The king of War - บทที่ 564 แม่ของหยางเกะพริบตา
หยางเฉินเป็นเจ้าภาพจัดงานศพให้โจวยู่ชุ่ยด้วยตนเอง ถึงมันจะไม่ได้อลังการอะไร แต่สำหรับโจวยู่ชุ่ยมันก็ยิ่งใหญ่พอแล้ว
อาการบาดเจ็บของฉินต้าหย่ง แทบจะหายเป็นปกติแล้ว เหลือแค่ซี่โครงที่หักที่ยังไม่หายดีเท่านั้น
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่เวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ยังมีเรื่องหนึ่งที่หยางเฉินเก็บไว้ในใจตลอด
“อวี๋เหวินปิง นี่แกรู้ความลับอะไรของแม่ฉันกันแน่?”
หยางเฉินพึมพำกับตัวเอง
“ที่รักคะ คุณมีเรื่องอะไรในใจใช่มั้ยคะ?”
ในกลางดึก หลังจากที่ฉินซีกล่อมเสี้ยวเสี้ยวเข้านอนแล้ว ก็ได้มานอนหนุนในอ้อมอกของหยางเฉิน และถามออกมาเบาๆ
ช่วงที่ผ่านมา หยางเฉินมักจะใจเหม่อใจลอยอยู่บ่อยครั้ง เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรในใจอยู่
“ผมคิดถึงแม่ผมครับ”
หยางเฉินกอดผู้หญิงในอ้อมกอดไว้แน่น และบอกไปเบาๆ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินซีได้เห็นหยางเฉินแสดงด้านที่น่าหลงใหลขนาดนี้ต่อหน้าเธอ
“คุณช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ยคะ ว่าแม่เป็นคนยังไง?”
ฉินซีได้ขัดขืนอยู่ในอ้อมกอดของหยางเฉิน พอหาท่าที่สบายได้ ก็ได้ถามออกมาเบาๆ สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ของหยางเฉิน ฉินซีไม่เคยได้ยินหยางเฉินพูดถึงมาก่อนเลย ความจริงเธอนั้นสนใจเรื่องนี้มาโดยตลอด
“แม่ของผมเป็นคนที่จิตใจดีและเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมากๆ ครับ”
ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในหัวของหยางเฉิน แล้วเขาก็เริ่มเล่า
“เธอมีชื่อว่า หยางเสว่เยี่ยนเคยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดที่สุดแห่งเยี่ยนตู แต่ไม่มีใครรู้ว่า เธอมาจากที่ไหนกันแน่ และแทบจะไม่รู้อะไรที่เกี่ยวกับเธอเลย”
“จนในที่สุด คนๆนั้นก็ได้มาเจอแม่ และตกหลุมรักแม่ตั้งแต่แรกเห็น”
“ในตอนนั้น แม่ไม่รู้เลยว่าคนๆนั้นได้แต่งงานไปแล้ว และไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใครมาจากไหน”
“คนๆนั้นพยายามอยู่นานมาก จนในที่สุดก็จีบแม่จนติด”
“แต่ในตอนที่แม่ของผมรู้ว่าตัวเองตั้งท้องแล้วบอกให้คนๆนั้นแต่งงานกับเธอนั้น คนๆนั้นถึงได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับแม่ พร้อมกับความจริงที่ว่าเขาแต่งงานไปแล้ว”
“หลังจากที่แม่ได้รู้ความจริง แม่ก็ตั้งใจที่จะจากไปโดยไม่สนใจอะไร แต่ในตอนนั้นเอง ตระกูลอวี๋เหวินก็ได้แย่งชิงเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่แม่สร้างมากับมือไป!”
“แม่ที่ไม่เหลืออะไร เพื่อผมที่อยู่ในท้อง จึงจำใจต้องยอมแพ้ แล้วเข้าไปอยู่ในตระกูลอวี๋เหวิน”
“ด้วยเหตุนี้ จึงได้เข้าไปอยู่ในตระกูลอวี๋เหวินโดยไม่มีฐานะหรืออะไรเลยมานานหลายปี เป็นเวลากว่าหลายปีที่เราสองแม่ลูกต้องทนทุกข์อย่างแสนสาหัส”
“จนตอนที่ผมอายุเก้าขวบ ภรรยาของคนๆนั้น กลัวผมจะแย่งตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลของลูกชายไป จึงได้บังคับให้คนๆนั้นไล่เราสองแม่ลูกให้ออกจากตระกูลไป แถมยังใช้กำลังขับไล่เราออกจากเยี่ยนตูด้วย……”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง หลังจากที่หยางเฉินเล่าจบ ฉินซีก็น้ำตาเต็มหน้าไปนานแล้ว
“ที่รักคะ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าวัยเด็กของคุณมันจะโหดร้ายขนาดนี้ ไหนจะแม่อีก ชีวิตของแม่นี่ช่างลำบากเหลือเกิน!”
