The king of War - บทที่ 666 ฉันขอเตือนคุณ
เพื่อนนักเรียนของซ่งหวาหย่าเหล่านั้น พอเห็นหยางเฉินตอบตกลง ก็มองไปที่เขาอย่างดูถูกเหยียดหยา
ในสายตาของพวกเขา เหตุผลที่ซ่งหวาหย่าไม่ยินดีเข้าร่วมงานปาร์ตี้ของพวกเขา ก็เพื่อปกป้องหยางเฉิน แต่หยางเฉินต่างหากที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ยังด้านหน้าเบียดเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา
ซ่งหวาหย่าที่ฉลาดเป็นกรด ย่อมรู้ว่าหยางเฉินกำลังคิดจะทำอะไร ในใจรู้สึกซาบซึ้ง
“เสี่ยวหย่า สามีของคุณก็พูดมาอย่างนี้แล้ว คุณก็ไปกับพวกเราเถอะ!” เฉินซิงหรูรีบบอก
“ตกลง ฉันจะไปกับพวกคุณ ถ้าพวกคุณกล้าดูถูกสามีของฉันอีกครั้ง ก็ถือว่าฉันไม่มีเพื่อนร่วมชั้นอย่างพวกคุณ” ซ่งหวาหย่าพูดอย่างเย็นชา
ทุกคนล้วนมีสีหน้าไม่แยแส หากเป็นเมื่อก่อน ซ่งหวาหย่ายังคงเป็นคุณหนูตระกูลซ่ง พวกเขาต้องประจบสอพลอเธออย่างแน่นอน แต่ในเมื่อซ่งหวาหย่าถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว มันก็ไม่จำเป็นอีก
“เสี่ยวหย่า พวกผู้หญิงเรามานั่งรถของฉันด้วยกัน ปล่อยให้พวกผู้ชายไปกันเอง”
ซางเสี่ยวเซียกลอกตาพูดด้วยรอยยิ้ม เธอยังจงใจหยิบกุญแจรถปอร์เช่ออกมา เมื่อกดปุ่มกุญแจ ไฟรถปอร์เช่คาเยนน์สีขาวคันที่อยู่ข้างๆ ก็กะพริบขึ้น
“เสี่ยวเซียเก่งมาก! ตอนนี้ได้ขับรถปอร์เช่แล้ว” หวางหวนพูดอย่างอิจฉา
เฉินซิงหรูก็มีสีหน้าชื่นชมเช่นกัน “ดูท่าทาง วันนี้จะได้นั่งรถหรูแล้ว เสี่ยวเซียมีชีวิตดีวันดีคืน”
ซางเสี่ยวเซียยิ้มอย่างพึงพอใจและพูดว่า “โดยทั่วไป รถคันนี้มีมูลค่าเพียงหนึ่งล้านกว่าเท่านั้น มันเป็นรถที่มีราคาต่ำที่อยู่ในโรงจอดรถของฉัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น คนอื่นๆ ก็รู้สึกอิจฉามากขึ้นทันที เด็กหนุ่มเหล่านั้นมองไปที่ซางเสี่ยวเซียด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะดูธรรมดา แต่ก็เป็นเศรษฐินี!
“เสี่ยวหย่า อย่าลังเลอีกเลย เรามานั่งรถของเสี่ยวเซียไปกันเถอะ! นั่นคือรถปอร์เช่คาเยนน์ที่มีราคาล้านกว่าเชียวนะ คุณคงไม่คิดจะเรียกแท็กซี่ไปพร้อมกับสามีของคุณหรอกนะ?”
หวางหวนวิ่งเข้ามาดึงแขนของซ่งหวาหย่าแล้วเอ่ยขึ้น
“คุณไปกับพวกเธอเถอะ! ผมจะไปกับเพื่อนนักเรียนชายของคุณเอง” หยางเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
ซ่งหวาหย่าจึงพยักหน้า แล้วขึ้นรถของซางเสี่ยวเซีย
“พวกคุณไปกันก่อน คุณหยางจะนั่งรถของผมไป”
หลังจากที่เพื่อนนักเรียนหญิงนั่งรถซางเสี่ยวเซียไปแล้ว ม่อตงซวี่ก็พูดกับเพื่อนนักเรียนชายคนอื่นๆ
ไม่นานก็เหลือเพียงม่อตงซวี่ ซุนเหม่ยจวนภรรยาของเขา และหยางเฉินรวมสามคนอยู่ที่ประตูบาร์
“เหม่ยจวน คุณขึ้นรถไปก่อน ผมมีบางอย่างอยากจะคุยกับคุณหยาง” ม่อตงซวี่ พูดกับภรรยาของเขา
สีหน้าของซุนเหม่ยจวนดูไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ขึ้นรถไมบัคอย่างเชื่อฟัง
“คุณแต่งงานกับเสี่ยวหย่าแล้วจริงเหรอ?”
