The king of War - บทที่ 652 มาเมืองเยี่ยนตูสิ
หยางเฉินตอบรับทานข้าวกับเขา ทำให้เขาปลื้มใจมาก เมื่อก่อนมีเพียงปู่ของเขาเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติทานข้าวร่วมโต๊ะกับคุณหยาง
หยางเฉินยิ้มแล้วถามว่า “ปู่ของคุณล่ะ? เป็นยังไงบ้างตอนนี้?”
“คุณปู่ได้ส่งต่อตำแหน่งผู้นำให้คุณพ่อของผมแล้ว ส่วนคุณปู่ก็ไปใช้ชีวิตหลังวัยเกษียณ ทุกวันเขาปลูกต้นไม้ ดอกไม้ และผักในสวนเล็กๆ ของเขา ชีวิตของเขาสุขสบายมาก”
เฉินอิงเหาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่า คุณปู่ของผมมักจะพูดถึงท่านและระลึกถึงความกรุณาอันยิ่งใหญ่ของท่านเสมอๆ และบอกพวกเราตลอดว่าจะต้องให้เกียรติคุณหยาง”
“ท่านผู้นำเฉินช่างเกรงใจจริงๆ!” หยางเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผังเสี่ยวเยว่ไม่สามารถพูดแทรกได้เลย แต่ระหว่างการสนทนาของทั้งสอง ทำให้เธอได้รับรู้ข้อมูลมากมายจนทำให้เธอตกใจ
แม้จะไม่รู้ว่าตระกูลเฉินเป็นตระกูลแบบไหน แต่หลังจากที่ได้ฟังเฉินอิงเหาพูดเมื่อกี้ ตระกูลเฉินก็เป็นตระกูลที่ร่ำรวยตระกูลหนึ่ง และพวกเขาก็ให้ความสำคัญกับหยางเฉินมาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เฉินอิงเหายังพูดอีกว่า ตราบใดที่หยางเฉินยินยอม ตระกูลเฉินก็ยินดีที่จะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับหยางเฉิน
เธอเป็นคนช่างสังเกตและเธอก็มองออกว่า เฉินอิงเหาไม่ได้พูดโกหก ทั้งหมดล้วนพูดออกมาจากใจด้วยความยินดี ดูเหมือนว่าตระกูลเฉินจะรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มอบทรัพย์สมบัติของตระกูลให้กับหยางเฉิน
“อิงเหา คุณให้คนพาเสี่ยวเยว่ไปเดินดูรอบๆหน่อย”
หลังจากทานอาหารเสร็จ หยางเฉินก็พูดกับเฉินอิงเหาในทันใด แล้วพูดกับผังเสี่ยวเยว่ว่า “เสี่ยวเยว่ เธอรอฉันแปบนึงนะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอกลับบ้าน”
เฉินอิงเหาเรียกหญิงสาวคนหนึ่งมาและรีบพูดขึ้นว่า “อะเหม่ย ท่านนี้คือคุณหยาง”
“สวัสดีค่ะ คุณหยาง!”
อะเหม่ย กล่าวทักทายด้วยความเคารพ เมื่อมองไปที่หยางเฉิน สายตาของเธอแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา นี่สินะหยางเฉินที่เคยได้ยินมา
“คุณหยางครับ เธอคือแฟนผมครับ ท่านเรียกเธอว่าอะเหม่ยก็ได้ครับ” เฉินอิงเหาแนะนำเธอให้หยางเฉินรู้จัก
หยางเฉินพยักหน้าเล็กน้อย “สวัสดี!”
