The king of War - บทที่ 57 คนที่น่าสงสาร
หยางเฉินแอบมองฉินซีเงียบๆอย่างไม่เป็นที่สังเกตทีหนึ่ง นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เจอเจ้าคนเฮงซวยนั่น ครั้งที่แล้วคือที่ฉินซื่อกรุ๊ป สายตาที่มองมาทางฉินซีนั้นไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย และนี่คือครั้งที่สอง และยังคงเป็นเช่นเดิม
ตอนนั้นหลังจากตรวจสอบเจอว่าหยางเวยบุกเบิกตลาดเจียงโจวแล้ว หยางเฉินก็สั่งการลั่วปิง ว่าห้ามให้มีธุรกิจของตระกูลหยางเกิดขึ้นในเจียงโจวเด็ดขาด แต่หยางเวยกลับยังอยู่ที่เจียงโจว ดูท่าว่าตระกูลหยางคงไม่ได้เห็นเรื่องนี้อยู่ในสายตา
“ก็แค่ผู้หญิงชั่วที่ใช้หน้าตาไต่เต้า คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไง” มองดูหยางเฉินกับฉินซีที่เดินจากไป ฟางเยว่ก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
หยางเวยยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ฉันกับตระกูลฉินเดิมทีก็ต้องทำธุรกิจร่วมกันอยู่แล้ว ในเมื่อมาเจอกับคนของตระกูลฉินที่นี่ ก็ต้องทักทายกันเป็นมารยาท”
“พี่หยาง พี่คงไม่ได้หลงเสน่ห์นังคนชั่วนั่นหรอกใช่ไหม ?” ฟางเยว่ทำสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที
หยางเวยยิ้มออกมา แล้วจูงมือฟางเยว่พร้อมกับพูดว่า “ฉันบอกแล้วไง ครั้งนี้พอกลับไปที่เมืองโจวเฉิง ฉันก็จะให้คุณพ่อไปคุยกับตระกูลฉินเรื่องการหมั้นหมาย แล้วจะไปชอบผู้หญิงคนอื่นได้ยังไงกัน อีกอย่าง ในใจฉันมีแค่เธอ ที่ได้อยู่ร่วมกันในช่วงที่ผ่านมาแล้ว เธอยังไม่เข้าใจฉันอีกเหรอ ?”
ช่วงที่ผ่านมา ฟางเยว่เกลือกกลั้วอยู่กับหยางเวยมาตลอด ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเองก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว จนตัวติดกันไปแล้ว
ขณะนี้พอได้ยินหยางเวยพูดถึงเรื่องการหมั้นหมายขึ้นมา ฟางเยว่ก็มีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที เพราะอย่างไรตระกูลหยางก็เป็นชนชั้นสูงของเมืองโจวเฉิง เกินกว่าตำแหน่งของตระกูลฉินอีก
“ในเมื่อพี่หยางพูดแบบนั้นแล้ว งั้นพวกเราก็ไปพร้อมกันเถอะค่ะ ! แต่ว่า พี่ห้ามไปมองนังคนเลวนั่นอีกนะ” ฟางเยว่ย้ำเตือนอีกครั้ง
“วางใจเถอะ ในใจฉันมีแค่เธอ” หยางเวยจับฟางเยว่จนอยู่หมัดแล้ว เพียงคำหวานแค่ไม่กี่คำ อย่างมากก็ใช้เงินอีกหน่อย ก็สามารถทำให้ฟางเยว่เชื่อฟังได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่หยางเฉินกับฉินซีพาเสี้ยวเสี้ยวไปถึงที่ห้องส่วนตัว ฉินยีกับโจวยู่ชุ่ยก็มาถึงแล้ว มีเพียงฉินต้าหย่งที่ยังไม่ปรากฏตัว
เห็นได้ชัดว่าโจวยู่ชุ่ยไปเสริมสวยมา บนใบหน้ามีเครื่องสำอางอ่อนๆ ใบหน้าดูมีมิติและวิจิตรบรรจงมาก สามารถให้กำเนิดลูกสาวที่สวยงามอย่างฉินซีกับฉินยีได้ คนเป็นแม่จะไม่งดงามไปได้อย่างไร
เธอยังสวมสร้อยข้อมือหยกเหอเทียนที่ละเอียดอ่อนมากบนข้อมือของเธอด้วย สวมเสื้อยืดคอตั้งผ้าวูลขนห่านสีเหลือง ทั้งตัวดูสง่างามและหรูหรา ดูเหมือนพวกชนชั้นสูงจริงๆ