เมื่อไม่มีใครแล้ว ม่อตงซวี่จึงเอ่ยปากถามขึ้น
หยางเฉินย่อมไม่มีทางเปิดเผยตัวเอง เขาพยักหน้าและพูดว่า “ทำไมล่ะ? คุณไม่เชื่อเหรอ?”
ม่อตงซวี่เหลือบมองหยางเฉินอย่างดูถูก “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? สมควรที่ผมจะเชื่อได้เหรอ?”
แน่นอนว่าผู้ชายคนนี้เมื่อครู่ได้เสแสร้งทำเป็นสุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้หางสุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้ว
หยางเฉินไม่โกรธ แต่ยิ้มบางๆ “คุณมาหาผมต้องการอะไร ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ!”
“ดีมาก ผมชอบคุยกับคนฉลาด”
ม่อตงซวี่พูดจบก็หยิบบัตรธนาคารออกมา แล้วมอบให้กับหยางเฉิน พลางพูดว่า “ในการ์ดใบนี้ มีเงินอยู่ห้าล้าน ขอเพียงคุณยอมไปจากเสี่ยวหย่า เงินห้าล้านนี้จะเป็นของคุณ”
หยางเฉินมองม่อตงซวี่ด้วยสีหน้าแปลกๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันน่าขัน ตัวเขาเองก็แต่งงานแล้ว แต่กลับต้องการให้หยางเฉินไปจากซ่งหวาหย่า?
“อย่างคุณนี่เขาเรียกกินอยู่ในหม้อแท้ๆ แต่ก็ยังมองอาหารในชามอยู่ใช่ไหม?”
หยางเฉินไม่ได้รับบัตรธนาคารไว้ แต่ย้อนถามด้วยรอยยิ้ม
ม่อตงซวี่ยิ้มเยาะ “คุณเข้าใจผิดแล้ว! ผมไม่ได้ลืมความรักเก่าของผู้หญิงเลวๆ คนนั้นไม่ได้ แต่ผมต้องการให้เธอเป็นโสดไปตลอดชีวิต!”
หยางเฉินสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่รุนแรงจากคำพูดของม่อตงซวี่
หยางเฉินรู้สึกเหนือความคาดหมาย เดิมทียังนึกว่าม่อตงซวี่ยังคงคิดถึงซ่งหวาหย่าอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาคิดจะทำลายซ่งหวาหย่า
“เท่าที่ผมรู้ ตอนนั้นคุณเป็นคนที่หนีงานแต่งงานไป แถมยังปล่อยข่าวว่าคุณตายแล้วใช่ไหม?” หยางเฉินถาม
“ผู้หญิงเลวคนนั้นหลอกลวงผม จนเกือบจะทำลายชีวิตของผมทั้งชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะผมดวงแข็ง จะอยู่มาได้ถึงตอนนี้เหรอ? ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังจะอยู่อย่างมีความสุข” ม่อตงซวี่กัดฟันพูด
หรือว่าระหว่างเขากับซ่งหวาหย่า จะมีเรื่องปกปิดอยู่จริงๆ?
“คุณก็แต่งงานไปแล้ว ปล่อยเธอไปเถอะ! เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไป” หยางเฉินกล่าว
เขาไม่ต้องการยื่นมือเข้าไปแทรกแซงความบาดหมางระหว่างม่อตงซวี่และซ่งหวาหย่า แต่ตอนนี้ซ่งหวาหย่าคือคนของเขา พรุ่งนี้ก็จะต้องไปต่างประเทศเพื่อช่วยเขาสำรวจตลาดต่างประเทศแล้ว เขาไม่ต้องการให้เธอได้รับผลกระทบจากม่อตงซวี่
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? รู้อะไรบ้าง? ปล่อยเธอไปเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง? คุณไม่รู้เลยว่า หลายปีที่ผ่านมา ผมเกลียดเธอมากแค่ไหน!”
