The king of War - บทที่ 672 ใครควรขอโทษ
และในตอนนั้นเอง ประตูของห้องส่วนตัวถูกเปิดออกจากด้านนอก ชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา ด้านหลังมีคนหนุ่มที่ใส่ชุดสูทเหมือนกันคนหนึ่ง
และด้านหลังพวกเขามีผู้จัดการหวังที่ก่อนหน้านี้เอาเหล้ามาให้อยู่ด้วย
ทว่า ผู้จัดการหวังในตอนนี้หน้าตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ฮ่าๆ ผู้จัดการหวังมาแล้ว เรื่องสนุกจะเริ่มแล้ว” หยางซงหัวเราะลั่นพลางกล่าว
“ผู้จัดการหวัง คุณรีบบอกไอ้คนจนจอมเก๊กนี่หน่อว่าคุณหยางคือคนไหนกันแน่”
หยางซงเป็นฝ่ายเดินไปอยู่ตรงหน้าผู้จัดการหวังและถามด้วยรอยยิ้ม
“เพียะ!”
ผู้จัดการหวังตบไปที่หน้าของหยางซงอย่างแรง เขาพูดด้วยความโกรธจัด “แกเป็นใครวะ ไอ้โง่ที่ไหนเนี่ย บังอาจด่าคุณหยางว่าไอ้คนจน?”
“ผู้จัดการหวัง คุณตบผิดคนแล้ว ผมคือหยางซง ลูกชายของหยางเหว่ยแห่งตระกูลหยาง ในหมู่เพื่อนร่วมรุ่นมีผมคนเดียวที่แซ่หยางนะครับ”
หยางซงโดนตบจนมึนไปหมด มือหนึ่งเขากุมหน้า อีกมือชี้หยางเฉินและพูดกับผู้จัดการหวัง “ไอ้คนจนนี่บอกว่าเขาต่างหากคือคุณหยาง แถมยังพูดอย่างวางท่าว่าคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังเย่ชั่งก็คือเขาเอง”
“ไสหัวไปซะ!”
ผู้จัดการหวังถีบหยางซงออกและเดินมาอยู่ตรงหน้าหยางเฉิน เขาคุกเข่าลงพื้นดัง “ตุ้บ” พูดด้วยหน้าตาผวา “คุณหยาง ขอโทษนะครับ ผมไม่น่าเปิดเผยตัวตนของคุณเลย ผมผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตผมนะครับ ผมสำนึกแล้วจริงๆ”
นาทีนั้น ที่ตรงนี้เงียบสงัด ทุกคนดวงตาเบิกกว้างและจ้องหยางเฉินเขม็ง
ผู้จัดการหวังของเย่ชั่งอันเลื่องชื่อกลับคุกเข่าอยู่แทบเท้าหยางเฉิน เพื่อร้องขอชีวิต?
แถมยังบอกว่าเขาเปิดเผยตัวตนของหยางเฉิน?
หรือว่าที่ก่อนหน้านี้ผู้จัดการหวังเชิญพวกเขามาที่ห้องราชาและนำไวน์ชั้นสูงมาให้สองขวดนั้นเพราะหยางเฉิน?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็หมายความว่าหยางเฉินคือคนใหญ่คนโตที่อยู่เบื้องหลังเย่ชั่งน่ะสิ
“ตุ้บ!”
หลังจากนั้น เฉินเห้าและเฉินอิงเหาก็คุกเข่าลงกับพื้น พร้อมพูดด้วยสีหน้าแตกตื่น “คุณหยาง พวกเราดูแลไม่ได้เรื่องเองครับ ถึงได้เกิดเรื่องที่เปิดเผยตัวตนของคุณ คุณหยางโปรดลงโทษด้วยครับ!”