ฉินซีกอดหยางเฉินไว้แน่น และพูดไปทั้งน้ำตา
เธอหวงแหนผู้ชายคนนี้ และหวงแหนหญิงแกร่งที่ยอมทนทุกข์ทรมานเป็นเวลาหลายปีเพื่อลูกชายของตัวเอง
“การที่แม่ถูกรังแกขนาดนั้น แล้วครอบครัวทางฝั่งแม่ไม่เคยยื่นมือเข้ามาช่วยเลยเหรอคะ?”
ผ่านไปพักใหญ่ ฉินซีถึงปรับอารมณ์ได้ จึงได้ถามไปด้วยความสงสัย
หยางเฉินส่ายหน้า “ในความทรงจำของผม ไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงครอบครัวของแม่มาก่อนเลย จนวันที่แม่เสีย นอกจากผมก็ไม่มีใครเฝ้าอยู่ข้างๆ แม่เลย”
“ด้วยฐานะและตำแหน่งของคุณในตอนนี้ ไม่เคยคิดที่จะตามหาครอบครัวของแม่คุณเลยเหรอคะ?”
พอได้ยินคำพูดของฉินซี หยางเฉินก็ได้ส่ายหน้าอย่างขมขื่น “ผมเคยหาข้อมูลแล้ว แต่ก็สืบหาอะไรไม่ได้เลย บางที แม้แต่ตัวแม่เองก็อาจจะไม่รู้เรื่องของครอบครัวก็ได้?”
ด้วยฐานะและตำแหน่งของหยางเฉินในตอนนี้ ยังสืบหาข้อมูลของหยางเสว่เยี่ยนไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกจริงๆ
ฉินซีกอดหยางเฉินไว้แน่น แล้วพูดให้กำลังใจไปว่า “ถึงแม่จะจากไปแล้ว แต่คุณก็ยังมีฉันกับเสี้ยวเสี้ยว เราจะอยู่กับคุณไปตลอดชีวิตเลยค่ะ!”
หยางเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงได้กอดภรรยาของตนไว้แน่นๆ เหมือนกัน
เขาไม่ได้พูดเรื่องที่อวี๋เหวินปิงถูกพาตัวไปให้ฉินซีฟัง และไม่ได้เล่าเรื่องที่อวี๋เหวินปิงกุมความลับอย่างหนึ่งของแม่เขาไว้ให้ฉินซีฟังด้วยเหมือนกัน
ตั้งแต่ที่อวี๋เหวินปิงถูกชายชราในชุดจีนพาตัวไป หยางเฉินก็รู้สึกไม่สบายใจเลย
ชายชราคนหนึ่งที่ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ตัวตนของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้ไปอยู่ในราชวงศ์แห่งจิ่วโจว ก็คงเป็นผู้แข็งแกร่งลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดแน่นอน
จากที่เขารู้จักกับอวี๋เหวินปิงนั้น แม่ของอวี๋เหวินปิงเป็นคนของตระกูลเดอะคิงแห่งจิ่วโจว และเป็นคนสมาชิกที่ไม่ได้สำคัญอะไร นอกจากว่าอวี๋เหวินปิงจะมีประโยชน์อย่างมาก ไม่อย่างนั้นคนขอตระกูลเดอะคิงก็ไม่มีทางส่งผู้แข็งแกร่งระดับชายชราในชุดจีนมาชิงตัวอวี๋เหวินปิงไปแน่นอน
ถ้าไม่ใช่คนของตระกูลเดอะคิง แล้วจะเป็นใครได้อีก?
“เสี่ยวซี ผมว่าผมจะไปที่เยี่ยนตูสักรอบ”
จู่ๆ หยางเฉินก็พูดขึ้น
ฉินซีอึ้งไป “ไปเยี่ยนตูเหรอคะ?”