ม่อตงซวี่พูดด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวดุร้าย
หยางเฉินส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้ว
“คุณบอกว่าเธอหลอกลวงคุณ? มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? คุณรู้ไหมว่าเธอเสียใจแค่ไหนเมื่อรู้ข่าวการตายของคุณ? เธอเคยทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง เคยถูกช่วยให้รอดจากการฆ่าตัวตายมาแล้วหลายครั้ง” หยางเฉินเอ่ยถาม
“เธอหลอกลวงผมแน่นอน เธอบอกผมว่า เธออยู่ในตำแหน่งที่สูงมากในตระกูลซ่ง พี่ชายของเธอก็มีตำแหน่งที่สูงมากกว่าในตระกูลซ่ง เขาอาจจะกลายเป็นผู้นำของตระกูลซ่งในอนาคต แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ? มันไม่ใช่เลย!”
“พวกเขาทั้งครอบครัวไม่ได้อยู่ในสายตาของตระกูลซ่งเลย ตอนนี้ความจริงได้ปรากฏแล้ว ในตระกูลซ่งพวกเขายังสู้คนรับใช้ไม่ได้เลย ตอนนี้ยังถูกขับไล่ออกจากตระกูลอีกด้วย”
“ตอนนี้ผมรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้แต่งงานกับเธอในตอนนั้น ถ้าไม่เช่นนั้นตอนนี้ผมก็ต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูลซ่งมาพร้อมกับเธอด้วย”
ม่อตงซวี่พูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ตอนแรก ตระกูลซ่งดูถูกผม พยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการแต่งงานของผมกับซ่งหวาหย่า ที่ผมหนีงานแต่งมันคือความตั้งใจ เพื่อเป็นการแก้แค้นหญิงชั่วคนนี้ที่หลอกลวงผม!”
“ก็เพราะว่าเธอหลงรักผมอย่างลึกซึ้งแล้ว ดังนั้นผมจึงส่งข่าวให้เธอโดยเจตนา ข่าวการตายของผมในต่างประเทศ คือการทำให้เธออยู่อย่างตายทั้งเป็น!”
หลังจากได้ยินม่อตงซวี่เล่าเรื่องเหล่านี้แล้ว ในที่สุดหยางเฉินก็เข้าใจว่า ระหว่างไอ้เวรนี่กับซ่งหวาหย่านั้นมีบุญคุณความแค้นอะไรกันแน่
สิ่งที่ทำให้หยางเฉินคิดไม่ถึงก็คือ ที่ทำให้ม่อตงซวี่เชื่อว่าซ่งหวาหย่าหลอกลวงเขา ก็เพราะว่าซ่งหวาหย่าไม่ได้รับความสำคัญในตระกูลซ่ง
ถึงขนาดเกลียดชังซ่งหวาหย่าด้วยสาเหตุนี้ มันช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์จริงๆ
“ที่รักคะ เร็วๆ หน่อย!” ในเวลานี้ซุนเหม่ยจวนที่อยู่บนรถได้พูดเร่งรัด
ม่อตงซวี่จึงค่อยๆ สงบอารมณ์ลง มองหยางเฉินอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม เงินห้าล้าน เพียงพอสำหรับคุณที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดไปทั้งชีวิตแล้ว อย่าได้คืบจะเอาศอกเลย”
หยางเฉินหัวเราะเยาะ “ห้าล้าน มันมากแล้วเหรอ?”
สิ้นเสียง เขาก็กดปุ่มกุญแจรถ รถโฟล์คเภาตันที่สั่งทำเฉพาะมูลค่านับสิบล้านได้ขับออกจากช่องจอดรถโดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงจอดลงอย่างมั่นคงข้างๆ หยางเฉิน
ในเวลานี้ ม่อตงซวี่ถึงกับอึ้งไป เขาคิดมาตลอดว่าหยางเฉินเป็นคนยากจน จนกระทั่งรถโฟล์คเภาตันคันนี้ที่มีฟังก์ชันขับรถอัตโนมัติปรากฏขึ้น เขาจึงตระหนักได้ว่า ตัวเองนั้นประเมินหยางเฉินต่ำไป