The king of War - บทที่ 369 สวุเจียถึงกับตัวสั่น
ถังคุนเบื่อสวุเจียมานานแล้ว เขาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ด้วยซ้ำ
มีแต่สวุเจียเท่านั้นที่คิดว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นแล้วย้ายไปอยู่กับเขา
ผู้หญิงแบบนี้ ต่อให้จะมีเงินเท่าไหร่ก็ไม่ควรแต่งงานด้วย
สายตาของทุกคนมองไปที่สวุเจียอย่างเสียดสี แม้ว่าเธอจะเป็นผู้ถูกทอดทิ้ง แต่ไม่มีใครเห็นอกเห็นใจเธอเลย
เมื่อกี้เธอทำตัวหยิ่งทะนงมากแค่ไหน ทุกคนก็เห็นกับตาแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจึงพูดได้คำเดียวว่าสมน้ำหน้า
สวุเจียถึงกับทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“ที่รัก คุณล้อเล่นอยู่ใช่ไหม?”
“คุณบอกฉันว่าในชีวิตนี้คุณจะรักฉันแค่คนเดียวเท่านั้น คุณบอกฉันว่าอีกไม่นานคุณจะขอฉันแต่งงาน”
“แล้วก็หยกเจ้าแม่กวนอิมกับแหวนเพชรที่คุณให้ฉัน ทั้งหมดนี้คุณใช้เงินหลายล้านซื้อให้ฉันที่เมืองเทียนฝู่”
“วันนี้ไม่ใช่วันเอพริลฟูลนะ คุณทำไมต้องโกหกฉันแรงขนาดนี้ด้วย?”
ใบหน้าของสวุเจียเต็มไปด้วยความกลัว แม้ว่าเธอจะยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่น่าเกลียดมากกว่าการร้องไห้
เธอยังคงมีความหวังสุดท้ายในใจ เธอยังหวังว่าถังคุนกำลังล้อเล่นกับเธออยู่
“คุณไม่เข้าใจที่ผมพูดจริงๆ เหรอ?”
ใบหน้าของถังคุนเต็มไปด้วยการประชด “ของขวัญที่ผมเคยให้คุณ ไม่มีชิ้นไหนที่เกินหนึ่งพันหยวนหรอก อยากแต่งงานกับคนของตระกูลถังงั้นเหรอ? คุณฝันไปใช่ไหม?”
“คนที่อยู่ในนี้ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตากันทั้งนั้น คนที่รวยกว่าผมก็มีตั้งเยอะแยะ คุณลองถามพวกเขาดูสิ ว่าใครอยากขอผู้หญิงหน้าเงินอย่างคุณแต่งงาน?”
คำพูดของถังคุนเหมือนมีดอันแหลมคมที่ทิ่มแทงหัวใจของสวุเจีย ทำให้เธอเจ็บปวดเสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
“ไม่!”
“เป็นไปไม่ได้!”
“คุณบอกเองว่าจะมาขอฉันแต่งงาน!”
“หยกเจ้าแม่กวนอิมกับแหวนเพชรที่คุณให้ฉันมีราคาหลายล้าน! แล้วมันจะเป็นของปลอมได้ยังไง?”
“ฉันไม่เชื่อ ฉันจะไม่มีวันเชื่อ! คุณกำลังโกหกฉัน ใช่ไหม?”
สวุเจียตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ในขณะนี้ ผมกระเซอะกระเซิงของเธอทำให้เธอดูเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง
“ที่นี่คือเมืองเทียนฝู่ ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณเอาหยกเจ้าแม่กวนอิมกับแหวนเพชรไปให้พวกเขาดูสิ ว่ามันเป็นของแท้หรือของปลอม?”
ถังคุนพูดอย่างประชดประชัน
เขาได้ตัดสินใจทิ้งผู้หญิงคนนี้แล้ว หลังจากที่เขารู้ว่าพอร์ซเลนที่สวุเจียทำแตกนั้นมีมูลค่าสูงถึงสิบสองล้านกว่า
เขาไม่มีเงินมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ และถ้าเรื่องนี้เข้าถึงหูของพ่อแม่เขาเมื่อไหร่ เขาต้องโดนด่าจนหูชาแน่
“หยกเจ้าแม่กวนอิมกับแหวนเพชรของฉันซื้อที่นี่ พวกคุณรีบดูให้ฉันทีว่ามันมีมูลค่าเท่าไหร่?”
สวุเจียเดินอย่างตะเกียกตะกายไปที่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องตรวจอัญมณีแล้วหยิบหยกเจ้าแม่กวนอิมกับแหวนเพชรของเธอออกมา
ผู้ประเมินคุณภาพอัญมณีหยิบหยกเจ้าแม่กวนอิมขึ้นมาก่อนแล้วชำเลืองมองดู จากนั้นหยิบแหวนเพชรขึ้นมาและชำเลืองมองดู
แต่กระบวนการทั้งหมดได้สิ้นสุดลงในเวลาเพียงสิบวินาทีเท่านั้น
ผู้ประเมินคุณภาพอัญมณีคืนของให้กับสวุเจียโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ส่ายเบาๆ
“เร็วเข้า บอกฉันที สรุปแล้วมันเป็นของแท้หรือของปลอม? มันมีมูลค่าเท่าไหร่?”
