The king of War - บทที่ 244 ติดหนี้ไม่คืน
สีหน้าของ เจิ้งหยัน เต็มไปด้วยความโมโห น้ำเสียงโมโหของเขา เรียกสายตาของทุกคน
เหย่เหมยยกยิ้มมุมปากอย่างร้ายกาจ
คนที่ถูกจัดให้นั่งโต๊ะตัวที่อยู่ตรงมุมอย่างโจวยู่ชุ่ยได้ยินเสียงของ เจิ้งหยัน เธอรู้สึกสั่นและหนาววาบไปทั้งตัว
ถึงแม้ตระกูลเจิ้งจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่ในเมืองโจวเฉิง แต่ไม่กี่ปีนี้เจิ้งเหอกรุ๊ปเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ตระกูลเจิ้งมีอำนาจขึ้นมา ในเมืองโจวเฉิง
“เสี่ยวซี ยังไม่รีบไปขอโทษสามีของคุณน้าอีก!”
โจวยู่ชุ่ยพูดเร่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะกลัวว่าถ้าขอโทษช้า จะทำให้เจิ้งหยันโมโห
แขกที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินคำพูดของโจวยู่ชุ่ย ก็มีสีหน้าดูถูก
ก่อนหน้านี้ตอนที่โจวอวี้หรงกับโจวอวี้เจี๋ยร่วมมือกันด่าฉินซี คนที่เป็นแม่อย่างโจวยู่ชุ่ย เอาแต่ยืนหลบอยู่ห่างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ตอนนี้เจิ้งหยันบอกให้ฉินซีขอโทษ โจวยู่ชุ่ยก็ผลักไสลูกตัวเองไปอีก
ฉินซีกับฉินยีผิดหวังกับเธอตั้งนานแล้ว เพราะฉะนั้นคำพูดของเธอ ไม่ได้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่เหมาะสม
หยางเฉินปรายตามองเจิ้งหยัน แววตาของเขาดูดุดัน
ฉินซีลุกขึ้นยืน เธอพูดกับเจิ้งหยันด้วยสีหน้าราบเรียบ “หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องขอโทษด้วย”
“ทำไมจะไม่ผิดล่ะ คนที่เด็กกว่าอย่างเธอ มาดูถูกภรรยาฉันต่อหน้าทุกคนได้ยังไง อย่าบอกนะว่าไม่ควรขอโทษ”
เจิ้งหยันพูดอย่างโมโห
ฉินซีแสยะยิ้ม “ติดหนี้แล้วต้องคืน นี่เป็นสิ่งที่ใครก็ต้องทำ! คำพูดนี้ออกจากปากภรรยาของคุณ คนที่อยู่ในงานก็ได้ยิน ทำไมกลายเป็นว่าหนูดูถูกเธอล่ะ”
“บังอาจ!”
เจิ้งหยันพูดอย่างโมโห “ตระกูลเจิ้งของฉันมีหุ้นหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ในเจิ้งเหอกรุ๊ป ทำไมถึงจะไม่คืนเงินล่ะ”
“คุณก็ไปถามเธอเองสิ!”
ฉินซีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หนูก็อยากรู้เหมือนกัน เจิ้งเหอกรุ๊ปที่มีมูลค่าในตลาดกว่าหลายสิบล้าน ทำไมคุณที่เป็นผู้สืบทอด รวมถึงภรรยาของคุณ ต้องยื้อหนี้ห้าแสนมานานตั้งสี่ปี โดยไม่คืนสักบาท”
“หรือเจิ้งเหอกรุ๊ปก็แค่บริษัทที่มีชื่อเสียงจอมปลอม ชักหน้าไม่ถึงหลังมาตั้งนานแล้ว แม้แต่เงินห้าแสนก็ไม่สามารถหามาได้”
คำพูดของฉินซี ทำให้ทุกคนในงานตกตะลึง
เจิ้งหยันคือทายาทเพียงคนเดียวของเจิ้งเหอกรุ๊ป ถึงแม้เจิ้งเต๋อหัวยังเป็นประธาน แต่เจิ้งหยันก็เริ่มรับหน้าที่แทนแล้ว
ฉินซีกลับซักถามอย่างสงสัย ว่าแม้แต่เงินห้าแสน เจิ้งเหอกรุ๊ปก็หามาไม่ได้เหรอ
“บังอาจ!”
