The king of War - บทที่ 30 ฉินยีหายสาบสูญ
บทที่ 30 ฉินยีหายสาบสูญ
เหมือนว่าฉินซีจะระบายความไม่เป็นธรรมที่ได้รับมาในหลายวันนี้ระบายออกมาทั้งหมด ร้องไห้ฟูมฟาย
ตระกูลซูส่งของขวัญที่มีมูลค่ามากมาให้ เธอจึงคิดเอาเองว่ามันคือสินสอดที่มอบให้เธอตามที่เห็นว่าควรจะเป็น
ตระกูลซูส่งรถมารับพวกเธอทั้งครอบครัวไปโรงแรมสตาร์ไลท์โดยเฉพาะ เธอก็คิดเอาเองว่าตระกูลซูจัดงานเลี้ยงหมั้นหมายเพื่อเธอ
จนกระทั่งซูเฉิงอู่กล่าวปฏิเสธทุกอย่างจากปาก เธอถึงจะได้รู้ความจริง
นายท่านฉินกลับไม่เชื่อคำพูดของฉินยี พูดด้วยใบหน้าโมโหว่า “ต่อให้ซูเฉิงอู่ไม่มีลูกชาย ตระกูลซูก็ยังมีผู้ชายหลายคนที่ยังไม่ได้แต่งงาน รายการแสดงสินค้าจั่วหัวไว้ว่าเป็น ‘รายการสินสอด’ ในบ้านเธอมีแค่เธอที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถ้าหากของพวกนี้ไม่ได้ให้เธอ ถ้างั้นจะให้ใครได้?”
ได้ยิน ‘รายการสินสอด’ ฉินยีก็นึกขึ้นได้ ใบหน้าโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ที่แท้ก็เป็นสินสอดจริง ๆ เพียงแต่ไม่ใช่ของฉัน”
พูดประโยคนี้จบเธอก็หันหลังจากไป
วันนั้นตอนที่ซูเฉิงอู่พูดว่าเป็นของขวัญขอบคุณที่มอบให้กับหยางเฉินเธอก็ไม่แน่ใจ ตอนแรกในตอนที่ของขวัญมากมูลค่านั้นส่งมา รายการยืนยันก็คือรายการสินสอด เดิมเธอยังนึกว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
จนกระทั่งวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าของพวกนั้นก็คือสินสอด เป็นสินสอดที่ตระกูลซูมอบให้กับฉินซีแทนหยางเฉิน
“เสี่ยวยี เธออย่าไปนะ!”
นายท่านฉินเห็นฉินยีจากไปก็ร้อนรนขึ้นทันที
“คุณพ่อคะ ท่านอย่าตื่นเต้นไปเลย ให้เวลาพวกเราสักหน่อย พวกเราจะเกลี้ยกล่อมเสี่ยวยีให้ได้ค่ะ” โจวยู่ชุ่ยยืดอกพูดทันที
“ถ้าหากวันนี้ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของตระกูลฉินได้ ทั้งหมดก็จบแล้ว!”
นายท่านฉินตวาดออกมาอย่างเดือดดาล พูดขึ้นต่ออีกว่า “วิกฤตการณ์ของตระกูลฉินทั้งหมดเกิดจากครอบครัวของพวกเธอเป็นคนทำ ถ้าหากก่อนฟ้าสว่างพวกเธอยังขอร้องให้ตระกูลซูให้อภัยไม่ได้ อย่าว่าแต่กลับเข้าตระกูลอีกครั้งเลย ฉันจะต้องให้พวกเธอชดใช้ทั้งหมด!”
พูดจบนายท่านฉินก็เดินสะบัดแขนจากไป โจวยู่ชุ่ยรีบร้อนตามไปทันที “คุณพ่อ งั้นที่ท่านพูดว่าจะให้ต้าหย่งรับตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่และยังเรื่องที่จัดเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้พวกเราในคฤหาสน์ตระกูลฉินนั่นยังนับอยู่ไหมคะ?”