หยางเฉินพยักหน้า “เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเป็นความทรงจำในโลกนี้เพียงอย่างเดียวที่แม่ทิ้งไว้ให้ผม ผมตั้งใจที่จะขยายอิทธิพลของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปให้ไปไกลระดับโลก”
“ฉันจะไปกับคุณค่ะ!”
ฉินซีพูดออกมาทันที
หยางเฉินยังไม่ทันได้ปฏิเสธก็ได้ยินฉินซีพูดต่อว่า “ฉันเองก็มีแผนที่จะขยายกิจการของซานเหอกรุ๊ปอยู่พอดีเลยค่ะครั้งนี้ที่อยากตามคุณไปจะได้พบปะกับพวกผู้ร่วมลงทุนด้วยเลย”
พอหยางเฉินได้ยินอย่างนั้น ก็ได้แต่ต้องรับปากไป
การที่เขาไปเยี่ยนตู มันก็มีความตั้งใจที่จะขยายอิทธิพลของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปอยู่จริงๆ แต่มันก็เป็นแค่หนึ่งในเหตุผลที่เขาไปเท่านั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขาจะไปที่ตระกูลอวี๋เหวิน ไปหาคนๆนั้น
ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับแม่ เขาไม่อยากปล่อยผ่านอีกต่อไปแล้ว
สามวันหลังจากนั้น สนามบินนานาชาติเยี่ยนตู หนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เดินออกมา ซึ่งก็คือหยางเฉินกับฉินซีที่มาจากเมืองเจียงโจวนั่นเอง
“พี่เฉิน!”
ทันทีที่ทั้งสองเดินออกจากสนามบิน ก็ได้มีเสียงที่เคารพนับถือดังขึ้น
ซึ่งเจ้าของเสียงก็คือหม่าชาวนั่นเอง แต่ในครั้งนี้ ข้างกายหม่าชาวยังมีผู้หญิงหน้าตาดีที่แต่งตัวแฟชั่นมาด้วยคนหนึ่งและหญิงสาวคนนั้นก็กำลังควงแขนของหม่าชาวเอาไว้
พอเห็นท่าทางที่สนิทสนมของทั้งคู่ หยางเฉินกับฉินซีก็ทำหน้าตกใจไปตามๆ กัน
“เสี่ยวซี ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ทันใดนั้น หญิงสาวที่แต่งตัวแฟชั่นก็หรี่ตาแล้วจ้องมาที่ฉินซี พูดพร้อมกับกะพริบตาอย่างกวนๆ
“สวัสดีค่ะพี่อ้าย!”
ทันทีที่ฉินซีตั้งสติได้ ก็รีบกล่าวทักทายไปก่อน จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่อ้ายคะ พอเห็นพวกพี่หวานแหว๋วกันขนาดนี้ ฉันว่าอีกไม่นานก็คงได้รับข่าวดีแล้วมั้ง?”
อ้ายหลินพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา “เราตั้งใจว่าสิ้นปีนี้ จะจัดงานแต่งให้เรียบร้อย”
ตอนนี้ก็เดือนตุลาแล้วงั้นก็แสดงว่า ยังเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือน อ้ายหลินกับหม่าชาวก็จะแต่งงานกันแล้ว
“เยี่ยมไปเลย จะแต่งงานกันอยู่แล้วถึงมาบอกเรื่องนี้ให้ฉันรู้”
หยางเฉินจงใจทำหน้าเข้ม แล้วพูดกับหม่าชาวไปว่า “นายนี่มันได้เมียแล้วลืมพี่สินะ ถ้าพี่อ้ายไม่บอกนายก็คงไม่คิดจะบอกฉันเลยสินะ?”
หม่าชาวเกาหัวด้วยความเขินอาย และรีบตอบไปว่า “พี่เฉินผมก็แค่อยากเซอร์ไพรส์พี่ไม่ใช่รึไง? อีกอย่าง ตอนที่ไปสู่ของอ้ายหลิน ผมยังตั้งใจจะเชิญพี่ไปเป็นพยานด้วยนะครับ!
“ฮ่าฮ่า!”
หยางเฉินพูดไปหัวเราะไป “ได้ ไม่มีปัญหา! พยานในครั้งนี้ ฉันเป็นแน่นอน!”