เดิมทีฉินยีก็เป็นวัยรุ่นที่ร่าเริงอยู่แล้ว ทั้งเยาว์วัยและงดงาม ถึงแม้จะสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาว แต่ก็ยากที่จะบดบังรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอ
ฉินซีตามหยางเฉินกับเสี้ยวเสี้ยวไปเที่ยวมาทั้งวัน สีหน้าเลยดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่รูปลักษณ์ก็ยังคงสวยงามไร้ที่ติ
รวมถึงเสี้ยวเสี้ยว ก็ดูราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ถึงแม้จะยังเด็ก แต่ใบหน้าก็สวยงามได้รูปมาก น่ารักจนเหมือนตุ๊กตาพอร์ซเลน
“พี่คะ พวกพี่มาสายนะ ! ต้องดื่มสามแก้วเป็นการลงโทษ !” ขณะที่ฉินยีพูด ก็รินจนเต็มแก้วสามแก้วแล้ว
ฉินซียิ้มออกมา “เธอปล่อยพวกเราไปเถอะ ! หยางเฉินยังต้องขับรถอีกนะ ช่วงนี้ร่างกายฉันเองก็ไม่ค่อยดี ดื่มไม่ได้หรอก”
“หา ? ทำไมถึงได้มีเร็วขนาดนี้ล่ะ ?” พอฉินยีได้ยินแบบนั้น ก็แตกตื่นตกใจ พอมือสั่น เหล้าในมือก็หกลงบนโต๊ะ
โจวยู่ชุ่ยที่เดิมทีก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ พอได้ยินคำพูดนี้ของฉินยี ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที “เธอมีแล้วเหรอ ?”
สีหน้าของฉินซีเต็มไปด้วยความตกตะลึง หลังจากนิ่งอึ้งไปชั่วขณะแล้ว ก็มีสีหน้าเขินอายขึ้นมา แล้วกัดฟันพูดออกมาว่า “ความหมายของฉันคือมีประจำเดือน”
“ฉันตกใจแทบแย่ ฉันนึกว่าพวกพี่จะมีลูกคนที่สองแล้วซะอีก” ฉินยีตบอกตัวเองเบาๆ
ฉินซีถลึงตาใส่ฉินยีแรงๆทีหนึ่ง “เรื่องที่ไม่รู้ ก็อย่าพูดไปเรื่อยสิ !”
ฉินยีแลบลิ้นปลิ้นตา หยิบไวน์แดงที่เต็มแก้วขึ้นมาอย่างองอาจ แล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้ว “งั้นฉันก็ถือว่าลงโทษตัวเองก็แล้วกัน !”
ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !
ขณะนั้นเอง ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเคาะ
“เชิญค่ะ !” ฉินยีนึกว่าเป็นพนักงาน ก็เลยตะโกนไปทางประตูทีหนึ่ง
พอประตูของห้องส่วนตัวถูกเปิดออก ก็เห็นเงาของคนหนุ่มสาวสองร่างเดินเข้ามา เป็นหยางเวยที่ถูกฉินซีเมินใส่เมื่อครู่นี้ กับฟางเยว่นั่นเอง
“พวกเธอมาได้ยังไง ?” พอเห็นทั้งสองคน ฉินยีก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
หยางเฉินหรี่ตาทั้งสองข้างลง ที่พวกเขามา ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของฟางเยว่ หรือเป็นความคิดของหยางเวยกันแน่
“เสี่ยวยี เมื่อกี้ตอนอยู่ที่หน้าประตู พวกเราเจอกับคุณพี่เข้า เลยรู้ว่าพวกเธอมากินข้าวที่นี่ เลยคิดว่าคนยิ่งเยอะก็ยิ่งคึกคัก แต่วางใจเถอะนะ เดี๋ยวแฟนฉันจะเป็นคนเลี้ยงเอง”
ฟางเยว่กอดแขนหยางเวยด้วยสีหน้าหวานชื่น จากนั้นก็พูดแนะนำ “ใช่แล้ว ขอแนะนำให้พวกเธอรู้จักก่อนนะ ท่านนี้คือหยางเวยจากตระกูลหยางที่เป็นชนชั้นสูงของเมืองโจวเฉิง ตอนนี้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับทางตระกูล ขณะเดียวกัน ก็เป็นแฟนของฉันด้วย”
มองดูใบหน้าของฟางเยว่ สีหน้าของฉินยีก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่เป็นงานฉลองของครอบครัวเรา ไม่เกี่ยวกับคนนอก พวกเรามีเงินจ่ายค่าอาหารเอง ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นแล้ว ก็รบกวนพวกเธอช่วยออกไปด้วย !”
