The king of War - บทที่ 434 เพราะอำนาจ
ฉินซีบดริมฝีปากแน่น น้ำตาคลอระยิบระยับ
เมื่อพูดถึงโจวยู่ชุ่ยก็ทำให้เธอนึกถึงความเศร้าในอดีต
แต่หยางเฉินจำต้องพูดถึงโจวยู่ชุ่ย เพราะเขาไม่เห็นความเป็นแม่ในตัวเย่ม่านเลย ทั้งยังคิดจะใช้ลูกสาวที่ถูกเธอทิ้งมายี่สิบกว่าปีเพื่อผลประโยชน์อีก
หากฉินซีรับไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรหยางเฉินก็จะหาทางขัดขวางไม่ให้เธอได้พบเย่ม่าน
“ไม่ว่ายังไงฉันก็อยากถามซึ่งหน้า ว่าทำไมพวกเขาถึงทิ้งฉัน”
ผ่านไปนาน ฉินซีถึงพูดขึ้นด้วยสายตาที่แน่วแน่
ส่วนหยางเฉินก็แอบถอดถอนใจ
“หยางเฉิน คุณรู้อะไรมาใช่ไหมคะ?”
เธอรู้สึกได้ว่าหยางเฉินไม่อยากให้เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ของเธอ ดังนั้นฉินซีจึงถามด้วยความสงสัย
“ที่จริง…ผู้หญิงคนนั้น…ก็คือแม่ของคุณนั่นแหละ!”
หยางเฉินเอ่ยปาก
เปรี้ยง!
คำพูดของหยางเฉินราวกับสายฟ้าฟาดผ่ามาที่ฉินซี ทำให้เธอตกตะลึงไปชั่วขณะ
ฉินซีรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงที่หยางเฉินพูดถือคือใคร
ในเมื่อฉินซีเลือกจะเผชิญหน้า หยางเฉินจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก บอกให้เธอรู้ไว้ก่อนจะได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า
“ที่แท้…เธอก็คือแม่ของฉันเหรอคะ?!”
“มิน่าล่ะ เธอถึงอยากลงทุนกับซานเหอกรุ๊ป”
“มิน่าล่ะ สายตาที่เธอมองฉันถึงแปลกๆ”
ฉินซีพูดพึมพำ ดวงตาแดงก่ำมีความโศกเศร้าอยู่เต็มเปี่ยม
ความเข้มแข็งของเธออยู่เหนือความคาดการณ์ของหยางเฉิน
แต่หยางเฉินก็ไม่ได้บอกเรื่องเกี่ยวกับเย่ม่านไปมากกว่านี้ เกรงว่าเธอจะรับไม่ได้
บอกเธอเล็กน้อยก่อน ที่เหลือค่อยให้เธอค่อยๆ ศึกษาเองแล้วกัน
ไม่ว่าอย่างไรหยางเฉินก็ปกป้องเธอได้ หากเย่ม่านกล้าใช้เธอทำอะไรจริง หยางเฉินต้องไม่ปล่อยเธอไปอยู่แล้ว
ไม่นานก็ถึงโรงเรียนอนุบาลหลานเทียนรับลูกสาว และนี่ถึงทำให้ฉินซีสงบสติอารมณ์ได้มาก
สองสามีภรรยาเงียบงันตลอดทาง เสี้ยวเสี้ยวราวกับนกน้อยที่ออกจากรัง พูดเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด
“หยางเฉิน ฉันคิดว่าจะไปพบเธอค่ะ!”
พอกลับถึงบ้านแล้วฉินซีก็พูดขึ้นกะทันหัน ราวกับกำลังขอความเห็นจากหยางเฉิน
หยางเฉินพยักหน้า “ได้ครับ!”
ในเมื่อฉินซีอยากเจอเย่ม่าน เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ อย่างไรก็บอกเธอไม่ได้ว่าเย่ม่านคิดจะแยกพวกเขาออกจากกันมั้ง?