สวุเจียถามอย่างเร่งรีบ
ผู้ประเมินคุณภาพอัญมณีพูดอย่างเหลือทนว่า “หยกเจ้าแม่กวนอิมของคุณทำมาจากสารเคมี คุณภาพจะดูดีมาก แต่ความจริงแล้ว ส่วนผสมหลักก็คือสารเคมี ถ้าใส่นานๆ มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ของแบบนี้ ต่อให้โยนทิ้งข้างถนนก็ไม่มีใครเก็บหรอกครับ”
คำพูดของผู้ประเมินคุณภาพอัญมณีเหมือนเสียงฟ้าผ่าที่ดังสนั่นอยู่ข้างหูสวุเจีย
จากนั้นผู้ประเมินคุณภาพอัญมณีก็พูดต่อ “สำหรับแหวนเพชรชิ้นนี้ก็เป็นของปลอมเหมือนกัน! อันที่จริงมันเป็นเพทายที่มีการฉายรังสี สำหรับหินชนิดนี้ มันคล้ายกับเพชรก็จริง แต่มันเป็นหินที่มีกัมมันตภาพรังสีที่รุนแรง ถ้าสวมใส่เป็นเวลานาน อาจจะทำให้เกิดมะเร็งได้นะครับ!”
“ตึบ! ตึบ! ตึบ!”
สวุเจียก้าวถอยหลังไปหลายๆ ก้าวและตะโกนด้วยอารมณ์โกรธว่า “ไม่! คุณก็เป็นพวกเดียวกับถังคุน พวกคุณตั้งใจโกหกฉัน! นี่มันแหวนเพชรกับหยกเจ้าแม่กวนอิมมูลค่านับล้านเลยนะ มันเป็นของจริงนะ!”
ในเวลานี้ สวุเจียอารมณ์แปรปรวนเหมือนคนบ้าคนหนึ่ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ หยางเฉินยังคงเฝ้าดูด้วยสายตาที่เย็นชา เพราะผู้หญิงคนนี้จ้องจะรังแกฉินยีมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และเธอก็ได้ปลุกเร้าความโกรธของเขามานานแล้วด้วย
ตอนนี้บอกได้แค่ว่ากรรมตามสนองเท่านั้น
เมื่อกี้เธอยกตัวเองให้อยู่สูงแค่ไหน ตอนนี้ก็ตกลงมาจากที่สูงมากเท่านั้น
“คุณชายเหาครับ คุณดูสิครับ ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนี้แล้วนะครับ เธอเป็นคนทำของโบราณในร้านคุณเสียหายเองครับ ถ้ามีเรื่องอะไร คุณไปทวงที่เธอได้เลยครับ”
ถังคุนเดินเข้ามาพูดกับเฉินอิงเหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
จากนั้นเขาหันหลังเพื่อเตรียมจะเดินออกไป
“ถ้าคุณกล้าเดินออกไปจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว อย่าหวังว่าจะมีตระกูลถังในเมืองโจวเฉิงนี้อีก!”
เฉินอิงเหาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อได้ยินคำนี้ ถังคุนที่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงกับสะดุ้งและยืนอยู่กับที่เหมือนถูกฟ้าผ่า
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองโจวเฉิง ฉะนั้นการที่จะทำลายตระกูลถังนั้นเป็นแค่เรื่องปอกกล้วยเข้าปากเท่านั้น
“แต่คุณชายเหาครับ ไอ้ผู้หญิงสำส่อนคนนี้เป็นคนทำขวดพอร์ซเลนของร้านคุณแตกเองนะครับ ผมไม่เกี่ยวด้วยจริงๆ นะครับ”
ถังคุนแทบจะร้องไห้ออกมา
นั่นมันเงินสิบสองล้านสามแสนเชียวนะ ต่อให้ขายเขาไปทั้งตัวก็ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนี้
สำหรับตระกูลถังนั้นเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ ในเมืองโจวเฉิงเท่านั้น และทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวก็แทบจะไม่ถึง 50 ล้านด้วยซ้ำ
ฉะนั้น เงินสิบสองล้านสามแสนนี้ถือว่าเป็นเศษหนึ่งส่วนสี่ในทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลถังไปแล้ว ถ้าหากจะให้ตระกูลถังชดใช้จริงๆ คงต้องส่งผลต่อทั้งตระกูลอย่างแน่นอน
“ผมรู้แค่ว่าก่อนที่เธอจะทำพอร์ซเลนแตก คุณยังเป็นคู่หมั้นของเธอ”
เฉินอิงเหาพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เรื่องนี้คุณทั้งสองก็ควรรับผิดชอบด้วยกัน ถ้าวันนี้ไม่ชดใช้ค่าเสียหาย พวกคุณทั้งสอง อย่าหวังจะได้ก้าวออกไปจากที่นี่!”
เฉินอิงเหาในขณะนี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขามของความเป็นผู้นำ
ถังคุนสีหน้าซีดเซียว ซึ่งดูเหมือนว่าเรื่องนี้ตระกูลถังจำเป็นต้องออกหน้าแทนแล้ว
เขารู้ถึงฐานะของสวุเจียดี อย่าว่าแต่ให้เธอชดใช้เงินสิบสองล้านนี้เลย แม้แต่เงินแสนสองเธอก็ไม่มีด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ เฉินอิงเหาถึงมีโอกาสรีบเดินเข้าไปหาหยางเฉิน
“คุณหยางครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”
เฉินอิงเหาโค้งคำนับเล็กน้อยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพ
หยางเฉินยิ้มจางๆ “แล้วคุณคิดว่าผมจะเป็นอะไรได้ล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำนี้ เฉินอิงเหาถึงกับพูดไม่ออก จริงด้วยเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้เขามีอำนาจที่จะทำลายตระกูลเฉินได้ตามต้องการ แล้วใครจะทำอะไรเขาได้?
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอีกครั้ง
โดยเฉพาะถังคุนกับสวุเจีย ทั้งสองถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว เมื่อกี้พวกเขาได้เห็นท่าทีของเฉินอิงเหาที่มีต่อหยางเฉินแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการก้มหัวหรือการกล่าวทักทายด้วยความเคารพ
“สวัสดีครับคุณฉิน!”
ฉินยีพยักหน้าเบาๆ เธอรู้ดีว่าเฉินอิงเหาคือใคร แต่เธอไม่เคยรู้ว่าเมืองเทียนฝู่แห่งนี้จะเป็นของเฉินอิงเหา
“คุณฉินตามสบายเลยนะครับ ถ้าคุณชอบสินค้าชิ้นไหนก็เลือกเอาเลยนะครับ ผมจะให้คุณฟรีเลยครับ!” เฉินอิงเหาพูดอย่างใจป้ำ
ฉินยีรีบส่ายหัวตอบทันที บ้าไปแล้ว! ของที่นี่ชิ้นเล็กๆ น้อยๆ ราคาก็เริ่มต้นด้วยหลักล้านแล้ว แล้วเธอจะกล้ารับของขวัญที่มีมูลค่าเป็นล้านนี้ได้อย่างไร?
แต่หยางเฉินกลับยิ้มอย่างไม่สนใจใครและเดินไปที่ตู้โชว์กำไลหยกที่อยู่ด้านข้าง
“ช่วยหยิบกำไลมรกตสีแดงกับสีเขียวสองชิ้นนี้ออกมาแล้วใส่กล่องให้ผมทีครับ!”
หยางเฉินชี้ไปที่กำไลหยกชิ้นสีแดงและสีเขียวทั้งสองชิ้นในตู้โชว์นั้น
เมื่อครู่นี้ เขาสังเกตว่าสายตาของฉินยีจับจ้องอยู่ที่กำไลคู่นี้มานานแล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความคาดหวังในสายตาเธอ
เพียงแต่ว่า ราคาของกำไลคู่นี้มันสูงถึงยี่สิบแปดล้านแปดแสน และมันก็แพงเกินไปสำหรับเธอ
“รูดการ์ด”
หยางเฉินหยิบบัตรทองดำออกมาใบหนึ่ง
ในขณะที่เขาหยิบการ์ดใบนี้ออกมา ผู้คนนับไม่ถ้วนก็จ้องเขม็งมาที่เขา
“นี่มัน……บัตรทองดำของธนาคารสากล!”
“หรือเรียกว่า ‘King Card’ เป็นการ์ดที่ไร้ขีดจำกัดของยอดเงิน มีแต่คนรวยหรือคนดังที่มีทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านเท่านั้นถึงจะครอบครองมันได้!”
“ผู้ที่ครอบครองการ์ดใบนี้จะสามารถรับสิทธิพิเศษและสิทธิ์ของสมาชิกชั้นนำของโลก!”
ผู้คนที่สามารถมาซื้อของในเมืองเทียนฝู่แห่งนี้ล้วนจะเป็นคนใหญ่คนโตที่มีฐานะทั้งนั้น
ดังนั้นทันทีที่เห็นบัตรทองดำของหยางเฉิน ทุกคนก็มองออก และสายตาที่มองหยางเฉินก็เปลี่ยนไป
อายุแค่นี้ แต่มีบัตรทองดำของธนาคารสากล เขาเป็นใครกันแน่?
เกรงว่าแม้แต่คนทั้งประเทศจิ่วโจวก็จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถครอบครองบัตรนี้ได้
เมื่อเห็นผู้คนส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ สวุเจียกับถังคุนที่อยู่ด้านข้างต่างก็ทื่อไป
“มะ……มันเป็นไปได้ไง?”
สวุเจียถึงกับยอมรับความจริงที่เห็นไม่ได้
เธอดูถูกฉินยีมาตลอด แต่แฟนของฉินยีกลับมีบัตรทองดำที่ไร้ขีดจำกัดใบนี้