หลังจากที่หยางเวยเดินเข้ามาในห้องส่วนตัว ก็ถูกความงามของฉินซีกับฉินยีดึงดูด พอเห็นสองพี่น้องที่งามดุจดอกไม้ แล้วหันไปมองฟางเยว่ที่อยู่ข้างๆ ก็ดูราวฟ้ากับเหว ไม่อาจเทียบได้เลย
ตอนที่โจวยู่ชุ่ยได้ยินว่าหยางเวยมาจากตระกูลชั้นสูงของเมืองโจวเฉิงนั้น แววตาก็เปลี่ยนไปทันที ถึงแม้ข้างกายของหยางเวยจะมีฟางเยว่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางสายตาที่เธอมองหยางเวยได้
หยางเวยสวมแว่นกรอบเรซินสีดำ ผอมสูง ใบหน้าได้รูปดูแล้วสบายตา ชาติตระกูลก็ดี ตรงตามลูกเขยในอุดมคติของโจวยู่ชุ่ยเป็นอย่างมาก
“คุณก็คือคุณน้าโจวสินะครับ ?” หยางเวยดูเหมือนจะสัมผัสถึงสายตาของโจวยู่ชุ่ยได้ เลยรีบเป็นฝ่ายกล่าวทักทายก่อน
เมื่อครู่ฟางเยว่บอกเล่าเรื่องราวของคนในตระกูลนี้ให้เขาฟังหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงเดาฐานะของโจวยู่ชุ่ยออกทันที
โจวยู่ชุ่ยเห็นอีกฝ่ายรู้จักตัวเอง ก็รู้สึกปลาบปลื้มขึ้นมาทันที และรีบตอบกลับไปว่า “ฉันก็คือแม่ของฉินซีกับฉินยี ถ้าไม่รังเกียจ เรียกฉันว่าคุณน้าโจวก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอน้อมรับด้วยความเต็มใจครับ สวัสดีครับคุณน้าโจว ! คุณเรียกผมว่าเสี่ยวหยางก็ได้ครับ” หยางเวยยิ้มแล้วพูดอย่างสุภาพ
โจวยู่ชุ่ยยิ่งมองหยางเวยก็ยิ่งรู้สึกชอบ เลยรีบผายมือไปยังที่นั่งที่ยังว่างอยู่แล้วพูดว่า “รีบนั่งก่อนสิ !”
“คุณแม่คะ หนูเป็นคนเลี้ยงนะ จะเลี้ยงฉลองที่พี่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการ แม่ให้คนนอกมานั่งที่นี่ทำไม ?” ฉินยีมีสีหน้าไม่พอใจ
โจวยู่ชุ่ยถลึงตาใส่ฉินยีทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อจะเลี้ยงฉลอง ก็ต้องยิ่งคนเยอะก็ยิ่งดีสิ อีกอย่างนะ ฟางเยว่ก็ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย จะว่าไปแล้ว เขาก็เป็นพี่สาวของลูกนะ !”
