The king of War - บทที่ 46 ความเศร้าโศกของตระกูลสง
“รับทราบ ท่านประธาน! ”
ลั่วปิงตอบรับติดๆ กัน ต่อจากนั้นก็ถามขึ้น “คุณยังมีเรื่องอื่นที่จะสั่งการอีกไหม? ”
“ใช่แล้ว ยังมีตระกูลสง ปล่อยพวกเขาไปก่อนชั่วคราว แต่ว่าการลงโทษที่ควรมี ก็ยังต้องมี” หยางเฉินก็คิดขึ้นได้ถึงก่อนหน้านี้ที่เคยสัญญากับฉินซีไว้ ว่าจะปล่อยตระกูลสงไป
วางสายโทรศัพท์แล้ว หยางเฉินก็สตาร์ทรถจากไป
หลังจากที่สงโป๋เฉิงออกจากฉินซื่อกรุ๊ปไป ก็หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง “ก็แค่ลูกเขยไร้ประโยชน์ของตระกูลปลายแถวคนหนึ่งเท่าหนึ่ง คิดว่าตัวเองเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจริงๆ หรือไง? ถ้าไม่ใช่เพื่อเอาวิกฤตครั้งนี้ไปนับรวมไว้บนหัวสงโป๋เหริน ฉันจะขอโทษนายหรือ? ”
เขาพูดออกมา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกไปสายหนึ่ง “เฮียข่าย ฉันมีเรื่องหนึ่ง อยากจะรบกวนเฮียสักหน่อย! ”
“เพื่อที่จะปลดล็อกสถานบันเทิงของตระกูลสง? ” เห็นได้ชัดว่าเฮียข่ายรับสถานการณ์ของตระกูลสง
สงโป๋เฉิงรีบเอ่ยตอบ “เฮียข่าย ในเมื่อเฮียรู้แล้ว เช่นนั้นฉันก็ไม่อ้อมค้อมแล้ว ช่วยฉันสักครั้ง รอให้ฉันได้นั่งบนตำแหน่งผู้นำแล้ว เฮียกับฉันพวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสี่ตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจว ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก? ”
อยู่ต่อหน้าเฮียข่าย สงโป๋เฉิงไม่ได้ปิดบังความทะเยอทะยานของเขาแม้แต่น้อย
เฮียข่ายถอนหายใจ “โป๋เฉิง ไม่ใช่ว่าเฮียข่ายไม่เต็มใจจะช่วยนาย แต่ว่าครั้งนี้ ตระกูลสงไปยั่วโมโหคนใหญ่คนโตเข้าจริงๆแล้ว ไม่ปิดบังนาย ฉันได้ช่วยนายหาเส้นสายตั้งนานแล้ว เดิมทียังมีคนตอบรับฉันอยู่ แต่พอฉันเอ่ยถึงเรื่องของตระกูลสงขึ้นมา ก็ไล่ฉันออกมาทันที ฉันนั้นมีใจช่วยแต่ช่วยไม่ได้น่ะสิ! ”
“อะไรนะ? ” สงโป๋เฉิงใบหน้าตกตะลึง “แม้แต่เฮียข่าย ก็ไม่มีวิธีจัดการหรือ? ”
มาจนถึงตอนนี้ สงโป๋เฉิงถึงตระหนักได้ ครั้งนี้ ตระกูลสงเตะแผ่นเหล็กเข้าจริงๆแล้ว เพียงแต่ว่าเขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตระกูลสงแท้จริงแล้วล่วงเกินคนใหญ่คนโตอะไรไป ถึงขนาดที่เฮียข่ายออกหน้าก็ยังจัดการแก้ไขไม่ได้
ส่วนหยางเฉินที่เขาเพิ่งจะไปเจอมา ก็ถูกเขาละเลยไปเสียแล้ว
บ้านตระกูลสง สายตรงทั้งหมดล้วนอยู่พร้อม
สงชิงซานนั่งอยู่ในตำแหน่งบนสุด ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ก็เป็นในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของเขาพลันดังขึ้น
เขารีบรับสาย ก็ได้ยินข่าวหนึ่งถ่ายทอดออกมา “ท่านหัวหน้าตระกูล นอกจากแมนชั่นอีเห้า ยังมีบริษัทการบันเทิงโป๋เหรินที่ถูกปิดถาวร สถานที่อื่นๆ ของตระกูลสง ทั้งหมดล้วนปลดล็อก”
“ท่านผู้นำตระกูล เป็นอย่างไรบ้าง? วิกฤตของตระกูลสงคลี่คลายแล้วหรือ? ”
รอจนสงชิงซานวางสายโทรศัพท์แล้ว สายตรงทั้งหมดต่างถามเขาด้วยสีหน้าเฝ้ารอ
