The king of War - บทที่ 684 คนตระกูลเซวมาถึง
เห็นจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางกำลังจะจากออกไป ซูเฉิงอู่ร้อนรนขึ้นมา
เขารีบถลันออกไปขวางหน้าทั้งสองคน พูดว่า “ผู้นำจิน ผู้นำเหลียง พวกท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ถ้าหากท่านจากไปแบบนี้ เกรงว่าในสามมณฑลนี้ จะไม่มีกลุ่มตระกูลแนวร่วมที่จะต่อต้านตระกูลเซวได้อีกแล้ว”
“ผู้นำซู ท่านก็เห็นแล้ว หานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานพูดกันว่ายังไง?”
“พวกเขาเอาแต่คุยโวกันไป คงจะได้เปิดศึกกับตระกูลเซวเป็นแน่แล้วมั้ง?”
“พวกเรากับพวกเขา ยังไงก็ไปทางเดียวกันไม่ได้ ขืนคุยกันต่อไป ก็จะเสียเวลาเปล่า ไม่สู้รีบกลับไปตอนที่ตระกูลเซวยังไม่ทันได้ไปหนันหยังและตงหลันของพวกข้า จะได้หาวิธีรวมตระกูลมหาเศรษฐีสองเมืองของพวกข้าก่อน”
จินจื้อหมิงพูดไป สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
เหลี่ยงเหวินคางก็ว่า “ใช่เลย ตัดเจียงผิงออกไป พวกเราตงหลันกับหนันหยังก็ใช่ว่าจะต้านรับตระกูลเซวไม่ไหว”
“ผู้นำกวน ผู้นำหาน ยังไงพวกเราก็ยังคงต้องรวมกันไว้ แบบนี้จะได้มีอำนาจต่อรองพอที่จะเจรจากับตระกูลเซวได้ เต็มที่สุด ๆ พวกเรายอมให้ตระกูลเซวมาขยายกิจการในสามมณฑลก่อนในช่วงนี้ หากต่อไปตระกูลเซวมีอะไรตุกติก พวกเราค่อยคิดอ่านทำการเปิดศึก”
ซูเฉิงอู่รีบมองไปที่กวนเจิ้งซานกับหานเซี่ยวเทียนแล้วพูด
กวนเจิ้งซานพูดเรียบ ๆ ไปว่า “รอให้ตระกูลเซวได้ครอบครองตระกูลเศรษฐีส่วนใหญ่ในสามมณฑลแล้ว ท่านคิดว่าเราร่วมมือกันตอนนั้น ยังมีความหมายอีกหรือ?”
“ถึงตอนนั้นเกรงว่าตระกูลเซวถึงจะไม่ออกหน้า เพียงแค่ให้พวกตระกูลเศรษฐีพวกนั้นร่วมมือกัน ก็พอต่อต้านพวกเราได้แล้ว”
ซูเฉิงอู่เคยได้คิดตรองถึงเรื่องการเปิดศึกทีหลังเสียที่ไหน?
เขามีแต่คิดว่าจะทำให้ตระกูลกวนกับตระกูลหานหยุดลงมาก่อน อย่าน้อยให้ข้ามอุปสรรคเบื้องหน้านี้ไปก่อน
มิฉะนั้นแล้ว ถ้าเปิดศึกกันขึ้นมา เจียงผิงเป็นด่านรับหน้าเต็ม ๆ ตระกูลซูก็อยู่ในเจียงผิง ถึงเวลานั้นก็ต้องรับผลเกี่ยวพันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ออก
เวลานี้ มีแต่ต้องเอาตระกูลเหลียงกับตระกูลจินรวมเข้ามาด้วยกัน จึงจะผ่านพ้นอุปสรรคครั้งนี้ไปได้
แน่นอน นี้เป็นเพียงความคิดอ่านของซูเฉิงอู่เท่านั้น
“ซูเฉิงอู่ ถ้าหากท่านกลัว งั้นก็รีบไสหัวไปเลย!”
หานเซี่ยวเทียนให้รู้สึกรำคาญ พูดเสียงเย้ย ๆ ออกไป “ทว่า หากพวกเราจัดการเรื่องกับตระกูลเซวเรียบร้อยแล้ว พวกแกไม่ต้องคิดเข้ามาชุบมือเปิบเลยนะ!”
“ก่อนหน้านี้ แกก็ได้พึ่งอิทธิพลของคุณหยางไปไม่น้อย จนพาตระกูลซูขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีได้ในอันดับที่สามของเจียงผิง หลังจากผ่านเรื่องครั้งนี้ไปแล้ว ถ้าหากแกขืนเอาอิทธิพลของคุณหยางไปใช้เพื่อตระกูลซูอีกละก้อ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วนะ!”