“นั่นสิ เสี่ยวยี ถึงแม้ฉันจะโตกว่าเธอแค่สัปดาห์เดียว แต่ก็เป็นพี่สาวเธอนะ” ฟางเยว่หัวเราะคิกคักแล้วพูดขึ้น
ฉินยีตีหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จา แล้วนั่งลงกับที่ตัวเองอย่างโกรธเคือง ไม่พูดอะไรอีก
ฟางเยว่กับหยางเวยพากันนั่งลงแล้ว จะไล่ไปอีกก็คงไม่ดี แล้วยังมีโจวยู่ชุ่ยคอยให้ท้ายพวกเขาอีกด้วย เลยต้องปล่อยให้พวกเขาอยู่ต่อ
“หยางเวย นายเป็นคนจากตระกูลหยางของเมืองโจวเฉิงเหรอ ?”
“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว ?”
“น่าจะยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหม ?”
“มีญาติพี่น้องบ้างหรือเปล่า ?”
พอหยางเวยนั่งลงได้เพียงไม่กี่นาที โจวยู่ชุ่ยได้ถามออกไปแล้วหลายคำถาม หยางเวยตอบคำถามทุกข้อ
นั่นทำให้สีหน้าของฟางเยว่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งย่ำแย่ เห็นได้ชัดว่าโจวยู่ชุ่ยอยากจะแย่งซีนของเธอ
“คุณแม่คะ นี่แม่กำลังทำอะไรอยู่ ? จะไม่ให้เขากินข้าวดีๆเลยหรือไง ?” ฉินยีพูดอย่างไม่พอใจ
เธอมองออกทันทีว่าหยางเวยเป็นคนเจ้าเล่ห์ เป็นคนหน้าซื่อใจคด ทุกครั้งที่มองมาทางตัวเองกับพี่สาว ต่างก็ทำสายตาปลิ้นปล้อนตลอดเวลา
“ลูกก็กินของลูกไปสิ แม่จะคุยของแม่ เกี่ยวอะไรกับลูกด้วย ?”
โจวยู่ชุ่ยถูกคำพูดของฉินยีทำให้ฉุนขึ้นมา เลยบ่นพึมพำอย่างขุ่นเคือง
“คุณป้าคะ หยางเวยเป็นแฟนของหนู คุณป้าจะถามเยอะแยะไปทำไมคะ ?”
ขณะนี้ในที่สุดฟางเยว่เองก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เลยลุกยืนทันที
“ทำไมเธอถึงพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ ? ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย เธอทำท่าทางแบบนี้ เสี่ยวหยางจะชอบลงเหรอ ? ถ้าฉันเป็นเสี่ยวหยาง คงถีบส่งเธอไปตั้งนานแล้ว” โจวยู่ชุ่ยทำสีหน้าไม่พอใจ
ฟางเยว่โกรธจนตัวสั่น ลากแขนหยางเวยแล้วพูดว่า “พี่หยาง มานั่งกินข้าวกับคนแบบนี้ ฉันรู้สึกคลื่นไส้มาก กินไม่ลงเลยสักนิด พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะค่ะ !”
“ฟางเยว่ ฉันรู้สึกว่าคุณน้าพูดไม่ผิดนะ ยังไงเขาก็เป็นญาติผู้ใหญ่ ทำไมเธอถึงพูดจาแบบนี้กับญาติผู้ใหญ่ล่ะ ? เธอรีบขอโทษคุณน้าโจวเดี๋ยวนี้เลยนะ !”
สิ่งที่ทำให้ฟางเยว่คิดไม่ถึงก็คือ หยางเวยไม่เพียงไม่ช่วยเหลือตัวเอง แต่กลับบอกให้เธอไปขอโทษโจวยู่ชุ่ยอีก
“พี่หยาง หรือว่าพี่ดูไม่ออก ? เขาไม่ได้คุยแบบปกติ เห็นได้ชัดว่าอยากจะรู้ประวัติของพี่อย่างละเอียด แล้วยัดเยียดลูกสาวตัวเองให้พี่” ฟางเยว่พูดออกมาด้วยตาแดงก่ำ
“ขอโทษเดี๋ยวนี้ !” หยางเวยสีหน้าเย็นชา
ฟางเยว่นิ่งอึ้งไปทันที ที่อยู่ด้วยกันมาในช่วงที่ผ่านมา หยางเวยเชื่อฟังคำพูดของเธอมาตลอด ซื้อของฟุ่มเฟือยมากมายให้เธอ ดีกับเธอมาก แต่ตอนนี้กลับเข้าข้างคนนอก แล้วพูดจาแบบนี้กับเธอ”
“ฉันไม่ได้ผิด ทำไมต้องขอโทษด้วย ?” ฟางเยว่กัดฟันพูดออกมา
“เพี้ย !”
