The king of War - บทที่ 712 ตระกูลเฉินเดือดร้อน
ถึงยังงัยก็เป็นพวกกลุ่มอาชีพเกี่ยวข้องกับกลุ่มเน็ตไอดอล เวลาออกไปข้างนอก พวกเน็ตไอดอลระดับยอด ๆ มักจะต้องมีบอดี้การ์ด แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีไว้สร้างภาพให้ดูเท่
ประธานอู๋มองยังไม่มองหวงเหล่ยเอาเลย เดินมุ่งตรงเข้าไปหาเฉินอิงเหา เสียงดัง “ตุบ” คุกเข่าลงกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว “ท่านประธานเฉิน ผมมาช้าไปหน่อย โปรดอภัยให้ผมด้วยครับ!”
เฉินอิงเหาขณะอยู่ต่อหน้าหยางเฉินนั้น เหมือนเด็กเสิร์ฟเล็ก ๆ คนหนึ่ง แต่เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ตระกูลเฉิน ว่าที่ผู้นำตระกูลเฉิน
ในสายตาของพวกประธานอู๋ เฉินอิงเหาคือผู้ยิ่งใหญ่
พอเขาก้าวเข้ามาถึงในห้องพิเศษ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาต้องรู้สึกตกตะลึง
ผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาพวกเขา แม้แต่จะนั่งยังไม่มีฐานะเพียงพอ มือถือป้านชา ยืนอยู่ด้านข้าง
ที่โต๊ะอาหาร นั่งกันอยู่หลายคน แต่ละคนบุคลิกดูสูงส่ง เห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่ธรรมดา
ที่สำคัญ เขาเห็นเฉินซิงไห่ ท่านผู้นี้คือผู้นำตระกูลเฉินที่กำลังดังสุดโต่งในเวลานี้ เขาก็เพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งที่สองในวันนี้เอง
แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เฉินซิงไห่ไม่ได้นั่งในตำแหน่งประธาน แต่นั่งอยู่ด้านข้างคนหนุ่มคนที่นั่งอยู่ในที่ตำแหน่งประธาน
ดูจากตำแหน่งในการนั่ง ระบุได้ชัดเลยว่า ฐานะคนหนุ่มที่นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานท่านนั้น น่ากลัวเป็นเอามาก
ตระกูลเฉินอยู่ในฐานะเศรษฐีอันดับหนึ่งรองจากแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูอยู่แล้ว สามารถให้ผู้นำตระกูลเฉินนั่งในฐานะเป็นเพื่อนข้าง ๆ อีกทั้งมีคุณชายใหญ่ตระกูลเฉินทำหน้าที่รินเติมน้ำคอยให้บริการ เพียงเท่านี้ก็แจงให้เห็นได้ชัดแล้วอยางไม่มีข้อให้กังขาอีก
ประธานอู๋อยู่ในสภาพจิตไม่สบายใจผวากลัวอย่างหนัก เฉินอิงเหาสั่งให้เขาเข้ามาภายในสิบนาที แต่นี่เขาใช้เวลาไปถึงสิบเอ็ดนาที
เฉินอิงเหาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกสุด ๆ “ไอ้คนที่ไว้เปียกระจุกคนนั้นแหละ บอกว่าเป็นคนของบริษัท ยังประกาศว่าจะให้คุณหยางต้องชดใช้เงินให้เขาหนึ่งพันล้าน เรื่องนี้ คุณต้องอธิบายให้ผมฟังหน่อยละ!”
ได้ยินดังนั้น ประธานอู๋ตกใจตัวสั่นไปหมด ไอ้คนนี้มันช่างจะใจกล้ามากจริง ๆ ขนาดออกปากข่มขู่กันเป็นพันล้าน
ที่สำคัญ คนที่ถูกข่มขู่ที่เฉินอิงเหาพูดถึงนั้น ถูกเรียกด้วยความเคารพว่าคุณหยาง
ภาพที่ประธานอู๋พอเจอหน้าเฉินอิงเหาแล้วรีบคุกเข่าลงรับผิด ก็เป็นการบ่งชี้ชัดแล้วว่า เฉินอิงเหาก็คือประธานผู้จัดการใหญ่ของบริษัทผู้จัดการเน็ตไอดอลอิงเหา
กลุ่มคนที่สวีเหว่ยไฉเรียกมา ตอนนี้ต่างก็เงียบตะลึงยืนงง
โดยเฉพาะหวงเหล่ย ยิ่งตื่นกลัวไม่สบายใจ เขาเป็นเพียงคว้าจับเอาคนดังตัวเล็ก ๆ ในเน็ต แล้วก็วางตัวเป็นผู้จัดการเน็ตไอดอล แล้วก็มาเกาะขอร่วมมือกับบริษัทผู้จัดการเน็ตไอดอลอิงเหา
พูดได้ว่า ถ้าไม่ได้มีบริษัทของเฉินอิงเหา เขาก็คือเศษขยะ
ตอนนี้ เขามากระทบเอาเฉินอิงเหาผู้เป็นเทพเจ้าใหญ่องค์นี้เข้าให้ แถมเมื่อครู่นี้ยังด่าใส่ไปอีก
ไม่เพียงแต่แค่นั้น ยังมีตาแก่คนนั้นที่เรียกตัวเองว่าเฉินซิงไห่นั่น หรือว่า ตาแก่คนนั้นก็คือผู้นำแห่งตระกูลเฉินตัวจริง?
