The king of War - บทที่ 539 เรื่องงานศพสำคัญที่สุด
สีหน้าของจินกางไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก แต่เขารู้ดี หยางเฉินทำเป็นด้อยกว่า เพื่อให้เขามีหน้ามีตา
เขาเดาตัวตนของหยางเฉินได้เกินครึ่งแล้ว
การที่บอกว่าเกินครึ่ง เพราะจินกางเดาได้เพียงว่าหยางเฉินอยู่ในกองกำลังลับของจิ่วโจว อีกทั้งในกองกำลังลับนี้เขายังมีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากด้วย
ส่วนตัวตนที่แท้จริงของหยางเฉิน เขาไม่สามารถคาดเดาได้
เพราะที่นั่น เป็นสถานที่ที่มีผู้แข็งแกร่งมากมาย เขาจึงไม่แปลกใจ ที่อายุยังน้อย แต่กลับมีพละกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้
ถ้าจะสู้กับหยางเฉินจริง สมาคมบูโดต้องเผชิญหน้ากับประเทศจิ่วโจวทั้งประเทศ
ความผิดเช่นนี้ เขาไม่สามารถแบกรับได้
“ถึงคุณหยางจะพูดถูก แต่คนของสมาคมบูโด ตายไปสามคน ถ้าปล่อยไปง่ายๆ แบบนี้ ฉันไม่รู้จะพูดกับพวกลูกน้องยังไง”
“ฉันจะสืบเรื่องต่อ ถ้าฉันพบว่าไม่เหมือนกับที่คุณหยางพูด อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
จินกางหรี่ตาลงและเอ่ยขึ้น
ดูเหมือนเป็นการข่มขู่ แท้ที่จริงเขาแค่ต้องการให้ตัวเองมีจุดยืนเท่านั้น
มีหรือที่หยางเฉินจะไม่รู้ เขายิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “งั้นหัวหน้าจินรีบไปสืบเลย ถ้าฉันมีความผิดจริง จะทำอะไรฉันก็ได้!”
“พวกเรากลับ!”
จินกางกวักมือ และพาคนออกไป
เมื่อคนของสมาคมบูโดกลับไป คนตระกูลเย่ตั้งสติได้ และพูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “คนของสมาคมบูโดไปแล้วจริงเหรอ”
“ฮ่าๆ! ตระกูลเย่รอดแล้ว!”
“เพราะคุณความดีของคุณหยาง ขอบพระคุณที่คุณหยางช่วยตระกูลเย่!”
“ขอบพระคุณที่คุณหยางช่วยตระกูลเย่!”
……
จู่ๆ คนในตระกูลเย่ ต่างพากันตะโกน ด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
สำหรับพวกเขา การที่ผู้แข็งแกร่งของสมาคมบูโด มาพร้อมกันแบบนี้ แต่กลับไปโดยไม่ทำอะไรเลย นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก
ภายในคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลเย่ ชายชราคนหนึ่ง ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงหน้าต่าง สายตาของเขามองไปตรงที่คนตระกูลเย่รวมตัวกัน ในแววตาของเขาแฝงไปด้วยความปลื้มใจ
“คุณปู่ อากาศหนาวแล้ว ต้องดูแลสุขภาพนะคะ!”
ขณะนั้น มีหญิงสาวรูปงาม เดินเข้ามา เธอเอาเสื้อตัวนอก คลุมไว้บนตัวเย่จี้จง
“เสี่ยวเตี๋ย ปู่ทำผิดจริงๆ ใช่ไหม”
จู่ๆ เย่จี้จงหันกลับมา น้ำตารื้นตรงขอบตาและเอ่ยถามเสี่ยวเตี๋ย
สีหน้าของเย่เสี่ยวเตี๋ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอดูหวาดกลัว หลังจากที่ลังเลครู่หนึ่ง เธอสะกดกลั้นความกลัว และพยักหน้า “คุณปู่ทำผิดแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือดูถูกหยางเฉิน”
เมื่อได้ยิน เย่จี้จงยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่! ฉันดูถูกเขาจริง แต่ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนี้ ก็ไม่มีใครเชื่อ ว่าคนอายุยี่สิบกว่าปี จะสามารถทำให้คนอย่างจินกาง แห่งสมาคมบูโดยอมถอยได้”
พูดจบ เหมือนเย่จี้จงนึกอะไรได้ เขาถามขึ้นว่า “เสี่ยวเตี๋ย เธอรู้เรื่องของหยางเฉินใช่หรือเปล่า”
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เล่นงานหยางเฉินก่อนหน้านี้ เย่เสี่ยวเตี๋ยเคยขัดขวางสุดชีวิต และเคยบอกเย่จี้จง ว่าหยางเฉิน คือผู้แข็งแกร่งที่มีพละกำลังน่ากลัว ถ้าล่วงเกินเขา ตระกูลเย่จะไม่สามารถฟิ้นกลับคืนมาได้อีก
แต่ว่า เย่จี้จงไม่สนใจคำพูดนี้
เมื่อเห็นสีหน้ารอคอยของเย่จี้จง เย่เสี่ยวเตี๋ยใจอ่อน และพยักหน้าเบาๆ เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะ เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ เธอเล่าเรื่องนั้นออกมา
เมื่อเย่เสี่ยวเตี๋ย เล่าเหตุการณ์เหมือนภาพฝัน ที่เธอเจอมา เย่จี้จงเข้าใจทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ เขาเงียบอยู่นาน กว่าจะตั้งสติได้
“ที่แท้ เขาอยู่คนละโลกกับเรา คนแบบนี้ อย่าว่าแต่ตระกูลเย่เลย ถึงแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูร่วมมือกัน ก็คงทำอะไรไม่ได้”
“ครั้งนี้ ฉันตาบอดเอง ฉันผิดเอง!”