“ต่อให้ฆ่าผม ผมก็จะไม่ว่าอะไรเลยครับ ขอเพียงคุณหยางให้โอกาสตระกูลเฉินอีกครั้ง” เฉินเห้าแสดงเจตนา
เฉินอิงเหาก็รีบบอก “คุณหยางครับ ถ้าจะฆ่าคุณฆ่าผมเถอะครับ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของผม”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเห้าและเฉินอิงเหา ทั้งหมดถึงสังเกตเห็นสองคนนี้
นึกไปถึงเมื่อกี้ ผู้จัดการหวังตามสองคนนี้เข้ามา เฉินเห้าแทนตัวเองว่าคนตระกูลเฉิน และวันนี้ตระกูลที่เข้ามาแทนตระกูลไช่ก็คือตระกูลเฉิน
นาทีนี้ พวกเพื่อนร่วมรุ่นของซ่งหวาหย่าต่างแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำพูดดูถูกเหยียดหยามที่พวกเขาพูดกับหยางเฉินและซ่งหวาหย่า บัดนี้พวกเขารู้สึกหนาวเหน็บถึงกระดูก ขาสั่นไปหมด
หยางเฉินเอ่ยเรียบๆ “พวกนายไม่ได้ทำอะไรผิด ลุกขึ้นเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน พวกเฉินเห้าต่างรู้สึกเหมือนฝันไป ทีแรกพวกเขาคิดว่าหยางเฉินจะบันดาลโทสะเพราะเรื่องนี้ และไม่ให้ตระกูลเฉินแทนที่ตระกูลไช่อีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าหยางเฉินไม่มีทีท่าจะตำหนิพวกเขาเลย
“ขอบคุณคุณหยางครับ ขอบคุณคุณหยาง”
เฉินเห้ารีบกล่าวขอบคุณและเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น จากนั้นเฉินอิงเห้าก็ลุกตาม
ผู้จัดการหวังลุกขึ้นคนสุดท้าย เขายืนอยู่ด้านหลังเฉินเห้าและเฉินอิงเหาด้วยท่าทีระมัดระวัง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
“เสี่ยวหย่า หยางเฉินเป็นคนใหญ่คนโตเบื้องหลังเย่ชั่งจริงๆเหรอ”
เฉินซิงหรูถามด้วยสีหน้าตะลึง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ซ่งหวาหย่าก็เชื่อคำพูดของหยางเฉิน แต่ตอนนี้นี่เองที่เธอมั่นใจว่าทุกอย่างคือความจริง
เธอยิ้มน้อยๆและพยักหน้า “เมื่อกี้ฉันบอกเธอแล้วไง ในเมื่อพี่หยางบอกว่าเขาคือคนที่เบื้องหลังเย่ชั่ง เขาก็ใช่จริงๆ”
เมื่อได้รับการยืนยันจากซ่งหวาหย่า เฉินซิงหรูยังคงรู้สึกเหมือนฝันไป พอเธอหันมองหยางเฉินอีกครั้งก็พลันรู้สึกใจเต้น
เมื่อกี้ยังไม่รู้สึกว่าหยางเฉินหล่อเลย ตอนนี้ดูยังไงก็หล่อ
เพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆของซ่งหวาหย่าก็อึ้งกันหมดในตอนนี้ แต่ละคนแตกตื่นอยู่ไม่เป็นสุข นาทีนี้ได้แต่ฝากความหวังไว้กับโม่ตงซวี่
ยังไงซะตอนนี้ก็มั่นใจในฐานะของหยางเฉินแล้ว ตอนนี้คนที่พอจะประมือกับหยางเฉินได้มีแต่โม่ตงซวี่และซุนเหม่ยจวน
“คิดไม่ถึงว่าฉันจะมองผิดไปจริงๆ”
ในที่สุดโม่ตงซวี่ก็ปริปาก ทว่าในขณะที่มองหยางเฉินยังคงมีสายตาหยิ่งยโส และเจือแรงอาฆาตไว้ด้วย
หยางเฉินพูดด้วยท่าทีนิ่งๆ “ตอนนี้ยังจะให้ฉันขอโทษนายอยู่มั้ย?”
