The king of War - บทที่ 597 ตรวจสอบหยางเฉิน
พอดื่มเหล้าไปมาก คำพูดของทุกคนก็เพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย
เดิมที หยางเฉินคิดว่าคนที่ซ่งหวายี่พามาล้วนเป็นคุณชายตระกูลเศรษฐี แต่จากการพูดคุยของพวกเขา หยางเฉินถึงรู้ว่า คนเหล่านี้คาดไม่ถึงไม่มีคุณชายตระกูลเศรษฐีสักคนเดียว แม้กระทั่งยังมีคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าด้วย
นี่กลับเกินกว่าการคาดคิดของหยางเฉินแล้ว
เหมือนว่าจะเป็นเพียงการทานข้าวที่ธรรมดาจริง นอกจากกินดื่มคุยโวโอ้อวด ไม่มีวัตถุประสงค์อย่างอื่นอีก
เดิมทีหยางเฉินอยากพยายามวางแผนพัฒนาเยี่ยนเฉินกรุ๊ปเต็มที่ ซ่งหวายี่ในฐานะคุณชายตระกูลซ่ง หากคบหาสมาคมกันได้จริง ตระกูลซ่งก็เป็นเป้าหมายในการร่วมงานด้วยที่ไม่เลวมากๆ
ดังนั้นถึงได้มาเข้าร่วมการเชื้อเชิญของซ่งหวายี่ด้วยตนเอง เพียงแต่ เหมือนว่าเขาจะคิดผิดแล้ว นี่เป็นเพียงการทานข้าวที่เรียบง่ายอย่างหนึ่ง
“คุณหยาง คุณฉิน วันนี้ได้รู้จักพวกคุณ ผมดีใจมากเลยครับ มา ผมขอดื่มให้พวกคุณสามีภรรยาแก้วหนึ่ง!”
ซ่งหวายี่หัวเราะแล้วลุกขึ้น ถือแก้วเหล้าไว้เดินไปตรงหน้าของหยางเฉินและฉินซีแล้ว ยิ้มอยู่พลางพูดขึ้น
“เดี๋ยวภรรยาผมยังต้องขับรถ ผมดื่มแทนเธอแล้วกัน”
หยางเฉินหัวเราะบอกไป
ซ่งหวายี่หัวเราะเสียงดังฟังชัด “งั้นผมจำเป็นต้องดื่มให้คุณหยางสองแก้ว”
ไม่รอหยางเฉินพูดอะไร ซ่งหวายี่ก็ดื่มเหล้าแก้วหนึ่งอย่างอาจหาญ ตามมาด้วยเทเหล้าเต็มแก้วให้ตนเองอีกครั้ง
หลังจากดื่มเหล้ากับหยางเฉินเสร็จ เขาถึงกลับมายังที่นั่งของตนเอง และพูดคุยกับเพื่อนเหล่านั้นของตนเองขึ้นมา
“คุณชายยี่ ให้ผมพูดเถอะ คุณต่างหากที่เป็นคนคนนั้นของตระกูลซ่งที่มีสิทธิ์กลายเป็นผู้สืบทอดมากที่สุด ผมรู้สึกยอมไม่ได้แทนคุณมากจริงๆ!”
เวลานี้ ชายหนุ่มที่ไว้ผมยาวคนนั้น ชื่อว่าหลี่วั่นฝู พูดจาแบบโมโหเดือดขึ้นฉับพลัน
“หลี่วั่นฝู นายหุบปากไปเลยนะ! คุณชายยี่เคยบอกแต่แรกแล้วว่า ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ นายยังจะพูดอีก?”
อีกคนหนึ่งที่ชื่อหวางเฉา พูดอย่างโมโหไปทางหลี่วั่นฝู
“นี่ไม่ใช่ว่าฉันรู้สึกมันไม่คุ้มค่าแทนคุณชายยี่เหรอ?”
หลี่วั่นฝูอารมณ์ฮึกเหิมอยู่บ้าง พูดอย่างขุ่นเคือง “หลายปีมานี้ เพื่อตระกูลซ่งแล้ว คุณชายยี่ทำธุระมากแค่ไหนไป? ผลสุดท้าย เขากลับถูกไล่จากศูนย์รวมอำนาจผลประโยชน์ของตระกูลซ่งอย่างคาดไม่ถึง?”
“ให้ฉันพูด คนตระกูลซ่งพวกนั้น ก็คือพวกตาต่ำ ไม่ใช่ว่าเห็นฐานะเดิมคุณชายยี่ไม่ดีเหรอ เลยต้องการกดขี่คุณชายยี่ไว้ มีสิทธิ์อะไรกัน?”