“ฉันผิดเอง!”
เย่จี้จงเงยหน้าพูดอย่างทอดถอนใจ แต่เมื่อเขาพูดจบ ก็กระอักเลือดออกมา สีหน้าของเขาซีดเผือด
“คุณปู่! คุณปู่!”
เย่เสี่ยวเตี๋ยตกใจจนน้ำตาไหล เธอตะโกนว่า “หมอ! หมอ! รีบมาดูคุณปู่เร็ว คุณปู่แย่แล้ว!”
ไม่นาน หมอประจำตระกูลเย่วิ่งเข้ามา เขารีบช่วยชีวิตเย่จี้จง
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง หมอเดินออกมาจากห้อง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขามองเหล่าญาติตระกูลเย่ ที่รีบมาตามข่าวที่แจ้งไป “ขอโทษครับ ผมพยายามสุดความสามารถแล้ว เจ้าบ้านเย่ จากเราไปแล้วครับ!”
ประโยคของหมอ คือการประกาศการเสียชีวิตของเย่จี้จง
“พ่อ!”
เย่ม่านพูดขาดห้วง ทันใดนั้น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา
พูดกันตามเหตุผล เมื่อเย่จี้จงตาย เธอควรจะมีความสุข แต่เธอกลับไม่มีความสุขสักนิด กลับกันเธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาก
ถึงเธออยากจะแค้นเย่จี้จงเพียงใด แต่เขาคือพ่อแท้ๆ ของเธอ
การตายของเย่จี้จง เรียกได้ว่าเกี่ยวข้องกับเธออย่างมาก
ขณะที่คนในตระกูลเย่กำลังโศกเศร้า หยางเฉินกับหม่าชาว ออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่แล้ว
ระหว่างทางกลับโรงแรม หม่าชาวถามอย่างสงสัย “พี่เฉิน ถึงจินกางของสมาคมบูโดแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่ แต่ทำไมพี่ถึง……”
พูดเพียงเท่านี้ หม่าชาวไม่กล้าพูดต่ออีก
“นายจะบอกว่า ทำไมฉันถึงอ่อนข้อให้เขาใช่ไหม ทำไมไม่ฆ่าเขา ถูกต้องไหม” หยางเฉินถาม
หม่าชาวพยักหน้า
“ความสามารถของจินกางอยู่ในอันดับสาม ของสมาคมบูโด นายลองคิดดูสิว่าสองอันดับแรก จะเป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหน”
“ฉันแค่ไม่อยากทำให้เรื่องใหญ่ ถ้าฆ่าจินกาง กลัวว่าจะทำให้คนรอบข้างลำบาก”
“ผู้แข็งแกร่งระดับจินกาง มีเรื่องให้ระวังเยอะ ควรจะอ่อนข้อ จะได้หลีกเลี่ยงความวุ่นวาย แบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ”
หยางเฉินยิ้มและเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น หม่าชาวหัวเราะแล้วส่ายหน้า “พี่เฉิน พี่เปลี่ยนไปแล้ว นี่ไม่เหมือนพี่สักนิด”
หยางเฉินมีสีหน้าทอดถอนใจ แววตาของเขาลุ่มลึก เขาเอ่ยออกมาช้าๆ “ฉันไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ถ้าให้เทียบกับตอนอยู่ชายแดนเหนือ มันมีเรื่องพัวพันรอบข้างมากกว่า ฉันไม่อยากให้คนบริสุทธิ์ มาติดร่างแหไปด้วย”
รถเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ตอนมาถึงโรงแรม ก็ตีหนึ่งแล้ว
หยางเฉินส่งข้อความให้ฉินซี บอกว่าเขากลับถึงโรงแรมอย่างปลอดภัย
เขาเพิ่งส่งข้อความไป ฉินซีวิดีโอคอลกลับมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าหยางเฉินไม่ได้รับบาดเจ็บ ฉินซีจึงโล่งอก
“ที่รัก นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขอบใจนะ!”
ฉินซีพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
หยางเฉินยิ้มบางๆ “คุณเป็นภรรยาผม ผมควรทำทุกอย่างเพื่อคุณ”
ทั้งสองคุยเล่นกันพักหนึ่ง จู่ๆ หยางเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เสี่ยวซี เจ้าบ้านเย่ เขาเสียชีวิตจากอาการป่วยเมื่อครู่!”
ไม่ว่ายังไง เย่จี้จงก็เป็นตาของฉินซี จำเป็นต้องบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินซีเงียบไป สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความเสียใจ
“พรุ่งนี้ คุณมาเมืองเยี่ยนตูเถอะ ถือว่ามาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
จู่ๆ หยางเฉินเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าก่อนหน้านี้เขาทำอะไรมาบ้าง ต้องจัดงานศพให้สมเกียรติ บุญคุณและความแค้นทั้งหมด ถือว่าสิ้นสุดกันเถอะนะ!”
“ได้ พรุ่งนี้เช้า ฉันจะไปเมืองเยี่ยนตู!” ฉินซีพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