The king of War - บทที่ 685 จะรับแต่หมาตาย
ท่ามกลางสายตาฝูงคน เซวข่ายเดินหน้าตาระรื่นชื่นบานเข้ามา มุ่งตรงเข้าไปข้าง ๆ กวนเจิ้งซาน ยิ้มยียวน ถามว่า “ท่านผู้นำกวน คิดใคร่ครวญแล้วเห็นเป็นยังไง?”
เพียงสองคนก็กล้าเข้ามาบ้านตระกูลกวน บ่งชัดได้ว่าเซวข่ายเป็นคนที่ตระกูลเซววางความมั่นใจไว้อย่างสูง
ผู้แข็งแกร่งวัยกลางคนที่เขาพามาด้วย ยืนตระหง่านอยู่ข้างหลัง ดูยังกับหอคอยเหล็ก ใบหน้าถมึงทึง
แม้มีแค่สองคน แต่กลับทำให้ผู้นำตระกูลทั้งห้า ต่างรู้สึกถึงมีแรงกดดันมหาศาล
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางรู้สึกอึดอัดอย่างหนัก จะไปก็ไม่ใช่ จะกลับเข้ามาก็ใช่ที่ เลยยืนกันอยู่ที่หน้าประตู แววตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
โถงรับแขกที่ใหญ่โต เงียบสงัด สายตาของทุกคน หยุดลงตรงเซวข่ายพร้อม ๆ กัน
กวนเจิ้งซานสูดหายใจลึก ๆอย่างเงียบ ๆ พยายามฝืนใจตัวเองให้สงบนิ่ง แล้วจึงพูดว่า “คุณชายข่าย จะให้พวกเราสวามิภักดิ์ตระกูลเซว เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้หรอก!”
ในเมื่อได้ตัดสินใจเชื่อมั่นในหยางเฉินแล้ว กวนเจิ้งซานก็ปล่อยใจได้เต็มที่
พอเขาพูดประโยคนี้ออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าเซวข่ายชงักแข็งทื่อในทันที เหมือนคิดไม่ถึงอย่างแรงว่าตระกูลกวนกล้าปฏิเสธการยอมสวามิภักดิ์
แต่ก็เพียงชั่ววูบเดียว นับว่าสุขภาพจิตของเซวข่ายดีเอามาก ๆ ทันทีนั้นบนใบหน้าก็ได้ย้อนนำเอารอยยิ้มเดิมกลับมา
คนที่ไม่รู้ คงยังเห็นว่าพวกเขาอยู่กันอย่างชื่นมื่นอะไรปานนั้น
“ดูแล้ว ที่พวกคุณชุมนุมกันที่นี่ในวันนี้ คงไม่ใช่ปรึกษาว่าจะสวามิภักดิ์ตระกูลเซวยังไง แต่เป็นการหารือว่าจะต่อต้านตระกูลเซวของข้ากันถึงที่สุดละสิ?”
เซวข่ายพูดด้วยเสียงหัวเราะ สายตากวาดมองหน้าผู้นำทั้งห้าตระกูล
แต่ละคน พอถูกมองจากสายตาของเซวข่าย ต่างสะท้านสั่นกันอย่างไม่รู้ตัว
อายุน้อย ๆ แค่นี้ ก็ดูมีอานุภาพขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ฝ่ายนั้นมาในฐานะยิ่งใหญ่เอามาก ญาติสายตรงตระกูลเซวหนึ่งในสี่ตระกูลหลวง การมาของเขา ก็คือฐานะตัวแทนตระกูลเซว
ตอนนี้ พวกเขาไม่ได้คุยกับเซวข่าย แต่กำลังคุยกับตระกูลเดอะคิง
“คุณชายข่าย ท่านอย่าเข้าใจผิดนะครับ พวกเราไม่ได้มีการหารือเรื่องต่อต้านตระกูลเซวเลยอย่างเด็ดขาด ต่อให้ใส่ความกล้าลงไปอีกสิบเท่า พวกเราก็ไม่มีใครกล้าหรอกครับ!”