นายท่านฉินโมโหจนขึ้นสมองมาแต่เดิมแล้ว ไหนเลยจะขานรับ ขึ้นรถแล้วจากไปเลย
“ต้าหย่ง คุณพ่อหมายความว่ายังไงกันแน่? ไม่ได้พูดว่าจะให้คุณกลับไปเป็นรองผู้จัดการใหญ่ที่บริษัทพรุ่งนี้หรอกเหรอ? แล้วยังคฤหาสน์ที่จะให้พวกเราอีกล่ะ?” โจวยู่ชุ่ยไม่ได้รู้สึกถึงวิกฤตการณ์ของตระกูลฉินเลย
ฉินต้าหย่งถูกคำพูดของภรรยาของตัวเองทำให้โกรธจนแค่นหัวเราะออกมา “ถ้าหากเธออยากจะอยู่คฤหาสน์ พรุ่งนี้ก็ไปคฤหาสน์ตระกูลฉินเองสิ ดูซิว่าเขาจัดเตรียมคฤหาสน์ไว้ให้เธอหรือเปล่า”
“ฉินต้าหย่ง คุณหมายความว่ายังไง?” โจวยู่ชุ่ยเปลี่ยนความอับอายเป็นความโกรธ
“เธอมันโง่เง่า! ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ตระกูลฉินจะพังทลายแล้ว หลังจากคืนนี้ไปเกรงว่าในเจียงโจวจะไร้ตระกูลฉิน ถ้าหากไม่จนตรอก เขาจะเหยียบเข้ามาในบ้านเราสักก้าวเหรอ?” ฉินต้าหย่งคำรามขึ้นมาด้วยความเดือดดาล
“ไม่ได้ พวกเราจะต้องคิดหาวิธี จะให้ตระกูลฉินพังทลายแบบนี้ไม่ได้ ต้าหย่ง เสี่ยวยีไม่ไปขอร้องตระกูลซู งั้นพวกเราไป”
อารมณ์ของโจวยู่ชุ่ยฮึกเหิมขึ้นอย่างมากในทันที ดึงฉินต้าหย่งแล้วพูดว่า “ขอเพียงพวกเราแก้ไขวิกฤตการณ์ของตระกูลฉินได้ นายท่านฉินจะต้องให้พวกเราเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉินแน่ ยังจะให้คุณเข้ารับตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่อีก ไม่แน่ว่าในอนาคตเขาอาจจะส่งมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับคุณ”
ถึงแม้ว่าตระกูลฉินจะรังเกียจพวกเขา แต่ถึงอย่างไรบนศีรษะก็ยังมีสัญลักษณ์ของตระกูลฉิน หลายปีมานี้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ยังได้รับกำไรปันผลในทุก ๆ เดือน
ถ้าหากตระกูลฉินพังทลายลง เช่นนั้นก็ไม่เหลืออะไรเลย
“ไสหัวไป!”
ฉินต้าหย่งผลักโจวยู่ชุ่ยออกแล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ในสายตาเธอมีแต่เงินจริง ๆ เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตระกูลสูงส่งที่ร่ำรวยที่สุดในเจียงโจวจะยินดีฟังเธอ?”
โจวยู่ชุ่ยสีหน้าไร้วิญญาณ “ตระกูลฉินจะจบลงจริง ๆ เหรอ?”
ผับเย่สื้อ
ฉินยีใช้สองมือประคองแก้วเหล้าขึ้นมา กระดกทีเดียวหมดแก้วอย่างไม่ลังเล
“เสี่ยวยี เธอเป็นอะไรเหรอ?”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา แย่งแก้วเหล้าออกจากมือของเธอไป
“เถียนเถียน เธอมาแล้ว! ดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย” พอเห็นว่าเป็นซุนเถียน ฉินยีก็ดึงอีกฝ่ายมานั่งข้าง ๆ เธอ
ซุนเถียนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อกี้ตอนที่ได้รับสายจากฉินยี ได้ยินเสียงของเธอผิดปกติก็รีบมาในทันที
เห็นบนโต๊ะมีแก้วเหล้าเปล่า ๆ หลายแก้ววางรวม ๆ กันอยู่ ซุนเถียนก็รู้ว่าฉินยีเมาแล้ว “ยียี เกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอบอกฉันสิ ฉันจะออกหน้าให้เธอเอง”
ฉินยีไม่ได้เอะอะโวยวาย ได้ยินคำพูดของซุนเถียนแล้วฉินยีก็กอดเธอร้องไห้ออกมา “ทำไมกัน ทำไมต้องทำกับฉันแบบนี้ด้วย ทำไม?”