ถ้าหากไม่ใช่ แล้วทำไมเฉินอิงเหาต้องไปยืนคอยเสิร์ฟน้ำร้อนน้ำชา?
หวงเหล่ยยิ่งคิดยิ่งกลัว ตัวเริ่มสั่นอย่างสุดห้าม
ขาของเขาอ่อนลงทั้งคู่ ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านประธานเฉิน ขออภัยด้วย ผมผิดไปแล้ว ตาผมนั้นไม่มีแววจริง ๆ ไปกระทบกระทั่งท่าน ขอท่านได้โปรดอย่าได้ใส่ใจกับคนไร้สาระนี้เลย ให้ถือเสียว่าผมเป็นแค่ลมตด ปล่อยผมไปเถอะนะครับ!”
ประธานอู๋เดินตรงเข้าหา ยกขาถีบหวงเหล่ยล้มลงอยู่กับพื้น ตะคอกใส่ด้วยความโมโห “มึงแม่งขนาดกล้ากระทบกระเทือนไปถึงท่านประธานเฉิน มึงยังหวังหรือว่าเก็บชีวิตมึงได้?”
เฉินอิงเหาเดินตรงเข้าไปหา ยกขาเหยียบไปที่หน้าอกหวงเหล่ย ยืนก้มมองไปตรงคนที่นอนอยู่กับพื้นพูดว่า “คุณบอกว่า จะให้คุณเฉินจ่ายเงินชดใช้ให้คุณหนึ่งพันล้าน?”
“ไม่ครับ ไม่มีครับ ผมไม่กล้าครับ” หวงเหล่ยรีบตอบปฏิเสธ
“แล้วคุณยังบอกว่า ถ้าผมเป็นเฉินอิงเหา คุณก็คือพ่อของเฉินอิงเหา?”เฉินอิงเหาถามต่อ
หวงเหล่ยตกใจจนฉี่แตก ร้องไห้พลางตอบว่า “ท่านประธานเฉิน ผมมันสาระเลว มีตูดเป็นปาก เมื่อกี้นี้ถึงได้เที่ยวปล่อยตดไม่เลือกที่ ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว ได้โปรดกรุณายกโทษให้ผมเถอะ”
“เพิ่งจะรู้ผิดตอนนี้? มันสายเกินไปแล้ว!”
เฉินอิงเหาพูดด้วยความโกรธจัด ยกมือขึ้นโบกสั่ง “เอาพวกมันออกไปให้หมด!”
“ครับ!”
ประธานอู๋รีบขานรับ
ในชั่วขณะนั้นเอง บอดี้การ์ดสิบกว่าคนนั้น ตรงเข้าใส่พวกนั้น ชั่วเพียงพริบตาก็จัดการสยบทั้งหมดจับหักแข้งหักขาหามพาออกไป
คงเหลือทิ้งไว้อยู่คือสวีเหว่ยไฉ ฉากที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เห็นอยู่กับตา ตอนนี้สวีเหว่ยไฉขวัญกระเจิงหมดเรี่ยวแรง นั่งงงอยู่กับพื้น
มาถึงขนาดนี้แล้ว ไหนเลยเขาจะกล้าอวดเบ่งศักดาได้ หน้าซีดขาวเซียว เหงื่อแตกท่วมจนหนาว เนื้อตัวสั่นไม่หยุด
“สวีเหว่ยไฉ คนที่คุณสั่งมานั่น ดูเหมือนกับไม่ค่อยพอตัวเลยนะ!”
หยางเฉินหยีตามองสวีเหว่ยไฉแล้วพูด
สวีเหว่ยไฉสะดุ้งเหมือนตื่นจากฝัน ภายในลูกตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่สบายใจ “หยางเฉิน ผมเมื่อตะกี้ก็ลองล้อคุณเล่นนะ ถึงยังไง พวกเราก็เป็นเพื่อนกันตั้งแต่รุ่นมัธยมนะ มีหรือที่ผมจะไปหาคนมาจัดการคุณ?”