จินจื้อหมิงรีบ ๆ เอ่ยปากพูด รอยยิ้มบนใบหน้า ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าคนร้องไห้
เหลี่ยงเหวินคางก็ดึงสติกลับมา รีบพูดว่า “ตระกูลเซวให้ไปอยู่ตรงไหนทั่วทั้งประเทศ ก็เป็นตระกูลมหาเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเราถึงจะถูกเรียกว่าตระกูลเศรษฐี แต่เทียบกับตระกูลเซวแล้ว พวกเราไม่ใช่อะไรสักอย่าง”
“พวกคุณพูดได้ไม่ผิด เทียบกับตระกูลเซว พวกแกมันก็คือขยะ!”
เซวข่ายยิ้มกวน ๆ พูดว่า “ขยะที่โยนทิ้งได้ทุกขณะ พวกแกเข้าใจไหม?”
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางต่างรู้สึกเนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ไหนเลยจะกล้าพูดคำว่าไม่?แย่งกันผงกหัว “คุณชายข่ายพูดถูกเลยครับ!”
เดิมที พวกเขาก็ยังมีคิดอยู่ว่าจะกลับไปรวมกลุ่มเศรษฐีตระกูลอื่น ๆ เพื่อหาแนวช่องทางเจรจา
แต่มาถึงตอนนี้ พวกเขาสัมผัสรู้แล้ว เซวข่ายนั้นแกร่งกล้ามาก อย่าว่าแต่รวมหนันหยังและตงหลันสองมณฑล ต่อให้เพิ่มตระกูลมหาเศรษฐีทั้งสามตระกูลในเจียงผิงเข้ามาให้หมด ก็ยังไม่กล้าขอเจรจากับเซวข่ายเลย!
ฝ่ายนั้นเป็นถึงตัวแทนตระกูลเซวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลเดอะคิง ขืนไปคุย จะไม่เป็นการรนหาที่ตายหรือ?
ซูเฉิงอู่ก็ยิ่งผวากลัวจนไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้สักคำ นั่งหลบอยู่ด้านข้าง หายใจยังไม่กล้ามีเสียง
กวนเจิ้งซานแม้จะเครียดอยู่มาก แต่มีหยางเฉินอยู่ข้าง ๆ เขาก็ยังรู้สึกผ่อนคลายอยู่มาก
ในห้าผู้นำตระกุลมหาเศรษฐี ก็คงมีหานเซี่ยวเทียนที่รู้ฐานะศักดิ์ของหยางเฉิน มองไปที่เซวข่ายอีกที สีหน้าไม่มีแววที่จะกลัว
“ข้าพูดว่าตระกูลพวกแกทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ล้วนเป็นขยะ แกไม่ยอมหรืองัย?”
ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความโกรธในแววตาหานเซี่ยวเทียน เซวข่ายยิ้มกวน ๆ มองถามไปที่หานเซี่ยวเทียน
หานเซี่ยวเทียนพูดเสียงเยือก “ก็เพราะตระกูลพวกข้าด้อยกว่าตระกูลเซว ตระกูลพวกข้าเลยต้องเป็นขยะงั้นหรือ?”
“มีปัญหารึงัย?” เซวข่ายถามด้วยเสียงหัวเราะ
“ถ้าจะว่ากันตามหลักภาษาที่แกพูด ถ้างั้นพวกตระกูลที่แข็งแกร่งกว่าหรือมีอิทธิพลเหนือกว่าตระกูลเซว ตระกูลเซวในสายตาพวกเขา ก็คงแค่ขยะนะ?”หานเซี่ยวเทียนลอยหน้าลอยตาพูด
ได้ยินที่พูด อีกสี่ผู้นำตระกูล ต่างตะลึงงง หานเซี่ยวเทียนปากกล้าแบบตายเป็นตายขนาดนี้เลยหรือ กล้าขนาดว่าคนตระกูลเซวซึ่ง ๆ หน้า ว่าตระกูลเซวก็เป็นแค่ขยะ?