สงชิงซานที่ใบหน้าบึ้งตึงมาตลอด ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “ครั้งนี้โป๋เฉิง ไม่ทำให้ฉันผิดหวัง! ”
“ฮ่าๆ เยี่ยมเลย! ในที่สุดตระกูลสงก็มีทางรอดแล้ว”
“ยังคงเป็นโป๋เฉิงที่ร้ายกาจ ไม่มีเรื่องที่เขาจัดการไม่ได้”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว โป๋เฉิงนั้นเป็นผู้สืบทอดที่ผู้นำกำหนดไว้แล้ว”
……
ทุกคนต่างแซ่ซ้องขึ้นมา ล้วนแต่เป็นการชื่นชมต่อสงโป๋เฉิง
ในดวงตาของสงชิงซานมีความกลัดกลุ้มแวบผ่าน คนอื่นไม่ชัดเจน แต่เขากลับเข้าใจลูกชายคนนี้ชัดแจ้งยิ่งนัก
ถ้าไม่ใช่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้สงโป๋เฉิงต่อหน้าสาธารณะ เกรงว่าสงโป๋เหรินคงหายไปจากบนโลกใบนี้นานแล้ว
ในใจของเขามีความลับหนึ่งมาโดยตลอด นอกจากเขาแล้ว ไม่มีคนอื่นรู้อีก ที่จริงแล้วสงโป๋เฉิงไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเขา แต่เป็นตอนที่ภรรยาของเขายังสาว ได้สวมหมวกเขียวให้เขา
ปีนั้นถ้าไม่ใช่เพื่อหน้าตาของวงศ์ตระกูล เขาคงฆ่าหญิงแพศยาคนนี้ไปนานแล้ว
แล้วก็เป็นตอนที่สงชิงซานความคิดล่องลอยนี้เอง สงโป๋เฉิงก็กลับมาแล้ว
“โป๋เฉิง ไม่เสียทีที่นายเป็นผู้สืบทอดที่ผู้นำกำหนดไว้ ถ้าไม่ใช่นาย ตระกูลสงก็จบเห่แล้ว! ”
“ใช่แล้ว โป๋เฉิง ฉันเป็นตัวแทนของพวกเราทั้งครอบครัว แสดงความซาบซึ้งต่อนาย”
“โป๋เฉิง นายเป็นทายาทรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตระกูลสง ต่อไปนายจะต้องนำพาตระกูลสงก้าวไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นแน่นอน”
……
สงโป๋เฉิงเพิ่งจะเข้าประตูมา สายตรงทั้งหมดก็รุมล้อมเขา
ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของทุกคน ในใจเต็มไปด้วยความตะลึง เขาไปหาผู้คนมากมาย ก็ล้วนไม่มีวิธีช่วยเหลือตระกูลได้ ทำไมวิกฤตอยู่ดีๆ ถึงได้คลี่คลายเสียแล้ว?
ถึงแม้ว่าในใจจะงุนงงสงสัย แต่ว่าภายนอกของเขายังคงเป็นรอยยิ้มที่สุภาพ “ทุกคนเกรงใจไปแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูล เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ฉันควรทำ”
ในเวลานี้สงชิงซานก็เดินเข้ามา ตบไหล่สงโป๋เฉิงหนักๆ สองสามครั้ง “ทำได้ไม่เลว ถึงแม้ว่าฉันจะตายไป ก็ตายตาหลับแล้ว”
ภายนอก สงชิงซานปฏิบัติต่อลูกชายคนนี้ ก็ยังคงต้องแสดงออกถึงความเมตตาที่สมควรมี
สงโป๋เฉิงรีบเอ่ยตอบ “คุณพ่อ ดูคุณพ่อพูดสิ คุณพ่อจะต้องอายุยืนร้อยปีแน่”
“เอาล่ะ ในเมื่อวิกฤตคลี่คลายแล้ว ทุกคนก็อดนอนกันมาทั้งคืนแล้ว เอางานในมือมอบหมายลงไป ทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ! ” สงชิงซานโบกมือเอ่ยขึ้น
คนอื่นๆ ต่างจากไปแล้ว สงชิงซานพลันถามขึ้น “โป๋เหรินทำไมไม่กลับมาพร้อมกับนายด้วย? ”
ในดวงตาของสงโป๋เฉิงปรากฏแววเหี้ยมโหดอยู่ลึกๆ เอ่ยปากว่า “โป๋เหรินอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไปหาคุณหยางเพื่อขอโทษเสร็จ ผมก็พาเขาไปส่งที่โรงพยาบาลแล้ว”