ร้องไปร้องมาฉินยีก็ดันตัวซุนเถียนออก ประคองแก้วเหล้าขึ้นมาจะดื่มอีก
ซุนเถียนรีบห้ามในทันที “ยียี ถ้าหากเธอยังอยากดื่มอยู่อีกก็ไปบ้านฉัน ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนเธอให้พอ”
ผู้ชายหลายคนรอบ ๆ ล้วนแต่จ้องพวกเธออย่างร้อนแรง ในใจของซุนเถียนตึงเครียดมาก เห็นได้ชัดว่าฉินยีดื่มไปเยอะแล้ว ถ้าหากว่าเจอคนไม่ดีที่เห็นคนดูดีแล้วมีความคิดจะล่วงละเมิดเธอคงจะขวางไว้ไม่ไหว
หลังจากทุลักทุเลมาหลายครั้งหลายหน ในที่สุดก็นำตัวฉินยีออกมาจากร้านเหล้าได้
ตอนนี้เอง รถออดี้ A6 สีดำคันหนึ่งก็จอดลงหน้าประตูร้านเหล้า ฉินเฟยที่มีใบหน้าฟกช้ำดำเขียวกำลังนั่งอยู่ที่ตำแหน่งคนขับ
พอเห็นว่าฉินยีเดินออกมาแล้วเขาก็ลงจากรถวิ่งตรงเข้ามาทันที
“เสี่ยวยี ถ้าหากเธอไม่ไปขอร้องที่ตระกูลซู ตระกูลฉินก็จะจบลงจริง ๆ พี่ชายขอร้องเธอล่ะ ช่วยพี่แค่ครั้งเดียว ได้ไหม? ขอเพียงผ่านวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ ต่อไปเธออยากจะทำอย่างไรพี่ก็จะตอบตกลงทั้งหมด” ฉินเฟยพุ่งเข้าไปจับข้อมือของฉินยี อารมณ์ตื่นเต้นสุดขีด
เขาไม่รู้ว่านายท่านฉินมาหาฉินยีด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้เขายังคงร้อนรนเพื่อเรื่องของตระกูล นายท่านฉินโหดเหี้ยมไร้ความปรานีมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าหากไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฉินยีไปขอความเมตตาได้ นายท่านฉินคงจะไล่เขาออกจากตระกูลจริง ๆ
“ออกไป! ไปให้พ้น!”
ถึงแม้ว่าฉินยีจะเมาแล้ว แต่ก็ยังจำได้ว่าเป็นฉินเฟย อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาในทันที ด่าไปด้วย ถีบไปทางฉินเฟยไปด้วย
ซุนเถียนดึงตัวฉินยีไว้ทันที พูดขอโทษฉินเฟยว่า “ขอโทษนะคะ เธอดื่มมากไป!”
ในใจของฉินเฟยเดือดดาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คืนนี้เป็นเดดไลน์วันสุดท้ายของตระกูลฉินแล้ว นึกไม่ถึงว่าฉินยีจะดื่มจนเมา รอจนเธอสร่างขึ้นมามันไม่สายไปแล้วหรอกเหรอ?
ในสมองของเขามีความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาทันที รีบเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดกับซุนเถียนว่า “ผมคือฉินเฟย เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉินยี ผมจะพาเธอกลับบ้าน เมื่อกี้รบกวนเธอแล้ว”
ซุนเถียนตื่นตัวขึ้นมาอย่างมาก เมื่อกี้เธอฟังได้ยินฉินเฟยพูดอย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าโดนฉินยีปฏิเสธมาก่อนแล้ว
“ไม่ต้องแล้ว ฉันจะพาเธอกลับบ้านของฉัน” ซุนเถียนพูดขึ้น
ไม่รอให้ฉินเฟยพูดจนจบ ซุนเถียนก็โบกรถแท็กซี่หนึ่งคันจากไปทันที
มองดูรถแท็กซี่ที่ค่อย ๆ หายไปจากระยะสายตา ในสายตาของฉินเฟยมีแววโหดเหี้ยมวาบผ่าน “ฉินยี เธอบังคับฉันเองนะ!”