แม้นจะแค่เปรียบเปรย แต่นั่นก็เป็นการหมิ่นประมาทใส่ตระกูลเซว!
“แกรีบร้อนจะไปตายขนาดนี้เลยหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซวข่ายหายไปในที่สุด ไม่ปิดบังถึงความใคร่ในการมุ่งฆ่า
ผู้แข็งแกร่งที่ยืนข้างหลัง ความคิดฆ่าก็ครุกรุ่นเต็มรอบตัว สายตาที่มองหานเซี่ยวเทียน เหมือนได้มองเห็นคนที่ตายไปแล้ว
“นี่คงบันดาลโทสะเพราะอายที่คนรู้ไต๋แล้วสินะ?”
หานเซี่ยวเทียนไม่ยอมสยบ ยิ้มอย่างเย้ยหยันพร้อมกับถามไป
ทำอวดเบ่งท้าตีกันต่อหน้าผู้รักษาดินแดนเหนือ คนที่รนหาที่ตายคงไม่ใช่หานเซี่ยวเทียน
“หานเซี่ยวเทียน ไอ้แก่อย่างแกนี่ รีบหุบปากเหม็น ๆ ของแกซะ!คุณชายข่ายเป็นถึงผู้แทนของตระกูลเซว แกก็ยังกล้าหมิ่นประมาทอีก?”
“ข้าทนแกมาตั้งแต่แรกแล้วนะ ไอ้แก่เดนตายที่ใกล้จะเอาลงฝังแล้ว ยังกล้าหมิ่นประมาทตระกูลเซว อยากตายนัก แกก็ควรจะฆ่าตัวตายไปเองได้แล้ว!”
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง เร่งระดมกราดด่าใส่หานเซี่ยวเทียน
ด่าใส่หานเซี่ยวเทียนเสร็จ รีบจัดแจงเล่าเรื่องให้เซวข่ายว่า “คุณชายข่าย ไม่โกหกท่านนะ จริง ๆ แล้วที่พวกผมมากันวันนี้ ก็ตั้งใจมาคุยกัน ปรึกษาหารือว่าจะขอคุยกับท่าน แต่ก็เพราะหานเซี่ยวเทียนกับกวนเจิ้งซานไอ้สองตาแก่บัดซบนี่ รั้นแต่จะไม่ยอมคุยกับท่าน ยังบอกตั้งใจว่าจะเปิดศึกกับท่าน”
“ผมพูดก็พูดนะ พวกเขาก็คือตัวเสนียดของเจียงผิง ขอเพียงคุณชายข่ายสั่งมา ไม่ต้องให้ท่านลงมือหรอก พวกผมตระกูลจินกับตระกูลเหลียงจะลงมือแทนท่านเอง ถล่มตระกูลหานกับตระกูลกวนให้ล่มสลายไปเลย!”
จินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางรีบเสนอหน้า
ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ได้เห็นเซวข่ายนาทีนั้นมา จิตใต้สำนึกพวกเขาก็ให้รู้สึก การคิดจะเจรจากับเซวข่ายทำเป็นโครงการเปิดสาขาในสามมณฑล ไม่มีทางที่จะเป็นได้อย่างแน่แท้
ในฐานะเป็นถึงระดับหนึ่งในสี่ตระกูลหลวง ตระกูลเซวมีหรือจะเปิดแค่สาขาสาขาหนึ่ง?
สู้ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ตระกูลเซวเตรียมจะฮุบเข้าครอบครองตระกูลเศรษฐีทั้งสามมณฑล พวกเขาก็ยอมเข้าสวามิภักดิ์เสียก่อน เพื่อให้เซวข่ายเกิดความรู้สึกที่ดีกับพวกเขา ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ ต่อไปฐานะของตระกูลจินกับตระกูลเหลียงในสามมณฑล ก็คงมีระดับที่สูงขึ้นเป็นแน่
“แค่อาศัยพวกแก?”