ถ้าทำอย่างนั้นก็มีแต่จะทำให้ฉินซีเสียใจมากขึ้น
ในเมื่อเย่ม่านมีจุดประสงค์จะให้ฉินซีรู้จักกับราชาเจียงผิงตั้งแต่ต้น และเขาก็คือราชาคนนั้น ดังนั้นขอแค่เย่ม่านดีกับฉินซีด้วยความจริงใจ เพื่อฉินซีแล้วเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
“คุณจะไปเป็นเพื่อนฉันไหมคะ?”
ฉินซีลังเล ถามด้วยความคาดหวัง
หยางเฉินต้องไม่ปฏิเสธเธออยู่แล้ว และที่บ้านมีฉินต้าหย่งกับฉินยีดูแลเสี้ยวเสี้ยวอยู่พอดี
โฟล์คเภาตันสีดำวิ่งฉิว ครึ่งชั่วโมงให้หลังก็ถึงร้านอาหารเป่ยหยวนชุน
เย่ม่านนั่งอยู่ในห้องVIP แล้ว และเหลียงเหลียนก็ยืนอยู่ข้างๆ เธอ
โต๊ะอาหารในห้องVIP จัดวางอาหารไว้เต็มโต๊ะแล้ว
“ประธานฉิน คุณมาแล้วเหรอคะ”
เมื่อเห็นฉินซี เย่ม่านก็ตื่นเต้นเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืน
อย่างเห็นได้ชัด เธอยังไม่รู้ว่าหยางเฉินได้บอกเรื่องที่เธอเป็นแม่แท้ๆ ของฉินซีให้รู้แล้ว
“คุณหยาง คุณก็นั่งด้วยสิคะ”
เย่ม่านเป็นมิตรมาก ราวกับจำเรื่องที่เกิดขึ้นตรงปากประตูเยี่ยนเฉินกรุ๊ปกับหยางเฉินไม่ได้แล้ว
ทว่าหยางเฉินก็ไม่สนใจกับการกระทำอย่างนี้ของเธออยู่แล้ว
“ทำไมตอนนั้นพวกคุณถึงทิ้งฉันคะ?”
ฉินซีไม่ได้นั่งแต่ยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหาร จ้องเย่ม่านเขม็งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เมื่อได้ยินดังนั้นเย่ม่านก็ตะลึงงัน
เธออยากบอกเรื่องที่เธอเป็นแม่กับฉินซี แต่คิดไม่ถึงว่าหยางเฉินจะบอกเธอแล้ว
“เธอรู้แล้วเหรอ?!”
เย่ม่านระทึกใจเล็กน้อย ดวงตาเริ่มแดง
อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ถึงจะไม่ได้เจอกันนานยี่สิบกว่าปี แต่สายใยที่มาจากสายเลือดก็ยังทำให้เธอกลั้นน้ำตาไม่ได้
เมื่อเห็นเย่ม่านน้ำตาไหล ฉินซีก็ไม่อยากกลั้นน้ำตาตัวเองได้อีก น้ำตาร่วงพราวนองหน้า
“ฉันแค่อยากรู้ ว่ายี่สิบกว่าปีก่อนทำไมพวกคุณถึงทิ้งฉัน?”
ฉินซีปล่อยให้น้ำตาเปื้อนหน้า ถามซ้ำอีกครั้ง
ตั้งแต่รู้ว่าตนไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของฉินต้าหย่งกับโจวยู่ชุ่ย เรื่องนี้ก็ราวกับเข็มปักอกเธอมาตลอด
โดยเฉพาะทุกการกระทำของโจวยู่ชุ่ย ยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดเหลือแสน
หากไม่ใช่เพราะฉินต้าหย่งปฏิบัติกับเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ และข้างตัวยังมีหยางเฉิน เสี้ยวเสี้ยว และน้องสาวที่รู้ใจเธออย่างฉินยีแล้ว
เธอก็ไม่รู้ว่าตอนที่รู้ความจริงเธอจะทนต่อได้อยู่ไหม
เรื่องที่พ่อแม่บังเกิดเกล้าทิ้งเธอกลายเป็นความฝังใจของเธอมานานแล้ว
เธอเองก็หาข้อเหตุผลให้พ่อแม่มานับครั้งไม่ถ้วน…เหตุผลที่จำต้องทอดทิ้งเธอ
การไต่ถามของฉินซีทำให้เย่ม่านนิ่งงันไปชั่วขณะ แววตาเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความเจ็บปวด
หยางเฉินเห็นหลายสิ่งจากใบหน้าเธอ
และเป็นความจริงที่โหดร้าย!