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปหมายเลขหนึ่ง “เฮียสง ช่วยผมจับตัวคนคนหนึ่งหน่อย…”
หลังจากซุนเถียนพาฉินยีขึ้นมาบนรถแท็กซี่แล้วถึงจะผ่อนลมหายใจออกมาคำหนึ่ง ในตอนนี้ฉินยีหลับไปแล้ว แต่หางตายังคงมีคราบน้ำตาอยู่
เห็นท่าทางแบบนี้ของฉินยีแล้วซุนเถียนปวดใจเป็นอย่างมาก
“เอี๊ยด!”
สองคนเพิ่งจะลงจากรถแท็กซี่ ยังเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงเบรกรถบาดหูดังขึ้นมาทันที ซุนเถียนเพิ่งจะหันกลับไปดูก็เห็นรถตู้คันหนึ่งจอดอยู่ข้าง ๆ เธอ ผู้ชายร่างใหญ่มีรอยสักที่แขนสองคนเดินออกมา
“พวกนายจะทำอะไรน่ะ?” เห็นคนสองคนเดินมาทางพวกเธอ ซุนเถียนก็มีสีหน้าหวาดกลัว
ชายร่างใหญ่ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สับฝ่ามือทีหนึ่ง ซุนเถียนก็สลบไปในทันที
ชายร่างใหญ่อีกคนก็ลากฉินยีขึ้นไปบนรถแล้ว
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา กระทั่งยังไม่ทันได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นฉินยีก็โดนพาตัวไปแล้ว
ริมถนนไม่ไกลมีออดี้ A6 จอดอยู่ ฉินเฟยแสยะยิ้ม “ฉันจะรอดูซิว่า ถ้าฉันได้รูปที่เธอนอนกับคนอื่นได้ เธอยังจะกล้าปฏิเสธคำขอของฉันไหม?”
ตอนที่ซุนเถียนฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในพุ่มไม้ เธอนวด ๆ รู้สึกเจ็บที่หลังคอเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตกใจจนหน้าซีดในทันที “ยียี!”
เพียงแต่ไหนเลยจะมีเงาร่างของยียี?
บ้านใหญ่ตระกูลฉิน
ฉินซีมองดูเวลาครั้งหนึ่ง “สี่ทุ่มกว่าแล้วนะ”
พูดแล้วเธอก็โทรศัพท์ออกไป แต่ก็อยู่ในสถานะปิดเครื่องมาตลอด ทำให้เธอจิตใจไม่สงบสุขขึ้นมาบ้างในทันที
เธอเดินออกจากห้อง มองไปที่โจวยู่ชุ่ยที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่ชั้นล่าง เธอถามขึ้นว่า “แม่คะ แม่รู้ไหมคะว่าเสี่ยวยีไปไหน? ดึกขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก?”
โจวยู่ชุ่ยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างไม่ได้สนใจว่า “เธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอไปไหน?”
“ฮ่า ๆ อันนี้สนุก” โจวยู่ชุ่ยโดนเนื้อเรื่องในละครดึงดูดโดยสมบูรณ์ หัวเราะขึ้นมาเสียงดังอย่างไม่มีความคิด
ฉินซีถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง หมุนตัวกลับห้องไป
ในตอนนี้เองเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมาฉับพลัน มองเห็นชื่อของซุนเถียนเธอก็มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีบางอย่างผุดขึ้นมาทันที กดรับสายทันที
“พี่ซี ยียีถูกคนพาตัวไป!”
ฉินซีเพิ่งจะรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงซุนเถียนร้องไห้อย่างหนัก