The king of War - บทที่ 385 เอาชีวิตของฉัน
สีหน้าของหวงจงนั้นหม่นหมองอย่างมาก บอดี้การ์ดที่เหลือคนเดียวก็ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้แล้ว
ถ้ายังต้องสู้กันต่อ บอดี้การ์ดของเขา ก็ไม่มีทางรอดแน่นอน
ฉือเจียงพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจว่า “เกินไปอย่างนั้นเหรอ? การที่คุณคนนอกอย่างคุณ มาทำลายระบบของเจียงผิงแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เกินไปรึไง?”
“ผมไม่สนว่าตระกูลหวงของคุณจะทำอะไรในเมืองอื่นๆ แต่ในที่ที่มีสมาคมบูโดของผมอยู่ ตระกูลหวงของคุณกล้าคิดวางแผนอะไร ก็ลองดู?”
“พาหมาของคุณ ไสหัวออกจากเจียงผิงซะ!”
ออร่าของฉือเจียงนั้นมหาศาล และไม่ได้มีหวงจงอยู่ในสายตาสักนิด
ด้วยฐานะของสมาคมบูโด เขาจึงมีสิทธิ์มากพอที่จะทำแบบนั้น
“ตระกูลหวง ไสหัวออกไปจากเจียงผิงซะ!”
ทันใดนั้น เว่ยเฉิงโจวก็ได้พูดออกมา
“ตระกูลหวง ไสหัวออกไปจากเจียงผิงซะ!”
เฉินซิงไห่ก็พูดออกมาเหมือนกัน
ในช่วงเวลาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะเหยียบย่ำตระกูลหวงอย่างแรงสักที ระหว่างทั้งสองฝ่ายได้ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามตั้งแต่แรกแล้ว ยังจะมีอะไรต้องให้กลัวอีก?
“ตระกูลหวง ไสหัวออกไปจากเจียงผิงซะ!”
“ตระกูลหวง ไสหัวออกไปจากเจียงผิงซะ!”
……
หลังจากนั้น ภายในห้องสัมมนาของการประชุมแลกเปลี่ยน ทุกคนต่างก็ตะโกนออกมา จนเสียงนั้นดังลั่นไปทั่วห้อง
ทำเอาโรงแรมจงโจวเหมือนกำลังสั่นสะเทือนเลย
หวงจงโกรธจนตัวสั่น แต่ก็ไม่ได้ระเบิดออกมา
แกนนำที่เป็นองค์กรที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหวง ได้ทำให้เจียงผิงกลายเป็นปึกแผ่นขึ้นมา
พวกผู้นำตระกูลที่สนับสนุนตระกูลหวงก็ถูกฆ่าไปหมดแล้ว ยังจะมีใครกล้าเข้าข้างตระกูลหวงอีกล่ะ?
เมิ่งหงเย่กับหนิงจี้หยวน กำลังรู้สึกปวดใจ
ตระกูลหวงที่ยิ่งใหญ่ได้จากไปแล้ว จากการเลือกข้างของพวกเขา เกรงว่าจากนี้ กิจการของตระกูลเมิ่งกับตระกูลหนิงก็ต้องพบกับการล่มสลายภายในวันเดียวเหมือนกัน
“เยี่ยม เยี่ยมมาก!”
สายตาที่เคร่งขรึมของหวงจงมองไปรอบๆ แล้วพูดพร้อมกัดฟันแน่นว่า “ฉันได้จดจำใบหน้าของพวกแกเอาไว้แล้ว! หวังว่าพวกแกจะไม่เสียใจภายหลังนะ!”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น แล้วหันมามองหน้าหยางเฉิน จากนั้นก็มองไปที่ฉือเจียง “อยากให้ตระกูลหวงของฉันวางมือจากการแย่งชิงเจียงผิงนั้นได้! แต่ว่า ฉันต้องการชีวิตของคนคนหนึ่ง!”
ฉือเจียงยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ “คุณคิดว่า ตอนนี้ คุณยังมีสิทธิ์ที่จะมาต่อรองกับผมอีกอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉือเจียง ต่อให้เป็นกระต่ายถ้ามันถูกบีบเข้ามากๆ มันก็โกรธจนกัดคนได้เหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวงจงคนนี้เลยฉันไม่ใช่กระต่าย ถ้าถูกบีบจนโกรธขึ้นมาจริงๆ อย่างมากก็แค่สู้จนตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น!” หวงจงหรี่ตาพูด
ฉือเจียงหรี่ตาลง แต่ครั้งนี้กลับไม่พูดอะไรออกมา
ถึงตอนนี้สมาคมบูโดจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่ แต่บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหวงจงก็แกร่งมาก
เมื่อกี้ท้าวจตุมหาราชาร่วมมือกัน ก็ยังฆ่าเขาไม่ได้ แค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าต้องสู้กันขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าบอดี้การ์ดของหวงจง อาจจะทำให้ต้องเสียผู้แข็งแกร่งของสมาคมบูโดไปหลายคนจริงๆ
“คุณต้องการชีวิตของงใคร?” ฉือเจียงได้ถามออกมา
เห็นได้ชัดว่าคำพูดคำนี้ของเขา ได้เป็นการรับข้อเสนอของหวงจงที่ต้องการชีวิตของใครสักคนไปแล้ว
ดวงตาทั้งสองของหวงจง ได้จ้องไปที่หยางเฉินทันที “ไอ้หนู แกไสหัวออกมารับความตายได้แล้ว!”
ทันใดนั้น สายตาของทุกคน ต่างก็จ้องไปที่หยางเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกคนถึงดึงสติกลับมาได้ว่า ก่อนที่สมาคมบูโดจะออกโรง เป้าหมายของหวงจง ก็คือตัวของหยางเฉินนั่นเอง
ในตอนนี้ หยางเฉินได้นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น ในมือยังถือถ้วยชาพอร์ซเลนสีขาวอยู่ด้วย
“หวงจง นี่คุณคิดว่าเจียงผิงของผมนั้นไม่มีใครแล้วใช่มั้ย?”
ก่อนที่หยางเฉินจะได้พูด น้ำเสียงที่เย็นชาก็ได้ดังขึ้น
“ถ้าต้องการเข้าใจปัญหา ก็ต้องไปดูที่ต้นตอ หยางเฉินมันฆ่าลูกชายของฉัน วันนี้มันก็ต้องตาย!”
หวงจงได้พูดออกมา “กะอีแค่ตระกูลหาน ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้ามายุ่งเรื่องตระกูลหวงของฉันหรอก!”
หานเซี่ยวเทียนขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็โบกมือ “คุ้มกันคุณหยาง!”
หลังจากที่คำพูดของเขาสิ้นสุดลง นักสู้ของตระกูลหานเป็นสิบคน ก็เข้ามายืนขวางอยู่ด้านหน้าของหยางเฉิน
“หานเซี่ยวเทียน นี่แก!” หวงจงพูดด้วยความโมโห
สมาคมบูโดบังคับให้เขาต้องก้มหน้า ก็ช่างมันไป ตอนนี้แม้แต่ตระกูลหานก็ยังกล้ามาข่มขู่เขา แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าในใจของหวงจงตอนนี้ มันโกรธมากแค่ไหน
“ในเจียงผิง ไม่มีเรื่องไหนที่หานเซี่ยวเทียนคนนี้ไม่กล้าทำ!”
หานเซี่ยวเทียนพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณหยางเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลหาน ใครก็ตาม ที่กล้าทำร้ายคุณหยาง มันก็คือศัตรูของตระกูลหาน!”
หลังจากที่เข้าใจว่าหยางเฉินเป็นรักษาดินแดนเหนือแล้ว ในใจของหานเซี่ยวเทียนก็มีแต่ความนับถือในตัวของหยางเฉินเท่านั้น ในตอนนี้ แม้แต่สรรพนามที่เรียก “หยางเฉิน” ก็ยังเปลี่ยนเป็น “คุณหยาง” เลย
ที่ชายแดนเหนือ จอมพลนั้นเป็นดั่งเทพที่อยู่ในใจของทุกคน เป็นพลังอำนาจที่ห้ามลบหลู่
ต่อให้หานเซี่ยนเทียนจะจากชายแดนเหนือมานานแล้ว แต่ในใจของเขานั้น ตัวเขาก็คือคนของชายแดนเหนือตลอดไป
“เจียงผิง ไม่ใช่ที่ที่แกจะมาก่อเรื่องตามใจชอบ ใครกล้าทำร้ายคุณหยาง มันก็คือศัตรูของตระกูลกวน! พาคนของแกไสหัวไปซะ!”
ทันใดนั้น กวนเจิ้งซานก็ก้าวออกมา แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เกรงกลัวเหมือนกัน
หวงจงสีหน้าเคร่งขรึมจนน้ำแทบจะไหลออกมาได้แล้ว ตระกูลหานกับตระกูลกวนก้าวออกมาขับไล่เขาต่อหน้าทุกคนอย่างต่อเนื่อง นี่มันถือเป็นความด่างพร้อยในชีวิตของเขาเลย
“ใครที่กล้าทำร้ายคุณหยาง มันก็คือศัตรูของตระกูลเฉิน! ตระกูลหวง ไสหัวออกจากเจียงผิงไปซะ!”
ทางด้านของเมือโจวเฉิง เฉินซิงไห่ก็ได้ก้าวออกมาเหมือนกัน เสียงดังราวกับฟ้าผ่า
“ใครที่กล้าทำร้ายคุณหยาง มันก็คือศัตรูของตระกูลซู! ตระกูลหวง ไสหัวออกจากเจียงผิงไปซะ!”
หนึ่งในสี่พรรคแห่งเมืองเจียงโจว ซูเฉิงอู่ก็พูดออกมาเหมือนกัน
ผู้คนของตระกูลอื่นๆ ต่างก็ยืนแข็งอยู่กับที่ จ้องมองไปยังชายหนุ่มที่ไม่มีการตอบสนองใดตั้งแต่ต้น นั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างสงบ แถมยังถือถ้วยชาพอร์ซเลนสีขาวไว้ในมือด้วยความตกใจ
ผู้นำตระกูลระดับสูงสี่คนได้เรียกเขาด้วยความเคารพว่าคุณหยางอย่างต่อเนื่อง แถมยังทำการขับไล่ตระกูลหวงต่อหน้าทุกคนเพื่อเขาอีกด้วย
หวงจงนั้นมาจากตระกูลหวงที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลแห่งเย็นตู เป็นถึงว่าที่ผู้นำตระกูลของตระกูลหวง ฐานะนั้นสูงส่งแค่ไหน?
ไม่ต้องพูดถึงสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเอกหรอก ต่อให้เป็นตระกูลเศรษฐีของเมืองเยนตูบางตระกูล ก็ยังไม่กล้าพูดแบบนี้กับคนของตระกูลหวงเลย
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กำลังถูกขับไล่อยู่ในตอนนี้ ยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลหวงด้วย
ชายหนุ่มคนนี้ เป็นแค่คนรุ่นหลังของตระกูลอวี๋เหวินจริงๆ เหรอ
ตอนนี้แววตาของหัวหน้าสาขาฉือเจียงแห่งสมาคมบูโดสาขาเจียงผิง ก็ดูจริงจังขึ้นมาเหมือนกัน
ชายที่ทำให้ผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ออกมาต่อว่าหวงจงได้ ต้องไม่ใช่คนที่ธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ภายในห้องสัมมนา ได้เงียบไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศอึดอัดจนทำให้รู้สึกหายใจไม่คล่อง
หวงจงยืนอยู่ตรงนั้น จะไปก็ไม่ใช่ จะสั่งให้บอดี้การ์ดของเขาลงมือก็ไม่ใช่ นี่มันถือเป็นความอัปยศสูงสุดในชีวิตของเขาเลย
ส่วนหยางเฉิน กลับทำเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น แถมยังกำลังจิบชาอยู่ด้วย
“กลุ่มเมฆใต้ตาที่วุ่นวาย บางทีกวางมันก็มาพร้อมกับหมู่เมฆ ทั้งชีวิตไม่เคยคิดที่จะเอามันมาครอบครอง ดื่มด่ำกับน้ำในภูเขาเพียงแก้วเดียว” (ไม่มั่นใจว่าแปลตรงมั้ย แต่ทั้งหมดนี้น่าจะสื่อถึงชีวิตที่ไม่ต้องการไขว่คว้าอะไร แค่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายก็พอแล้ว)
หยางเฉินยกชาหลงจิ่งแห่งซีหูที่ชงเสร็จแล้วขึ้นมาจิบเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคลิบเคลิ้มว่า “ชานั้นเป็นชาดีแต่ บรรยากาศที่อยู่ตรงหน้ามันไม่เหมาะกับการชิมชาเลย แต่มัน……” เขาดื่มชาที่อยู่ในแก้วหมดในทีเดียว แล้วค่อยๆ พูดออกมาสองพยางค์ว่า “สังหาร!”
ทันทีที่เขาพูดสองพยางค์นั้นออกมา ก็มีสายลมที่บ้าคลั่งเกิดขึ้นที่นอกหน้าต่าง ทำให้อุณหภูมิในห้องสัมมนาลดต่ำลงอย่างมาก
บอดี้การ์ดที่ข้างกายหวงจง เหมือนรับรู้ได้ถึงความอันตรายที่รุนแรง เขาขยับขาเล็กน้อย แล้วเอาหวงจงไปปกป้องอยู่ด้านหลัง
ส่วนฉือเจียงแห่งสมาคมบูโดนั้น ตอนนี้ก็ได้สะดุ้งขึ้นมาทีหนึ่ง สายตาที่มองไปยังหยางฉินก็จริงจังอย่างมาก
บางทีคนทั่วๆ ไป อาจรู้สึกว่าสภาพอากาศได้เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเท่านั้น
แต่กับผู้แข็งแกร่งระดับบอดี้การ์ดของหวงจงกับฉือเจียงนั้น กลับสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านี่คือจิตสังหารที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวของผู้แข็งแกร่ง
“คุณบอกว่า จะเอาชีวิตของผมสินะ?”
หย่างเฉินทำหน้าสนุกสนาน และถามไปอย่างล้อเลียน