“ดี เช่นนั้นฉันก็วางใจแล้ว” สงชิงซานนั้นไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของสงโป๋เฉิงเลยสักนิด หมุนกายกลับห้องไป
“ไอ้แก่ คิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ? ฉันอยากจะดูนัก รอให้ลูกชายคนเดียวและหลานชายของแกตายแล้ว แกยังคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกับฉันอีก? ”
เห็นสงชิงซานจากไป สายตาของสงโป๋เฉิงเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า คำพูดหลุดออกมา เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรออกไปสายหนึ่ง “สงเหว่ยกับสงโป๋เหรินสามารถหายไปได้แล้ว แต่ว่าจะต้องตายที่โรงพยาบาล”
สงโป๋เฉิงก็ไม่คิดจะลงมือเร็วขนาดนี้ แต่ว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่เหมาะที่สุด
เขาพึมพำกับตัวเอง “สงเหว่ยร่างกายเดิมก็บาดเจ็บหนัก ตายไปก็อธิบายได้ง่าย แต่ว่าการตายของสงโป๋เหริน จำเป็นต้องคิดวิธีดีๆ สักวิธี”
ในไม่ช้า เขาก็คิดออกว่าจะทำอย่างไร มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อแกชอบแสร้งเป็นคนใหญ่คนโตขนาดนี้ ความผิดนี้ ก็แบกรับโดยแกแล้ว”
ไม่นาน ข่าวที่น่าตกใจข่าวหนึ่งก็เปิดเผยออกมาจากตระกูลสง “หลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลสงทั้งสามรุ่น บาดแผลติดเชื้อซ้ำ รักษาไม่หายแล้วเสียชีวิต ส่วนพ่อของเขาสงโป๋เหริน เมื่อหลังจากรู้ข่าว อารมณ์พลุ่งพล่าน คิดจะไปดูลูกชาย ไม่ระวังตกบันได ทำให้เลือดออกในสมองเป็นบริเวณกว้าง การช่วยเหลือไร้ผลและเสียชีวิต”
ตระกูลสงอย่างไรก็เป็นตระกูลอันดับต้นๆ ในเจียงโจว ข่าวนี้ในไม่ช้าก็ถ่ายทอดไปทั้งเจียงโจว
“หยางเฉิน นายได้ยินข่าวหรือยัง? สงเหว่ยและสงโป๋เหรินต่างเสียชีวิตแล้ว”
หยางเฉินกลับไม่รู้เรื่องนี้ ในตอนนี้ฉินซีเอ่ยขึ้นมา เขาก็มีสีหน้าแปลกใจ
“เธอมองฉันแบบนี้ทำไม? คงไม่ได้คิดว่าการตายของพวกเขา เป็นฉันที่ทำหรอกนะ? ” หยางเฉินถามขึ้น
ฉินซีส่ายหน้าน้อยๆ สีหน้ากังวลใจเอ่ยตอบ “ฉันไม่ได้สงสัยนาย แต่ว่าการตายของสงเหว่ยคืออาการบาดเจ็บติดเชื้อซ้ำ รักษาไม่ได้จึงเสียชีวิต ตระกูลสงจะต้องเอาเรื่องทั้งหมดนี้มานับรวมไว้บนศีรษะนายแน่ อย่างไรอาการบาดเจ็บของสงเหว่ย ก็เกิดจากนาย”
หยางเฉินหัวเราะเสียงหนึ่ง “เสี่ยวซี เธอก็วางใจเถอะ เรื่องนี้จะไม่นับรวมอยู่บนศีรษะฉันแน่นอน ถึงแม้ฉันจะจัดการสงเหว่ยไป แต่ก็ไม่ถึงชีวิต ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่นายก็ยังต้องระวังตระกูลสง”
“วางใจเถอะ ฉันจะระวัง เธอก็อย่าคิดมาก พวกเราไปรับเสี้ยวเสี้ยวกัน”
หยางเฉินสตาร์ทรถ มุ่งไปทางโรงเรียนอนุบาลหลานเทียน
ที่ฉินซีไม่ได้สังเกตก็คือ ดวงตาของหยางเฉินเผยแววคมปลาบสายหนึ่ง ในใจแอบเอ่ยว่า “ตระกูลสงเล็กๆ ถึงแม้ว่าน้ำจะลึก แต่ถึงจะลึกยิ่งกว่านี้ ก็ไม่อาจมิดข้อเท้าของฉัน ไม่เช่นนั้น ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะยกเท้าขึ้นเหยียบตระกูลฉินให้ราบ”