หยางเวยตบหน้าของฟางเยว่ไปทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ในเมื่อเธอไม่ขอโทษ ก็ไสหัวออกไปเลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ระหว่างพวกเราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก !”
“พี่หยาง พี่ว่าอะไรนะ ? จะเลิกกับฉันเหรอ ?” ฟางเยว่จับแก้มที่ถูกหยางเวยตบ น้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย
“ใช่ ฉันจะเลิกกับเธอ ! คุณน้าโจวพูดถูกแล้ว ตอนนี้ขนาดญาติผู้ใหญ่ของตัวเองเธอยังไม่เคารพ ถ้าแต่งเข้าไปในตระกูลหยางของพวกเราจริงๆ ก็คงไม่เห็นญาติผู้ใหญ่ของฉันอยู่ในสายตาด้วยสินะ”
หยางเวยทำสีหน้าท่าทางเจ็บปวดใจ แล้วพูดต่อว่า “ยังไงตระกูลหยางของฉันก็เป็นตระกูลชนชั้นสูง ถ้าเกิดให้คนอื่นมารู้ว่าฉันมีภรรยาที่ไม่เคารพญาติผู้ใหญ่อย่างเธอ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ?”
หยางเวยในขณะนี้ ทำให้ฟางเยว่รู้สึกว่า ราวกับเป็นคนแปลกหน้า
จะถึงตอนนี้ เธอถึงตระหนักได้ว่า หยางเวยนั้นอยากจะเลิกกับเธอจริงๆ
“พี่หยาง ฉันผิดไปแล้ว ขอร้องล่ะพี่อย่าเลิกกับฉันได้ไหม ฉันจะขอโทษเขาเอง ขอโทษนะ ! คุณป้าฉันขอโทษ ! ฉันผิดไปแล้ว !” ฟางเยว่ร้อนรนขึ้นมาทันที คว้ามือของหยางเวยเอาไว้อย่างแตกตื่น พร้อมกลับหันไปขอโทษโจวยู่ชุ่ยไปด้วย
“ฟางเยว่ ฉันหวังว่าเรื่องราวในครั้งนี้ จะเป็นบทเรียนของเธอนะ”
หยางเวยมองดูฟางเยว่ แล้วพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฉันทนไม่ได้ที่ภรรยาในอนาคตของตัวเอง จะเป็นผู้หญิงที่ไม่เห็นญาติผู้ใหญ่อยู่ในสายตา ครั้งเดียวก็ไม่ได้ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป พวกเราขาดกัน”
“พี่หยาง ฉันรู้สึกผิดแล้วจริงๆนะ ขอร้องล่ะพี่ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ ให้โอกาสฉันอีกแค่ครั้งเดียว ไม่มีพี่ฉันอยู่ไม่ได้ ขอร้องล่ะพี่ช่วยให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะนะ” ฟางเยว่เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว กอดหยางเวยเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
หลายวันที่ผ่านมา เธอมอบตัวเองให้กับหยางเวยหมดแล้ว ถ้าหากหยางเวยเลิกกับเธอ เธอก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
“ไสหัวไป !” หยางเวยตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวทีหนึ่ง แล้วผลักฟางเยว่ออกทันที
“คุณน้าโจว ขอโทษจริงๆนะครับ ที่มารบกวนงานสังสรรค์ของพวกคุณ แล้วผมค่อยมาเยี่ยมเยียนคุณใหม่วันหลัง” พอหยางเวยพูดจบ ก็หันหลังเดินออกจากห้องส่วนตัวไปทันที