“อะเหม่ย เธอพาพี่สะใภ้ไปเดินเล่นที่ห้องสะสมของฉันก่อน แล้วนำไข่มุกราตรีที่ฉันได้มาเมื่อวานนี้ให้กับพี่สะใภ้ที ” เฉินอิงเหากำชับ
“ได้ ฉันจะพาพี่สะใภ้ไปเดี๋ยวนี้เลย” อะเหม่ยพูดแล้วดึงผังเสี่ยวเยว่ออกไปด้วยความสนิทสนม
ผังเสี่ยวเยว่ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ
หยางเฉินไม่ได้อธิบายอะไร หลังจากผังเสี่ยวเยว่เดินตาม อะเหม่ยออกไป ถึงได้เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ตอนนี้ตระกูลเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ถ้าหากวันนี้ไม่ได้เจอกับเฉินอิงเหา หยางเฉินก็เกือบจะลืมตระกูลเฉินไปแล้ว
เฉินอิงเหารีบพูดขึ้นว่า “คุณหยาง ตอนนี้ตระกูลเฉินของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก มันดีมากเลยครับ พวกเราอยู่ในเขตเจียงหนัน พูดได้ว่าแม้แต่ตระกูลหานก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเท่ากับตระกูลเฉิน ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยางเฉินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในเวลาเพียงสั้นๆ ไม่กี่เดือน ตระกูลเฉินพัฒนามาได้ไกลถึงขนาดนี้
“อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ตระกูลเฉินกระโดดออกมาจากพื้นที่เขตเจียงหนัน ก็เพราะว่าปู่ของผมสั่งให้พวกเราขยายอาณาเขตของตระกูลเฉิน ท่านบอกว่าคุณหยางเป็นมังกร ถ้าตระกูลเฉินไม่ขยันไม่ทำงานให้หนักขึ้น พวกเราก็จะยิ่งห่างไกลจากคุณหยางเท่านั้น”
หลังจากเฉินอิงเหาทำท่าลังเลเล็กน้อยก็พูดขึ้น
สิ่งนี้ทำให้หยางเฉินนึกไม่ถึงเลยว่า ที่ตระกูลเฉินขยายกิจการเป็นเพราะว่าต้องการตามให้ทันตนเอง
แต่ที่เฉินอิงเหาพูดแบบนี้ เขาก็พอเข้าใจได้
“ถ้าฉันมองไม่เห็นตระกูลเฉินล่ะ? พวกคุณก็ไม่คิดที่จะมาหาฉันก่อนเหรอ?” หยางเฉินถามด้วยรอยยิ้ม
เฉินอิงเหาพยักหน้า “คุณปู่บอกว่า เมื่อคุณหยางสามารถมองเห็นพวกเราก่อนเท่านั้น พวกเราถึงจะมีคุณสมบัติติดตามคุณหยางต่อไป”
“เอาล่ะ ในเมื่อท่านผู้นำเฉินมองฉันสูงส่งแบบนี้ ฉันจะทำให้ท่านผู้นำเฉินผิดหวังได้ยังไงกัน ตระกูลเฉินเตรียมตัวมาตั้งรกรากในเมืองเยี่ยนตูได้เลย!” หยางเฉินพูดขึ้นทันใด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้เฉินอิงเหาตกใจมาก “คุณหยาง ท่านพูดว่า ให้พวกเราตระกูลเฉินมาเมืองเยี่ยนตูเหรอครับ?”
“ทำไมล่ะ? ไม่เต็มใจเหรอ?” หยางเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“เต็มใจครับ! เต็มใจมากๆ! ขอบคุณครับคุณหยาง! ขอบคุณครับคุณหยาง! ผมจะโทรหาคุณปู่ตอนนี้เลยครับ บอกข่าวดีนี้กับคุณปู่”
เฉินอิงเหาพูดไม่ปะติดปะต่อด้วยความตื่นเต้น พูดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาเฉินซิงไห่ “คุณปู่ครับ คุณหยางให้พวกเราตระกูลเฉินมาที่เมืองเยี่ยนตูครับ!”
ตอนนี้หยางเฉินเองก็ตั้งใจที่จะตั้งรกรากที่เมืองเยี่ยนตู ฉินซีเองก็จะย้ายมาที่นี่ ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พวกเขาจึงต้องมีคนสนิทที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ในเมืองเยี่ยนตู
ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่จงรักภักดีมาก มีคุณสมบัติที่จะติดตามเขาต่อไป
“ปัง!”
ทันทีที่เฉินอิงเหาวางสาย ทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงปะทะอย่างรุนแรง ร้านอาหารแซ่เฉินเหมือนกำลังสั่นสะเทือนไปทั้งร้าน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เฉินอิงเหาตกใจอยู่ชั่วครู่ เสียงชนปะทะที่รุนแรงเมื่อกี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงรถชนกัน
“ประธานเฉินท่าจะไม่ดีแล้ว คนตระกูลไช่มาแล้วครับ!”