กวนเจิ้งซานก็พูดขึ้นมาบ้าง “คุณตอนนี้ไม่ก็อยู่ รับมือกับตระกูลเซวกับพวกเรา หรือไม่ก็ออกไป แล้วต่อไปก็อย่าได้มาอ้างชื่อของคุณหยางในการทำธุรกิจอีก มิฉะนั้นตระกูลกวนเราก็จะไม่ปล่อยพวกคุณตระกูลซูเป็นแน่”
สี่ตระกูลสุดยอดมหาเศรษฐีแห่งเจียงผิง ตระกูลเฉินได้ย้ายฐานธุรกรรมออกไปจากเจียงผิงแล้ว ขณะนี้ก็คงเหลือตระกูลหานกับตระกูลกวน ยังมีตระกูลซูด้วยที่เป็นใหญ่อยู่
ตอนนี้ สองในสามตระกูลมหาเศรษฐี ร่วมกันออกเสียง กดดันใส่ตระกูลที่สาม กับซูเฉิงอู่นี้เป็นแรงกดดันที่หนักหนามากจริง ๆ
ในเวลานั้นเอง ซูเฉิงอู่ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไปก็ไม่ได้ ไม่ไปก็ใช่ที่
ตระกูลอวี๋เหวินกำชับเขาว่าไม่ว่าเวลาไหน ต้องให้ความเชื่อมั่นในหยางเฉินอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่โดยที่แท้แล้วเขาไม่เคยทำได้
“ผู้นำซู ในเมื่อตระกูลหานกับตระกูลกวนไม่ต้อนรับคุณขนาดนี้ พวกเราตระกูลจินยินดีต้อนรับคุณเข้าไปอยู่หนันหยัง ขอเพียงตระกูลซูตกลงไป ตระกูลซูก็คือมหาเศรษฐีอันดับสองของหนันหยัง”
จินจื้อหมิงเห็นท่าทีลังเลของซูเฉิงอู่ จึงพูดไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เหลี่ยงเหวินคางก็รีบพูด “ตระกูลเหลียงก็ยินดีต้อนรับตระกูลซูเข้าอยู่ตงหลัน คุณจะได้เป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับที่สองในทันทีเช่นกัน”
ตระกูลจินเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของหนันหยัง ตระกูลเหลียงเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของของตงหลัน
เวลานี้ สองตระกูลมหาเศรษฐีต่างมณฑล ต่างแย่งกันโยนช่อมะกอกให้ซูเฉิงอู่ ชั่วเวลาขณะเดี๋ยวนั้นทำให้จิตใจซูเฉิงอู่ยิ่งปั่นป่วนไปใหญ่
กิจการของตระกูลซู แม้พื้นฐานล้วนอยู่ในเจียงผิง แต่ก็เป็นการลงทุนของเขาเองในเจียงผิง ถ้ามีการไปปักหลักต่างมณฑล ดำเนินกิจการของตระกูลซูต่อเนื่อง
อนาคต ตระกูลซูก็มีทางที่จะยิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นไป
ทว่า ตระกูลอวี๋เหวินได้กำชับอย่างชัดเจนแล้ว ให้เขาต้องเชื่อถือหยางเฉินอย่างไม่มีเงื่อนไข และจะต้องสนับสนุนหยางเฉิน ถ้าเขาย้ายตระกูลซูไปหนันหยังหรือตงหลันจริง แล้วจะให้คำตอบกับตระกูลอวี๋เหวินยังไง?
คิดไปคิดมา ซูเฉิงอู่ยังคงต้องตัดสินใจอยู่เจียงผิง ไม่ใช่เพราะหยางเฉิน แต่เพราะตระกูลอวี๋เหวิน
จากไปเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือตระกูลเซวได้ แต่เป็นที่แน่เลยก็คือ ถ้าเขาไปจากเจียงผิง ตระกูลอวี๋เหวินจะต้องตัดเขาทิ้งทันที
สำหรับตระกูลซูแล้ว เป็นความหายนะอย่างรุนแรง
“ขอบคุณน้ำใจของท่านผู้นำทั้งสองตระกูล ตระกูลซูเราได้ฝังรากลึกมั่นอยู่ในเจียงผิงแล้ว ที่นี่คือบ้านของพวกเรา ผมคงต้องอยู่ที่นี่แหละ!”
