตอนนี้ก็ได้พูดออกมากับเสียงหัวเราะ “ผู้กองเมิ่ง คุณจะประเมินฝีมือผู้อาวุโสอันดับสี่ต่ำไปแล้วนะ!”
“อะไรนะ?”
เมิ่งชินหลันถลึงตาโต “เขาก็แค่เพียงอยู่ในระดับแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลาง ฉันคาดเดาว่าเขามีพลังฝีมือสู้ศึกได้เทียบถึงแดนนภาขั้นสองชั้นกลางขึ้นไปแล้ว ยังว่าประเมินเขาต่ำไปอีกหรือ?”
จางจี้หัวเราะแล้วพูดว่า “ในตอนที่คุณนำคนไปที่บ้านตระกูลฉีนั้น ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมจงโจว ผู้รับมอบอำนาจของห้าตระกูลบู๊โบราณ ต่างพาผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นยอดหนึ่งนายกับผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายอีกหนึ่งนาย ก็ต้องพูดว่า ทั้งหมดมีผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นปลายรวมห้านาย อีกผู้แข็งแกร่งแดนนภาขั้นสองชั้นยอดรวมห้านาย ยังมีผู้รับมอบอำนาจระดับแดนนภาขั้นสองชั้นต้นสี่นาย ระดับแดนนภาขั้นสองชั้นยอดอีกหนึ่งนาย”
“ส่วนผู้อาวุโสอันดับสี่ มีตัวคนเดียว จัดการฆ่าทิ้งหมดทั้งสิบห้าผู้แข็งแกร่งบนชั้นบนสุดของโรงแรมจงโจว!”
เวลาที่กำลังพูดเรื่องนี้ จางจี้มีความภาคภูมิใจเต็มใบหน้า ผลงานการศึกทะลุฟ้าของหยางเฉินนี้ ให้ดูเหมือนเป็นผลงานเขาเองงั้นไป
ดวงตาคู่งามของเมิ่งชินหลัน เบิ่งค้างกลมโต ปากแดงจุ๋มจิ๋มเป็นเชอรี่ก็อ้าค้าง ความสะท้านใจไม่อยากเชื่อแสดงเต็มหน้า
หล่อนมองหน้าหยางเฉินที่อยู่กับรอยยิ้ม ความรู้สึกในทันทีนั้นเหมือนกำลังอยู่ในฝัน
เป็นเวลาเนิ่นนาน หล่อนจึงกลับคืนสติมาจากความสะท้านใจนั้น มองหยางเฉินด้วยสีหน้าสับสนงงงัน “ถ้าว่ากันอย่างนี้ คุณก็เป็นแค่อยู่ในแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลาง แต่มีพลังต่อสู้เทียบไปถึงแดนนภาขั้นสามชั้นต้นเข้าไปแล้วสิ?”
หยางเฉินผงกหัว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้อยู่นะ!”
เมิ่งชินหลันค้อนจนตาคว่ำ ถลึงตาใส่ไปที่หยางเฉินพูดว่า “ถ้างั้นที่ฉันพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่ารอไว้กลับไปจะขอซักซ้อมฝีมือกับคุณหน่อย คุณก็ไม่ได้ปฏิเสธ ฉันว่าคุณคงตั้งใจเก็บไว้จะได้รังแกผู้หญิงอ่อนหัดอย่างฉันสิท่า?”
เมื่อได้รับรู้พลังฝีมือในการต่อสู้ของหยางเฉินที่มีอยู่จริงเวลานี้แล้ว เมิ่งชินหลันไม่ได้มีความรู้สึกไม่พอใจที่เกินหน้าเกินตา แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นภูมิใจด้วย
เมิ่งชินหลันหัวเราะแล้วพูดว่า “มิน่าเล่าที่ทางสมาคมผู้อาวุโสถึงได้ให้คุณขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสอันดับสี่ โดยพลังฝีมือการต่อสู้ของคุณเวลานี้ มีคุณสมบัตินี้อยู่แล้วจริง ๆ”
ไม่นานนัก ทั้งหมดก็ได้กลับมาถึงเขตสมรภูมิจงโจว
เย่จางกั๋วจัดการต้อนรับหยางเฉินด้วยตัวเอง ในงานเลี้ยงฉลองชัย เย่จางกั๋วหัวเราะลั่นพูดว่า “ถึงจะเรียกท่านผู้อาวุโสอันดับสี่นี้ว่าจอมคนบูโดอันดับหนึ่งแห่งจิ่วโจว ก็ไม่ได้เกินเลยแม้แต่น้อย!”
ทุกคนในเขตสมรภูมิจงโจวต่างดีใจกันอย่างมาก พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจกันเหมือนวันนี้นานแล้ว
หลังงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ เมิ่งชินหลันกับหยางเฉินเดินเลียบไปตามถนนของเมืองจงโจว
“หยางเฉิน เวลานี้คุณอยู่ในสภาพยังไงกันแน่?ทำไมระดับแดนบูโดอยู่แค่เพียงแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลาง ทำไมกลับมีพลังต่อสู้เก่งกาจขนาดนี้?ประเด็นนี้มันไม่ได้อยู่ในหลักเกณฑ์ของบูโดเลย”
เมิ่งชินหลันจู่ ๆ ก็มองหน้าหยางเฉินอย่างห่วงกังวล เอ่ยปากพูดขึ้น
มองสีหน้าท่าทีห่วงกังวลของเมิ่งชินหลัน ให้รู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ เขาส่ายหน้าเบา ๆ “ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ตั้งแต่ผมได้ฝ่าทะลวงมาถึงแดนนภาแล้ว พลังต่อสู้ของผมก็เริ่มพุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะช่วงจากแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น ทะลวงขึ้นไปที่แดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลางแล้ว การก้าวกระโดดของพลังต่อสู้ยิ่งน่ากลัว”
“ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง ระดับขั้นแดนของผม กับการแบ่งระดับขั้นของวงการบูโด ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง!ระดับขั้นบูโดของผมดูเหมือนอยู่ในแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นกลาง แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่กลับเทียบได้ไปถึงแดนนภาขั้นสามชั้นต้นในแดนแบบใหม่แล้ว!”
คำพูดนี้ออกมา เมิ่งชินหลันสีหน้าเปลี่ยนไปในฉับพลัน หล่อนพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “ฉันรู้แล้วว่าเป็นเรื่องอะไร!”