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนในชุดสูทรีบวิ่งเข้าไปในห้องอาหารด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและพูดเสียงดังว่า “ตระกูลไช่มากันหลายคน พวกเขาขับรถบรรทุกคันใหญ่และพุ่งชนประตูเข้ามาครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเฉินอิงเหาก็ยิ่งซีดเซียว ตระกูลไช่นั้นแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู สถานบันเทิงเกือบครึ่งของเมืองเยี่ยนตูอยู่ในความดูแลของตระกูลไช่
แม้แต่แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูต่างก็ไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลนี้ พวกเขามาที่ร้านอาหารแซ่เฉินต้องไม่วางมือเรื่องนี้แน่ๆ
“มันจบแล้ว!ทุกอย่างมันจบลงแล้ว!”
เฉินอิงเหารู้สึกตัวอ่อนปวกเปียกไปหมดและพูดด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
“กลัวอะไร?” หยางเฉินขมวดคิ้วพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน เฉินอิงเหาก็ตื่นขึ้นราวกับฝัน แม้ว่าท้องฟ้าจะถล่ม ไม่ใช่ยังมีหยางเฉินอยู่ตรงนี้เหรอ?
คำพูดของหยางเฉินเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทันใดนั้น เฉินอิงเหารู้สึกเสียใจมาก ไม่ง่ายเลยที่จะได้คุยกับหยางเฉิน แต่ตัวเองกลับตื่นตระหนกแบบนี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น
“สบายใจได้ ตระกูลไช่สร้างความเสียให้ตระกูลเฉินมากเท่าไร พวกเขาจะต้องชดใช้คืนมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า”
หยางเฉินพูดจบ หันหลังเดินออกไปข้างนอก
เมื่อมองตามหลังหยางเฉินที่เดินออกไป จู่ๆ ก็ทำให้เฉินอิงเหารู้สึกว่าเลือดในตัวของเขามันพลุ่งพล่านขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขานึกถึงท่าทางที่หยางเฉินบุกเข้าไปในตระกูลเฉินเพียงลำพัง ซึ่งทำให้เขาลืมไม่ลงจนกระทั่งวันนี้
“พี่หยางเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
ผังเสี่ยวเยว่ก็ได้ยินเสียงปะทะ จึงออกมาแล้วถามขึ้น
หยางเฉินพูดว่า “เธอรออยู่ข้างในกับอะเหม่ยก่อน ฉันจะพาอิงเหาไปจัดการเรื่องนี้สักหน่อย จัดการเรียบร้อยแล้วจะพาเธอกลับบ้าน”
“ตระกูลไช่มาเหรอคะ?” ผังเสี่ยวเยว่ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หยางเฉินรู้ว่าหลอกผังเสี่ยวเยว่ไม่ได้ จึงไม่ได้ปิดบัง พยักหน้าแล้วพูดว่า “วางใจได้ มีฉันอยู่ทั้งคน ไม่มีทางมีเรื่องแน่”
“ระวังตัวด้วย!” ผังเสี่ยวเยว่กำชับแล้วหันหลังเดินเข้าไปข้างในกับ อะเหม่ย
หยางเฉินยิ้ม เดินไปที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งด้วยสีหน้าชิวๆ
เมื่อเขาและเฉินอิงเหาเดินไปถึงล็อบบี้ พนักงานนับสิบที่สวมเครื่องแบบร้านอาหารแซ่เฉินก็ล้มลงไปแล้วตรงล็อบบี้
ประตูกระจกตกแต่งของร้านอาหารแซ่เฉินถูกรถบรรทุกชนเข้ามาแล้ว
มีชายร่างใหญ่กำยำยืนอยู่รอบๆ กลุ่มใหญ่ นับแบบคร่าวๆ อย่างน้อยประมาณ100คน
ด้านหน้าสุดของคนเหล่านี้มีเปลหาม บนเปลหามมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่แขนขาเข้าเฝือก คือ ไช่เหวิน ผู้ที่ถูกหักแขนหักขามาก่อน
“ทุบให้หมด! ฉันจะทำให้ร้านอาหารแซ่เฉินพังพินาศ!”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เป็นผู้นำ โบกมือครั้งเดียว ก็ทำให้ชายทั้งร้อยคนพร้อมที่จะลงมือ
“ฉันจะดูสิว่าใครจะกล้า?”
ในเวลานี้เอง น้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังขึ้นในทันใด นั่นก็คือ หยางเฉิน