นาทีนั้น สายตาทุกคนจับจ้องไปที่โม่ตงซวี่
โม่ตงซวี่ขำพรืด “นายคิดว่าแค่เย่ชั่งก็ทำให้ฉันต้องเป็นฝ่ายขอโทษนายเหรอ?”
ซุนเหม่ยจวนก็ลุกขึ้นยืน พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “หยางเฉิน ฉันยอมรับว่าเราประเมินนายต่ำไป แต่แล้วยังไง? ฉันเป็นถึงลูกสาวของผู้นำตระกูลซุน นายอาจหาญคิดจะให้สามีของฉันขอโทษนายเลยรึ นายมีสิทธิ์อะไร?”
พ่อลูกตระกูลเฉินมองโม่ตงซวี่และซุนเหม่ยจวนราวกับกำลังมองไอ้โง่อยู่
ยิ่งรู้จักหยางเฉินมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหยางเฉินนั้นล้ำลึกยากแท้หยั่งถึง
แม้ว่าความสามารถของตระกูลไช่จะไม่เท่าแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู แต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่หรอก
ตระกูลที่แข็งแกร่งขนาดนั้นหายไปจากเยี่ยนตูในค่ำคืนเดียว ธุรกิจมูลค่าหลักแสนล้านกลับขายให้กับหยางเฉินในราคาแค่หนึ่งร้อยล้าน
นี่ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประเด็นคือแม้แต่คนของสมาคมบูโดที่อยู่เบื้องหลังตระกูลไช่ยังโผล่มา ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
“พวกนายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกล้าทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับคุณหยาง”
เฉินเห้าออกตัวโดยไม่ลังเล เขาพูดกับซุนเหม่ยจวนด้วยสีหน้าเย็นชา
“นายล่ะเป็นใคร?”
ซุนเหม่ยจวนพูดอย่างมีน้ำโห
“ฉันคือผู้นำตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินของเรานี่แหละที่แทนที่ตระกูลไช่” เฉินเห้ากล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเห้า ซุนเหม่ยจวนมีสีหน้าย่ำแยลงเล็กน้อย ในฐานะลูกสาวผู้นำตระกูลซุน เธอย่อมรู้ดีว่าตระกูลไช่เป็นยังไง
ต่อให้เป็นพ่อของเธอซุนซวี่ก็ไม่กล้ามีเรื่องกับไช่หวง ผู้นำตระกูลไช่ง่ายๆหรอก
บัดนี้ตระกูลเฉินแทนที่ตระกูลไช่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าความสามารถของตระกูลเฉินนั้นอยู่เหนือตระกูลไช่
ในเมื่อเฉินเห้าคือผู้นำตระกูลเฉิน ถ้าอย่างนั้นสถานะของเขาย่อมสูงกว่าสถานะของไช่หวงในเมื่อก่อน
ทว่าคนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้กลับต้อยต่ำเหลือเกินเมื่ออยู่ต่อหน้าหยางเฉิน เมื่อกี้ถึงกับคุกเข่าแทบเท้าหยางเฉินเพื่อร้องขอชีวิตอีกด้วย
ส่วนเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆของซ่งหวาหย่ากล้าพูดอะไรอีกเสียที่ไหน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
สำหรับพวกเขา นี่คือสงครามระหว่างเทวดา พวกเขาหนีไปให้ได้ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี
“ต่อให้ตระกูลเฉินแทนที่ตระกูลไช่แล้วยังไง? พวกนายคงยังไม่รู้สินะว่าสมาคมบูโดอยู่เบื้องหลังตระกูลไช่”
ทันใดนั้นซุนเหม่ยจวนก็หัวเราะออกมาเย็นๆ “พวกนายบังอาจยุ่งกับตระกูลที่สมาคมบูโดเป็นคนปั้นขึ้นมา พวกนายคงไม่คิดว่าสมาคมบูโดจะไม่เอาเรื่องพวกนายหรอกนะ”
“ถ้าฉันบอกเธอว่าสมาคมบูโดมาเอาเรื่องฉันแล้วตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ?” หยางเฉินเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง