The king of War - บทที่ 263 กินเดี๋ยวนี้
หลายวันต่อมา ลั่วปิงทยอยนำงานในมือที่ต้องจัดการมากมาย มอบให้เฉินซิงไห่ไปทั้งหมด
เดิมทีหยางเฉินจะให้ลั่วปิงฝึกอบรมผู้ช่วยที่มีความสามารถคนหนึ่ง จากนั้นมอบเรื่องราวทุกอย่างของเมืองโจวเฉิงให้ผู้ช่วย หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จะส่งลั่วปิงไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาใหญ่
ปัจจุบันนี้ตระกูลเฉินยอมอยู่ใต้อำนาจหยางเฉิน ด้วยตำแหน่งของผู้ทรงอิทธิพลใหญ่ของเมืองโจวเฉิง เดิมทีจึงไม่ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนถึงให้ลั่วปิงจากไป
เพียงช่วงหนึ่งอาทิตย์สั้นๆ ลั่วปิงก็ส่งต่อให้เฉินซิงไห่เสร็จสิ้นแล้ว
เมืองเจียงโจว ชั้นบนสุดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาย่อย
“ท่านประธานครับ เรื่องที่เมืองโจวเฉิงจัดการเรียบร้อยแล้วครับ ผมออกเดินทางไปที่เยนตูได้เมื่อไรครับ?”
ลั่วปิงยืนอยู่ด้านหลังหยางเฉิน มองชายหนุ่มที่เอามือไพล่หลังและทอดสายตามองไปยังที่ห่างไกลคนนั้น
“ข้อดีข้อเสียในการไปเยนตู ฉันเคยบอกกับนายไปแล้ว ตอนนี้นายยังจะยืนยันไปอยู่หรือเปล่า?”
หยางเฉินหมุนตัวทันใด มองทางลั่วปิงแล้วถามขึ้น
ในสายตาของลั่วปิงมีเพียงความเด็ดเดี่ยว พยักหน้าหนักแน่น “ท่านประธานครับ ผมจะไปครับ!”
เดิมทีในใจลั่วปิงยังมีความกังวลส่วนหนึ่ง แต่ทุกอย่างที่เกิดในตระกูลหยวนวันนั้น เสมือนมอบยาสะกดจิตใจสงบให้เขาเม็ดหนึ่ง
ถึงพูดว่าเศรษฐกิจของตระกูลหยวนพังทลาย เป็นเพราะเขาวางหมากที่เมืองโจวเฉิงไว้ล่วงหน้า ถึงสามารถทำได้อย่างราบรื่นขนาดนั้น
ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะวางหมากเปิดโปงเขาที่เมืองโจวเฉิงเร็วขนาดนั้น แต่การปรากฏตัวของหยางเฉิน กลับทำให้ทุกอย่างเปิดเผยมาก่อนล่วงหน้า
โดยเฉพาะเขาเข้าใจด้วยว่าต่อให้ไม่มีการวางหมากล่วงหน้าของเขา ผลลัพธ์ของเมืองโจวเฉิงก็คงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากนี้
“ดี ในเมื่อนายยืนยันแล้ว งั้นวันนี้ นายก็ไปเยนตู!” หยางเฉินเอ่ยปากบอก
สำหรับลั่วปิง ในใจเขายังรู้สึกซาบซึ้งใจระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือความซื่อสัตย์ของลั่วปิง เขาล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งหมด
ไม่นานภาพชายวัยกลางคนปรากฏตัวที่ห้องทำงาน
“พี่เฉิน!”
เฉียนเปียวเดินเข้ามาแล้ว
“นายเตรียมตัวสักหน่อย ออกเดินทางไปเยนตู รับผิดชอบคุ้มกันความปลอดภัยในชีวิตของลั่วปิง!”
หยางเฉินพูดแบบท่าทางจริงจัง “จะต้องคุ้มกันเขาให้ดี!”
“ครับ รับรองว่าทำภารกิจสำเร็จแน่ครับ!”
มองท่าทางที่จริงจังของหยางเฉิน เฉียนเปียวจึงรีบยืนตัวตรงทันที เสียงดังกังวานดุจระฆัง
“ไม่ว่าอย่างไรพวกนายต้องมีชีวิตรอดให้ฉัน!”
สายตาของหยางเฉินอ่อนโยนลงมาก มองทั้งสองคนแล้วพูดสั่ง “ถ้าไม่มีทางจัดการสถานการณ์ที่เยนตูได้จริง ต่อให้ยอมแพ้ ฉันก็จะไม่โทษพวกนาย มีแค่พวกนายมีชีวิตรอด ถึงเป็นต้นทุนของฉัน!”
ท่าทางลั่วปิงกับเฉียนเปียวทั้งสองคนรู้สึกประทับใจกันมาก
หยางเฉินสามารถพูดสิ่งพวกนี้กับพวกเขาได้ ย่อมเห็นพวกเขาเป็นพี่น้องของตนเองไปแล้วแบบไม่ต้องสงสัย
“ท่านประธานวางใจได้ครับ ผมจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนครับ!”
“พี่เฉิน พี่วางใจได้เลย ขอแค่ผมยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ให้ประธานลั่วเกิดเรื่องอะไรได้เด็ดขาด!”
ทั้งสองต่างพูดรับประกัน
วันนั้น ลั่วปิงและเฉียนเปียวมุ่งหน้าไปยังเยนตู
สองคนนี้สำหรับหยางเฉินแล้ว เขาฝากฝังความหวังไว้เยอะมาก
เยี่ยนเฉินกรุ๊ป เป็นความทรงจำหนึ่งเดียวที่มารดาเหลือไว้ให้ตนเองบนโลกใบนี้ เขาจึงทุ่มสุดแรงเพื่อรักษาไว้
“ตระกูลอวี๋เหวิน คงมีสักวัน ฉันจะไปหาถึงที่ด้วยตนเอง ถามคนคนนั้นดูหน่อยว่าทำไมตอนแรกถึงไล่ฉันกับแม่ออกจากตระกูลแบบใจดำด้วย!”
ในดวงตาทั้งคู่ของหยางเฉินมีแสงเฉียบแหลมแวบหายไป
ตอนที่ใกล้เลิกงาน หยางเฉินได้รับโทรศัพท์จากซูซาน “หยางเฉิน เย็นนี้คุณว่างไหม? พ่อฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อ”
ในน้ำเสียงของซูซานเห็นได้ชัดว่ามีความดีใจระดับหนึ่ง
หยางเฉินอยากจะสัมผัสใกล้ชิดซูเฉิงอู่สักหน่อยจริงๆ จึงตอบรับไปแบบไม่คิดมาก
ความจริงตั้งแต่เขาเพิ่งกลับมาเมืองโจวเฉิงวันนั้น หลังเจอซูเฉิงอู่ครั้งแรก ซูเฉิงอู่ก็เคยแอบช่วยเหลือเขาตั้งหลายรอบ
ไม่อย่างนั้นเยี่ยนเฉินกรุ๊ปสาขาที่เมืองเจียงโจวคงไม่อาจได้การร่วมงานสำคัญบางส่วนมาได้อย่างราบรื่น
เดิมทีเพราะความสัมพันธ์ของซูเฉิงอู่และตระกูลอวี๋เหวิน ทำให้หยางเฉินไม่มีความรู้สึกดีใดๆ ต่อเขา ครั้งนี้หลังจากเดินทางกลับมาจากเมืองโจวเฉิง เขาก็ส่งคนไปตรวจสอบซูเฉิงอู่แล้ว
ผลปรากฏว่าที่ทำให้เขาแปลกใจคือซูเฉิงอู่เพียงแค่มีความสัมพันธ์กับหานเทียนเฉิงพ่อบ้านของตระกูลอวี๋เหวินนิดหน่อย กับตระกูลอวี๋เหวินยังไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ
ตอนนั้นหานเทียนเฉิงเคยช่วยตระกูลซูครั้งหนึ่ง ถึงทำให้ตระกูลซูครอบครองตำแหน่งอย่างในวันนี้
ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋เหวิน ก็ไม่ต้องการขจัดตาแก่คนนี้ออกไปขนาดนั้น
ร้านอาหารเป่ยหยวนชุน เป็นร้านอาหารที่มีสาขาของตระกูลมู่แห่งเมืองเอก โดยพื้นฐานแต่ละเมืองต่างก็มีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะร้านอาหารเป่ยหยวนชุนแต่ละแห่งล้วนสร้างด้วยรูปแบบชั้นสูงสุดตามต้นฉบับ
ตั้งแต่ที่เมืองโจวเฉิงวันนั้น หลังตระกูลมู่โดนหานเซี่ยวเทียนโยนทิ้งต่อหน้าสาธารณชน ตระกูลมู่ก็กลายเป็นหนูข้างถนนที่ผู้คนรังเกียจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายปีในอดีต ตระกูลมู่พึ่งพาเบื้องหลังของตระกูลหาน กระทำอย่างเผด็จการ ล่วงเกินผู้มีอิทธิพลไม่น้อย
และพอมีซูเฉิงอู่ลงมือ ร้านอาหารเป่ยหยวนชุนในปัจจุบันนี้จึงถูกตระกูลซูซื้อเอาไว้เรียบร้อย
ตอนที่หยางเฉินมาถึงร้านอาหาร อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้ เขาอยู่ที่โถงใหญ่ ถือโอกาสหาสักตำแหน่งหนึ่งนั่งลง รอคอยพ่อลูกตระกูลซู
“เอ๊ะ! เธอตาบอดหรือยังไงกัน?”
“เธอรู้ไหมว่าเสื้อผ้าชุดนี้ของฉันราคาเท่าไร? นี่คือชาเนลเลยนะ ตัวหนึ่งตั้งแสนกว่า!”