“คุณชายยี่ ในเมื่อตระกูลซ่งไม่เมตตา คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อตระกูลซ่งอีกแล้ว ด้วยความสามารถของคุณ ถ้าออกไปจากตระกูลซ่ง ต้องสามารถสร้างกิจการใหญ่ได้แน่ครับ บรรดาพวกเราล้วนสนับสนุนคุณครับ”
ซ่งหวายี่หัวเราะขมขื่นส่ายหน้าแล้ว “ฉันเป็นคนตระกูลซ่ง ถึงแม้ถูกไล่ออกจากศูนย์รวมอำนาจผลประโยชน์ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”
“จะว่าไป ต่อให้ฉันอยากไปจากตระกูลซ่งจริงๆ ตระกูลซ่งจะปล่อยฉันออกไปงั้นเหรอ?”
“ในฐานะลูกหลานตระกูลมหาเศรษฐี ในเมื่อดื่มด่ำการคุ้มครองของตระกูลแล้ว งั้นก็ต้องเชื่อฟังการจัดการของตระกูล”
หลี่วั่นฝูยังอยากพูดอะไรอีก กลับถูกหวางเฉาเปลี่ยนหัวข้อทันที “หลี่วั่นฝู นายแม่งยังติดหนี้ฉันอยู่สามแสน คิดจะคืนเมื่อไรกัน?”
“เชี้ย! ไม่ใช่แค่สามแสนเหรอ? ฉันเหมือนคนที่ไม่มีเงินสามแสนงั้นเหรอ?”
เห็นได้ชัดว่าหลี่วั่นฝูดื่มมากแล้ว ตอนที่พูดจา ท่วงทำนองเสียงก็เปลี่ยนหมด
“ไม่เมื่อไม่ขาด งั้นก็รีบคืนมาสิ” หวางเฉายื่นมือจะเอาเงิน
“ฉันมีเงินก็ไม่คืนนายหรอก น่าโมโหนายไอ้วายร้ายขี้เหนียวคนนี้!” หลี่วั่นฝูทำท่าทางเล่นแง่
หวางเฉาโกรธไม่เบา หันหน้ามองทางซ่งหวายี่แล้วพูดว่า “คุณชายยี่ คุณดูเจ้าสารเลวคนนี้ มีเงินยังไม่คืนผมอีก! คุณต้องช่วยตัดสินให้ผมนะครับ!”
ซ่งหวายี่ทำหน้าจำใจ “วั่นฝู พรุ่งนี้นายเอาเงินคืนด้วย”
“คุณชายยี่ ผมไม่มีเงิน!”
หลี่วั่นฝูที่เมื่อสักครู่บอกว่ามีเงิน พูดจาหน้ามุ่ย
“ฮ่าๆๆๆ……”
คนอื่นๆ ล้วนหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
ซ่งหวายี่ส่ายหน้าด้วยความจำใจ
มองท่าทางที่ทุกคนหัวเราะสนุกสนาน บนหน้าหยางเฉินเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นนานมากแล้วออกมา
เขาชอบความรู้สึกแบบนี้มาก เหมือนตอนอยู่ที่ชายแดนเหนือ ระหว่างเหล่าพวกพ้องก็หยาบคายใส่กันและกัน แต่มิตรภาพกลับเหนียวแน่น
การทานอาหารเริ่มต้นจากหนึ่งทุ่ม จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่าถึงสิ้นสุดลง
ซ่งหวายี่ส่งทุกคนขึ้นรถกลับไปด้วยตนเองจนหมด เขาถึงหัวเราะอย่างขมขื่นพูดว่า “แค่ตอนที่อยู่ด้วยกันกับเจ้าพวกนี้ ถึงลืมเรื่องกวนใจได้”
พูดจบ เขายื่นบุหรี่หนึ่งมวนให้หยางเฉินแล้ว
หยางเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย “ผมไม่สูบบุหรี่!”
ซ่งหวายี่มองหยางเฉินด้วยท่าทางแปลกประหลาด “คุณนี่เป็นคนแปลกจริงๆ”
เห็นหยางเฉินไม่สูบบุหรี่ เขาจึงเก็บบุหรี่กลับเข้าไป
“คุณหยาง วันนี้พอแค่นี้เถอะ เอาไว้วันหลังพวกเราค่อยนัดรวมกันอีก”
ซ่งหวายี่ยิ้มอยู่บอกว่า “ผมก็ควรกลับบ้านนอนแล้ว”
พูดจบ ไม่รอหยางเฉินเอ่ยปาก เขาโบกมือไปยังหยางเฉิน แล้วหมุนตัวเดินไปที่รถของตนเอง
“คนคนนี้ ยังน่าสนใจอยู่หน่อยจริงๆ” หยางเฉินหัวเราะพลางพูดขึ้น
ฉินซีหยักหน้าเช่นกัน “เดิมทีฉันคิดว่า เขานัดคุณมากินข้าว เป็นเพราะมีเรื่องขอร้องคุณ นึกไม่ถึงจะเป็นแค่การนัดกินข้าวเรียบง่ายจริงๆ”
หยางเฉินพยักหน้า “ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ดูท่าทาง เขาแค่อยากรู้จักผมสักหน่อยเท่านั้น เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันดีกว่า!”
อีกด้านหนึ่ง ซ่งหวายี่อยู่ในรถหรู ด้านข้างยังมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่คนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากถามทันใด “คุณชายยี่ครับ เขารับปากช่วยคุณหรือยังครับ?”
“คนแบบนี้ ได้เพียงใช้สติปัญญามาเอาชนะ เอากำลังมาฝืนไม่ได้”
ซ่งหวายี่ที่เมื่อสักครู่ยังมีอาการมึนเมา เวลานี้มีอาการเมาเหล้าสักนิดอยู่ที่ไหน? ในสายตาเป็นประกายแวววาว
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ลูกนอกสมรสที่โดนตระกูลอวี๋เหวินทอดทิ้งคนหนึ่งเท่านั้น คุณชายยี่ถึงขั้นต้องระมัดระวังเช่นนี้เลยเหรอครับ?”
ซ่งหวายี่พยักหน้า “ลูกนอกสมรสที่โดนทอดทิ้งคนหนึ่ง ปัจจุบันนี้กลับได้รับเยี่ยนเฉินกรุ๊ปที่ครบสมบูรณ์จากในมือตระกูลอวี๋เหวินไปแล้ว แถมตัวเองยังเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง คนแบบนี้ นายคิดว่าจะธรรมดาได้เหรอ?”
ฟังการวิเคราะห์ของซ่งหวายี่แล้ว ระหว่างคิ้วชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด “หรือว่าคุณชายยี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา?”
บางทีคนอื่นไม่รู้จักความสามารถของซ่งหวายี่ดีว่าน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ซ่งหวายี่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ชื่อดังของเมืองเยี่ยนตู ในบรรดาคนหนุ่มของเมืองเยี่ยนตู ไม่มีใครสู้ได้ ปัจจุบันนี้ลูกนอกสมรสคนหนึ่ง คาดไม่ถึงความสามารถแกร่งยิ่งกว่าซ่งหวายี่
แค่คิดก็รู้ว่า เขาตกใจมากแค่ไหน
“ห้าปีที่เขาหายไป ไม่มีข่าวคราวใดๆ ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ห้าปีนั้น เขาไปสนามรบแล้ว มีเพียงสนามรบ ถึงสามารถทำให้คนธรรมดาคนหนึ่ง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นนำได้”
ซ่งหวายี่พูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ด้วยความสามารถที่เขาแสดงออกมา อยู่ในกองทัพต้องไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเด็ดขาด นายไม่ใช่มีคนรู้จักอยู่ในกองทัพเหรอ?”
“คิดวิธีค้นหาให้ชัดเจน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับหยางเฉิน!”
ส่วนหยางเฉินนึกไม่ถึงว่า ซ่งหวายี่จะตรวจสอบเขา
แต่ว่าต่อให้รู้แล้ว ก็ไม่เป็นอะไร
นอกจากคนที่สามารถเข้าใกล้หยางเฉินได้ระดับนั้น ไม่อย่างนั้นต่อให้ค้นหาลึกแค่ไหน อย่างมากที่สุดก็เป็นคำตอบที่“ลับเฉพาะ”
เดาว่าต่อให้เส้นสายของซ่งหวายี่จะแข็งแค่ไหน ก็ไม่อาจค้นหาสถานะแท้จริงของหยางเฉินได้
พอกลับถึงบ้าน ฉินซีก็วิดีโอคอลเข้าไปหาฉินยีแล้ว
“หม่าม้า!”
ฉินยีทางนั้นเพิ่งรับสาย ก็มีใบหน้าน้อยๆ ที่น่ารักใบหนึ่งปรากฏขึ้นแล้ว
“เสี้ยวเสี้ยว สองวันนี้เชื่อฟังคุณน้าหรือเปล่าจ๊ะ?”
มองเห็นลูกสาว ฉินซียิ้มด้วยหน้าตาอ่อนโยน ในลูกตาลึกๆ ยังมีความคิดถึงที่เข้มข้นอย่างมาก
ถึงแม้มาเมืองเยี่ยนตูได้เพียงสองวัน แต่นี่ยังครั้งแรกที่เธอแยกห่างกับเสี้ยวเสี้ยวนานขนาดนี้
“เสี้ยวเสี้ยวเชื่อฟัง เป็นเด็กดีมากค่ะ!”
เสี้ยวเสี้ยวรีบพูดขึ้น ได้มองเห็นแม่ หล่อนก็ดีใจอย่างมาก
“เชื่อฟังก็ดีจ๊ะ รอเรื่องทางนี้ของหม่าม้ากับปะป๊าเสร็จ พวกเราจะกลับไปอยู่เป็นเพื่อนหนู ดีหรือเปล่า?”
ฉินซีหัวเราะแล้วบอกไป