เจิ้งหยันโมโห “ เจิ้งเหอกรุ๊ปกิจการดีขนาดนั้น คนนอกอย่างเธอมาพูดมั่วๆ ได้ยังไง”
เจิ้งหยันแอบรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เขามองโจวอวี้หรง เห็นแววตาของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เห็นได้ชัดว่าฉินซีไม่ได้โกหก โจวอวี้หรงติดหนี้ไม่คืนจริงๆ
เจิ้งหยันไม่มีทางถามโจวอวี้หรงต่อหน้าทุกคน เขาทำได้เพียงมองฉินซีด้วยสายตาเย็นชา เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการข่มขู่ “ยัยเด็กน้อย ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน ถ้าไม่มีหลักฐาน งั้นก็แสดงว่าใส่ร้าย ฉันแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทเจิ้งเหอกรุ๊ป ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้เลยนะ!”
“ถ้าไปแจ้งแล้วเขารับแจ้ง ถือว่าฉันแพ้!”
ฉินซีพูดอย่างก้าวร้าว เธอไม่กลัวการข่มขู่ของเจิ้งหยันแม้แต่น้อย
ตอนนี้เจิ้งหยันรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
ขณะนั้น รถหรูราคาเป็นล้าน จำนวนเจ็ดแปดคัน มาถึงสถานที่ท่องเที่ยว
“น้องเขย แขกที่น้องเชิญมาแล้ว!”
โจวอวี้เจี๋ยเดินเข้ามาในห้องบอลรูม ด้วยสีหน้าดีใจ
“ขอโทษที่มาช้านะครับ ประธานเจิ้ง พอดีเมื่อกี้ติดประชุมสำคัญน่ะครับ พอประชุมเสร็จก็รีบมาที่นี่เลย”
ชายวัยกลางคน เดินยิ้มเข้ามาในห้องบอลรูม พร้อมสาวงามที่ควงแขนเขาอยู่
“ฮ่าๆ ช้าที่ไหนกันล่ะครับ ประธานหวังมางานแต่งหลานชายของภรรยาผมด้วยตัวเอง ถือเป็นเกียรติมากครับ! เชิญประธานหวังข้างในเลยครับ!”
เจิ้งหยันยิ้มอย่างได้ใจ
“ยินดีด้วยครับ ประธานเจิ้ง!”
“ยินดีด้วยครับ ประธานเจิ้ง!”
……
เขาต้อนรับนักธุรกิจในเมืองโจวเฉิงเจ็ดแปดคนอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนล้วนมาแสดงความยินดีเพราะเจิ้งหยัน
ถ้าใครไม่รู้ คงคิดว่าคนที่แต่งงานวันนี้คือลูกชายของเจิ้งหยัน
โจวอวี้เจี๋ยดีใจจนยิ้มไม่หุบ
แขกที่มาเมื่อครู่ เป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น การที่พวกเขามางานแต่งลูกชายเขา เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเขามาก
“ไม่เสียแรงที่เป็นน้องเขย รู้จักแต่คนใหญ่คนโต รอให้ถึงวันแต่งงานของเหม่ยหลิง คงมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานเยอะกว่านี้สินะ”
โจวอวี้เจี๋ยเดินมาข้างเจิ้งหยันและพูดอย่างซึ้งใจ
“ฮ่าๆ เรื่องเล็กน้อย ถ้าเพื่อนบางส่วนไม่ได้ไปทำงานต่างประเทศ ยังมีคนมาร่วมงานเยอะกว่านี้อีกนะ” เจิ้งหยันพูดด้วยสีหน้าได้ใจ
ถึงปากจะพูดแบบนั้น แต่กลับแสยะยิ้มอยู่ในใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะเจิ้งเต๋อหัว บอกเขาว่าจะมีคนใหญ่คนโตมา ให้เขาเป็นฝ่ายหาวิธีใกล้ชิดกับตระกูลโจว เขาคงไม่พาหุ้นส่วนทางธุรกิจมาเยอะขนาดนี้หรอก