ซูเฉิงอู่เอ่ยปากพูด
ได้ยินเขาพูดมา จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างทำสีหน้าผิดหวัง ก็ไม่รบเร้าต่อ
หานเซี่ยวเทียนหัวเราะเยือก ๆ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เสียงหัวเราะเยือก ๆ นี้ ก็ได้แสดงออกในความไม่พอใจอย่างรุนแรง
กวนเจิ้งซานก็มีสีหน้าดูเหยียด เห็นชัดว่าเมื่อครู่นี้ซูเฉิงอู่ลังเลไปอยู่พักหนึ่ง ในเมื่อไม่กล้าแสดงออกว่าจะอยู่ในทันที นั้นก็คือมีใจทรยศ
หยางเฉินกลับไม่รู้สึกใส่ใจแม้แต่น้อย กับความสัมพันธ์ที่มีในตระกูลอวี๋เหวินก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่มีความประทับใจกับตระกูลซูสักเท่าไหร่ เวลานี้ความเข้าใจผิดกับตระกูลอวี๋เหวินก็คลี่คลายแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้มีความรู้สึกผูกพันอะไรกับตระกูลซู
ซูเฉิงอู่ก็ไม่ได้จัดเป็นคนเลวร้าย เพียงแต่เห็นแก่ได้ในผลประโยขน์มากเกินไป ไม่ว่ากรณีใด ๆ ต้องคิดคำนึงถึงผลการได้เสียของตัวเองก่อน
หยางเฉินไม่ได้ถึงกับเกลียดคนประเภทนี้ แต่ก็จะไม่ให้คนพวกนี้ทำงานให้
ซูเฉิงอู่ก็รับรู้ถึงความไม่พอใจในตัวเขาจากหานเซี่ยวเทียนและกวนเจิ้งซาน เขาก็ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ แล้วกลับนั่งลงที่เดิม พูดยิ้ม ๆ ไปว่า “ในเมื่อผู้นำตระกูลหานกับผู้นำตระกูลกวนต่างก็ตัดสินใจกันดีแล้ว ถ้าตระกูลเซวไม่ยอมรับการเจรจาก็เปิดศึก เสียงข้างน้อยขอรับฟังเสียงข้างมาก ผมเห็นด้วยครับ!”
ซูเฉิงอู่ฉลาดมาก ตระกูลซูเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับสามของเจียงผิง ถ้าตระกูลกวนกับตระกูลหานถูกถล่มล่มสลายไปจริง ตระกูลซูก็ไม่รอดเหมือนกัน ในเมื่อเปลี่ยนการตัดสินใจของกวนเจิ้งซานกับหานเซี่ยวเทียนไม่ได้ มันก็ได้แต่ต้องยอม
“ดีละ ในเมื่อตระกูลซูก็ตกลงแล้ว ก็สรุปกันแบบนี้เลย คุยกับตระกูลเซวก่อน คุยไม่รู้เรื่อง ก็เปิดศึก”
กวนเจิ้งซานเอ่ยปากพูด
“ตกลง!”
หานเซี่ยวเทียนก็ตอบรับ
ถกเถียงกันเสียนาน สามตระกูลมหาเศรษฐีแห่งเจียงผิง มีความเห็นตกลงกันเป็นเอกฉันท์
“วันนี้ก็ถือเสียว่าพวกเราทำเป็นมีน้ำใจไปเอง บอกก่อนว่าถ้าพวกคุณแพ้ ก็อย่าคิดกลับมาขอเป็นแนวร่วมกับพวกเรานะ ตอนนั้นมันสายเกินไปแล้ว!”
เหลี่ยงเหวินคางกวาดสายตามองไปทั่ว ยิ้มอย่างเย้ยหยันแล้วพูด
จินจื้อหมิงก็หยีตาพูดว่า “หวังว่าท่านจะไม่คิดเสียใจภายหลังนะ!”
“พวกเราจะร้องไห้หรือหัวเราะ ก็ไม่รบกวนพวกท่านต้องมากังวลด้วยหรอก!”
กวนเจิ้งซานโบกมืออันหนาใหญ่ “ส่งแขก!”
ในขณะนั้นเอง เงาร่างสองเงา ก้าวเดินเข้ามาในฉับพลัน คนนำหน้ามาเป็นคนหนุ่มวัยประมาณสามสิบ และที่ตามมาข้างหลัง เป็นชายวัยกลางคนในชุดสามัญชนโบราณ
“ที่แท้พวกท่านก็อยู่ด้วยกันทั้งหมดเลยนะ!”
คนหนุ่มหัวเราะเหอ ๆ พลางพูดว่า “นั่นก็ดีทีเดียว จะได้ไม่ต้องให้ข้าไปหาถึงแต่ละตระกูลด้วยตัวเอง”
มองเห็นคนที่มา ผู้นำตระกูลมหาเศรษฐีทั้งห้า ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปพร้อมกัน
“เซวข่าย!”
คนหนุ่มที่เอ่ยปากพูดเมื่อครู่นี้ ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือญาติสายตรงของตระกูลเซว ผู้เป็นตัวแทนตระกูลเซว มาเพื่อรับการสวามิภักดิ์จากห้าตระกูลมหาเศรษฐี
แม้จะมากันเพียงสองคน แต่ก็ทำให้ห้าผู้นำตระกูลมหาเศรษฐี ต่างรู้สึกมีความกดดันอย่างมหาศาล