“เธอรู้แค่ว่าเธอเป็นลูกสาวของฉันเย่ม่านก็พอ ฉันรักเธอมาก! และเธอก็เป็นผู้สืบทอดแมมบ้าแดงกรุ๊ปเพียงคนเดียวเท่านั้น!”
ทันใดนั้นเย่ม่านก็พูดขึ้นด้วยจิตใจที่กระวนกระวาย ไม่อยากตอบคำถามของฉินซี
“ทำไมต้องทิ้งฉัน?”
ฉินซีผิดหวังมาก แต่แววตายังคงแน่วแน่
ไม่ว่าเย่ม่านจะพูดดีอย่างไร เธอก็อยากรู้แต่ความจริงเท่านั้น ความจริงที่พ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้งเธอ
“เพราะอำนาจ!”
ตอนนี้เอง ประตูห้องVIP ก็ถูกคนผลักเข้ามา ร่างงอนงามกรีดกรายเข้ามาในห้อง
“เย่เสี่ยวเตี๋ย!”
เมื่อเห็นคนที่มาแล้ว เย่ม่านก็หน้าถอดสีทันที แทบกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่าย
สายตาหยางเฉินทอดไปที่เย่เสี่ยวเตี๋ย เธอเป็นสาวสวยคนหนึ่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าคร่าตา
เส้นผมดำยาวของเย่เสี่ยวเตี๋ยทิ้งตัวถึงช่วงเอว สวมกระโปรงยาวสีครีม รัดเรือนร่างโค้งเว้าแน่น ประดุจนางฟ้าที่เดินออกมาจากภาพวาด
แต่ที่ทำให้หยางเฉินตกใจ ก็คือท่าทางของสาวคนนี้กลับแผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ออกจากมาตัวได้ไม่แพ้ฉินซี
“เย่เสี่ยวเตี๋ย! เธออย่ามาพูดพล่อยๆ นะ!”
เย่ม่านรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ใบหน้าตื่นตระหนก
“จริงสิ ฉันขอแนะนำตัวเองก่อน ฉันชื่อเย่เสี่ยวเตี๋ย นับแล้วฉันก็ควรเรียกเธอว่าพี่!”
เย่เสี่ยวเตี๋ยเดินมาอย่างตรงหน้าฉินซีอย่างอาจหาญ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาทางฉินซีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินซีไม่ได้ยื่นมือออกไป แต่มองอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวังเท่านั้น
ไม่รู้เพราะเหตุใด เธอถึงรู้สึกถึงความน่าเกรงขามได้จากตัวของเย่เสี่ยวเตี๋ย แบบที่ทรงพลังแรงกล้า
“ที่เธอพูดเมื่อกี้ หมายความว่ายังไง?”
สายตาฉินซีจดจ้องอยู่กับเย่เสี่ยวเตี๋ย ท่วงท่าไม่ด้อยไปกว่าผู้หญิงของตน
เย่เสี่ยวเตี๋ยยิ้มบาง จากนั้นก็มองไปทางเย่ม่าน พูดพลางยิ้ม “คุณป้า หรือไม่ควรบอกความจริงกับพี่ด้วยตัวเองหน่อยเหรอคะ?”
“นี่มันเรื่องครอบครัวฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอ เธอออกไปได้แล้ว!”
น้ำเสียงเย่ม่านราวกับออกคำสั่ง มองเย่เสี่ยวเตี๋ยด้วยความเย็นชา