เซวข่ายยิ้มตาหยีถามจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วรีบตอบไปว่า “พูดอย่างไม่โกหกคุณชายข่าย พวกเราได้เตรียมพร้อมเปิดศึกอยู่แล้ว เพียงท่านต้องการ พวกผมก็จะจัดกองกำลังถล่มตระกูลกวนก่อนเลย!”
“นี่พวกแกกำลังคิดจะเป็นหมารับใช้ข้าเร๊อะ?”
เซวข่ายคงยังถามไปยิ้ม ๆ
นี่ก็ได้เป็นการสบประมาทจินจื้อหมินกับเหลี่ยงเหวินคางอย่างสุด ๆ แล้ว พวกเขาเป็นถึงมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลมณฑลหนี่งแล้ว เคยหรือที่จะมีเด็กหนุ่มกว่าขนาดนี้กล้ามาสบประมาท?
แต่ฐานะของอีกฝ่าย ดันผ่าอยู่สูงเอามาก ๆ พวกเขาจึงไม่มีความกล้าเลยที่จะปฏิเสธ
“ขอเพียงคุณชายข่ายพอใจ ผมจินจื้อหมินยินยอมเป็นหมารับใช้อยู่ข้าง ๆ ตัวท่านนี่แหละ โฮ่ง ๆ ๆ!”
จินจื้อหมิงพูดพลาง อีกยังทำเสียงเห่าเป็นหมาไปด้วย
เหลี่ยงเหวินคางก็ไม่ยอมอ่อนข้อ รีบพูดแทรกตาม “ผมเหลี่ยงเหวินคาง ก็ยินยอมพร้อมเป็นหมารับใช้อยู่ข้าง ๆ คุณชายข่ายด้วย โฮ่ง ๆ ๆ !”
มองดูสองคนนี้เลียนทำเสียงหมา สีหน้าของหานเซี่ยวเทียนและกวนเจิ้งซานดูยะเยือก ก็เคยเห็นคนที่ไม่มีเส้นขีดจำกัดความต่ำของตัวเองมา แต่ไม่คิดว่าคนที่ไม่ขีดจำกัดความต่ำของตัวเองถึงขนาดนี้ เป็นถึงผู้นำตระกูลมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของหนันหยังกับตงหลันสองมณฑลนี้
ในใจของซูเฉิงอู่ให้รู้สึกทรมานอย่างที่สุด ตอนนี้เขามีความรู้สึกเหมือนกำลังขี่บนหลังเสือ จะให้เขาทำตัวเป็นหมาแบบจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคาง เขาคงยากที่จะทำได้
แต่การตามอยู่ในค่ายเดียวกับพวกหานเซี่ยวเทียน เขาก็กลัวว่าพอตระกูลเซวรับหมาจินจื้อหมิงกับหมาเหลี่ยงเหวินคังสองตัวนั้นไป ก็จะลงมือกับพวกเขา
“คิดอยากจะเป็นหมาของข้า ก็ไม่ใช่จะไม่ได้นะ”
มุมปากเซวข่ายพลันเห็นวงเสี้ยวของการแกล้งหยอกคนเล่นขึ้นมา “แต่ว่า ข้างตัวข้ามีหมาอยู่หลายตัวแล้ว พวกแกอยากเป็น คงเป็นได้แต่หมาสองตัวที่ตายแล้ว!”
ได้ยินที่เซวข่ายพูด สีหน้าของจินจื้อหมิงกับเหลี่ยงเหวินคางถอดสีไปในฉับพลัน พวกเขาจะขอเป็นหมาของเซวข่าย ก็ต้องตายก่อน จึงจะเป็นหมาตายตามต้องการได้
ความหมายของเซวข่ายก็คือ จะฆ่าพวกเขา!