คนที่เพิ่งมาร่วมงาน ล้วนเป็นคนที่ทำธุรกิจกับเจิ้งเหอกรุ๊ป อีกทั้งยังเป็นพวกนักธุรกิจ ที่ต้องพึ่งพาเจิ้งเหอกรุ๊ปถึงจะอยู่รอดได้
เรียกคนพวกนี้มา ก็เพราะต้องการแสดงท่าทีที่ดีต่อคนใหญ่คนโตของตระกูลโจวท่านนั้น
“คุณสามีสุดยอดมาก แค่มาร่วมงานแต่ง ก็มีคนใหญ่คนโตมาร่วมงาน เพราะเห็นแก่หน้าของคุณ”
โจวอวี้หรงพูดอย่างได้ใจ แถมยังจงใจหันไปมองฉินซีอีกต่างหาก
“น้องเขยสุดยอดมาก รอให้งานแต่งของเสี่ยวข่ายเรียบร้อย เราจะเลี้ยงอาหารตอบแทนน้องเขยอย่างดีเลย”
เหย่เหมยยิ้มอย่างสดใส
ก่อนหน้านี้ฉินซีทวงหนี้โจวอวี้หรงกับโจวอวี้เจี๋ยต่อหน้าทุกคน เป็นเรื่องน่าอับอายมาก
ตอนนี้เจิ้งหยันเชิญคนพวกนี้มา ถือว่าทำให้พวกเขากู้หน้ากลับมาได้
“ฮ่าๆ คนกันเอง พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจหรอก!” เจิ้งหยันยิ้มอย่างสดใส
นายท่านตระกูลโจวมองภาพตรงหน้า ด้วยความพอใจมาก เขาพูดอย่างดีใจว่า “วันนี้ต้องขอบใจเจิ้งหยัน ที่ทำให้ตระกูลโจวมีหน้ามีตา!”
เมื่อเห็นภาพที่ครึกครื้นบนโต๊ะของนายท่านตระกูลโจว จู่ๆ ฉินซีก็รู้สึกหดหู่
หยางเฉินให้ใบชามูลค่าสิบกว่าล้าน นายท่านตระกูลโจวไม่แม้แต่จะเหลียวแลเขา แต่กับสิ่งจอมปลอมของเจิ้งหยัน กลับทำให้นายท่านตระกูลโจวมีความสุขขนาดนี้
ฉินซีไม่ได้ผิดหวังที่ตัวเองโดนเมิน แต่เธอรู้สึกไม่ยุติธรรมกับหยางเฉิน
เมื่อเห็นท่าทีหดหู่ของฉินซี หยางเฉินกุมมือเธอเบาๆ และพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ฉินซี ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผมสนใจแค่คุณกับลูกเท่านั้น!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน ที่คล้ายกับคำสารภาพรัก ฉินซีใจเต้นตึกตัก เธอจงใจถลึงตาใส่หยางเฉิน
ฉินยีมองครอบครัวสามคนที่มีความสุข ในแววตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม เธอดีใจแทนพวกเขาจริงๆ
ขณะนั้น มีชายวัยกลางคน ปรากฏตัวที่ห้องบอลรูม
“ว้าว! อวี้เจี๋ย ลั่วปิงผู้จัดการใหญ่ของต้าเหอกรุ๊ป เขามาได้ยังไงกัน”
เจิ้งหยันเห็นลั่วปิงที่หน้าประตู จู่ๆ เขาก็ถามอย่างตกใจ
เขานึกคำพูดของพ่อขึ้นได้ วันนี้จะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานแต่งของตระกูลโจว และให้เขาทำความรู้จักกับอีกฝ่าย อย่าบอกนะว่าลั่วปิงคือคนใหญ่คนโตที่ว่า
โจวอวี้เจี๋ยไม่เคยเจอลั่วปิง แต่เคยได้ยินชื่อนี้ และยังรู้อีกว่าต้าเหอกรุ๊ปเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโจวเฉิง
“ว้าว! นายอย่าบอกนะ คนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือลั่วปิงเหรอ”
โจวอวี้เจี๋ยก็อึ้งไปเหมือนกัน