“ถ้าวันนี้เธอไม่ชดใช้ตามราคา ฝันไปเถอะว่าจะไปได้!”
ที่นั่งคู่รักอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวที่แต่งตัวหรูหราคนหนึ่งพูดคำรามอย่างหงุดหงิดใส่พนักงานหญิงคนหนึ่ง
ในเวลานี้เอง ผู้จัดการชายวัยกลางคนหัวล้านที่หน้ามันวาวคนหนึ่งเดินเข้าไปแล้ว
“คุณเว่ยครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ?”
ผู้จัดการมองเห็นลูกค้าสาวคนนั้น บนหน้าเผยรอยยิ้มเต็มที่
“ดูสิคุณจ้างพนักงานอะไรมากัน? สาดน้ำแกงใส่ตัวฉันแล้วเนี่ย ถ้าคุณไม่จัดการให้ฉัน อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน!”
บนหน้าของคุณเว่ยที่ทาแป้งรองพื้นหนาเตอะเต็มไปด้วยไฟโกรธ ในแววตาลึกๆ กลับเปล่งประกายความเย็นชาระดับหนึ่ง
“เธอยัยโง่คนนี้ ตาบอดรึไง?”
“นึกไม่ถึงว่าแม้แต่เสื้อผ้าของคุณเว่ยยังกล้าทำเลอะ”
“เธอรู้ไหมว่าคุณเว่ยเป็นใครกัน?”
“ถ้าเธอไม่ชดใช้ ดูสิว่าฉันจะจัดการเธอยังไง”
ผู้จัดการร้านอาหารทำท่าทีต่อว่าพนักงานสาว ต่อว่าใส่หน้าไปโครมๆ ยกหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ!”
พนักงานสาวหน้าตาดูหวาดกลัวเต็มที่ รีบกล่าวขอโทษ บนหน้ายังมีรอยฝ่ามือที่ชัดแจ๋วรอยหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเมื่อสักครู่โดนคุณเว่ยคนนั้นตบหน้าทีหนึ่ง
เพราะพนักงานหญิงหันหลังให้หยางเฉินอยู่ เริ่มแรกเขาจึงยังไม่ทันสังเกตเห็น จนกระทั่งเธอเอ่ยปากขอโทษ หยางเฉินถึงรู้ว่าเธอคือใคร
“พูดขอโทษมาก็จบแล้วเหรอ?”
คุณเว่ยไม่ยอมเลิกรา ทันใดนั้นนำข้าวสวยถ้วยหนึ่งบนโต๊ะอาหาร เทลงตรงแทบเท้า และเหยียบอย่างแรงไปหลายที หัวเราะเยาะพลางพูดว่า “ดูเธอไม่เหมือนคนที่ชดใช้เงินหนึ่งแสนกว่าได้ ขอแค่เธอกินข้าวถ้วยนี้เข้าไป ฉันก็จะไม่ให้เธอชดใช้เงินแล้ว!”
“อะไรนะ?”
“ผู้หญิงคนนี้ร้ายเกินไปแล้วมั้ง? นึกไม่ถึงจะให้พนักงานคนนี้กินข้าวที่หล่อนเหยียบ!”
“เธอเสียงเบาหน่อย รู้หรือเปล่าว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? หล่อนเป็นถึงคุณหนูตระกูลเว่ยของสี่พรรค์แห่งเมืองเจียงโจวเลยนะ เว่ยหมิงเยว่! ระวังถูกหล่อนได้ยินเข้า เธอได้ตายแน่!”
……
คนโดยรอบต่างพากันถกเถียง คนมากมายต่างทนดูไม่ได้ แต่ติดอยู่ตรงสถานะของเว่ยหมิงเยว่ จึงไม่มีใครกล้าก้าวก่าย
ดวงตาของพนักงานสาวแดงก่ำ น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา
อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย แม้แต่หนึ่งหมื่น เธอก็จ่ายไม่ไหว
แต่ถ้าไม่ชดใช้ คงต้องกินข้าวที่ถูกเหยียบบนพื้นไป
“รีบกินสิ ไม่อย่างนั้นรอฉันเปลี่ยนใจ ต่อให้เธออยากกิน ก็สายไปแล้ว!” เว่ยหมิงเยว่รีบพูดเร่ง
“ได้ ฉันจะกิน!”
ในที่สุดพนักงานสาวตัดสินใจได้ ชั่วพริบตาเดียวน้ำตาก็ไหลริน
หน้าเว่ยหมิงเยว่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่แผนการชั่วร้ายประสบผลสำเร็จ
ตอนที่พนักงานสาวกำลังเตรียมคุกเข่าลงไป ทันใดนั้นมีแขนทรงพลังข้างหนึ่งปรากฏขึ้นฉับพลัน คว้าไหล่ของเธอเอาไว้แล้ว “เดี๋ยวก่อน!”