“จะโทษก็ต้องโทษไอ้เจ้าบัดซบหวงเหล่ยนั่น ผมก็เพียงติดตามเขาทำเรื่องเกี่ยวกับเน็ตไอดอล พอกิจกรรมออกอากาศเที่ยวนี้ล่ม เขาก็เลยโกรธเอาใหญ่ บังคับให้ผมพาพวกมันมาเพื่อจะจัดการกับคุณ”
“แต่ตอนนี้ หวงเหล่ยกับพวกมันก็ได้ชดใช้กรรมกันอย่างสาสมแล้ว เรื่องนี้ก็คงจะจบลงได้แล้วนะ ใช่นะ?”
หยางเฉินที่นั่งอยู่ ยิ้มตาหยีมองสวีเหว่ยไฉแล้วพูด “คุณบอกว่าจบ ก็จบใช่ไหม?”
สวีเหว่ยไฉตีหน้าขมขื่นพูดว่า “เอาอย่างนี้ก็ได้ คุณดูนะ ผมจะพูดไปก็เป็นเน็ตไอดอลที่มีแฟนคลับอยู่ถึงห้าล้านนะ แล้วเพื่อนของคุณก็เป็นประธานผู้จัดการใหญ่ของบริษัทผู้จัดการเน็ตไอดอลอิงเหา ถ้างั้นก็ให้ผมไปทำงานให้เขา”
“อาศัยชื่อเสียงของผมนะ รับรองว่าจะทำให้บริษัทเพื่อนคุณได้กำไรอย่างมหาศาล ธุรกิจนี้มีแต่ได้กับได้ หยางเฉิน เราก็เป็นเพื่อนนักเรียนเก่าแก่ด้วยกันมา คุณรับปากผมได้แน่ ใช่มั้ย?”
หยางเฉินส่ายหน้า “ไม่ได้!”
เฉินอิงเหาถลันเข้ามายกขาถีบสวีเหว่ยไฉลงไปกองกับพื้น พูดเกรี้ยวกราดใส่ไปว่า “แม่งหน้าใหญ่มากเลยนะมึง?ด้วยสารรูปอย่างมึงนี่นะ กล้ามาเรียกตัวเองว่าเน็ตไอดอลระดับซุปเปอร์?”
“เอามันออกไป!”
หยางเฉินก็ไม่มีอารมณ์ไปสนุกกับสวีเหว่ยไฉต่อ สั่งไปว่า “ตัดแขนตัดขามันทิ้ง ให้มันจบสิ้นกับวงการถ่ายทอดสดของมัน”
“ได้ครับ!”
เฉินอิงเหาผงกหัว บอดี้การ์ดสองนายเข้ามา ซ้ายคนขวาคนลากเอาสวีเหว่ยไฉออกไป
มาถึงวินาทีนี้ สวีเหว่ยไฉจึงรู้สึกตัวได้ว่า ตัวเขาเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ พลันร้อนใจขึ้นมา รีบเอ่ยปากร้องขอกับหยางเฉิน
แตทว่า หยางเฉินไม่รู้สึกร้อนหนาวด้วยแล้ว ไม่นานนัก เสียงของสวีเหว่ยไฉก็ค่อย ๆ เลือนหายไป
ในห้องพิเศษกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง เฉินซิงไห่เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจว่า “คุณหยางครับ ผมเสียใจมากครับที่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อน!”
“ไม่เกี่ยวกับคุณหรอกนะ!”
หยางเฉินส่ายหน้ายิ้ม ๆ พูดขึ้นว่า “เอาละ พวกเราว่ากันต่อ!”
เห็นมีรอยยิ้มขึ้นมบนใบหน้าของหยางเฉิน ทุกคนค่อยหายใจโล่งขึ้น
“ใช่แล้ว ผมได้ยินมาว่า เวลานี้มีหลายกลุ่มตระกูล กำลังเพ่งเล็งตระกูลเฉินของคุณ?”
หยางเฉินจู่ ๆ ก็มองหน้าเฉินซิงไห่แล้วถาม
เฉินซิงไห่ผงกหัว สีหน้าซีดลง เอ่ยปากพูดว่า “ตระกูลเฉินถึงแม้ได้เข้ามาแทนที่ตระกูลไช่ แต่ถึงยังไงพื้นฐานก็ไม่ได้มั่นคงแข็งแรงจริง ในช่วงแรกเริ่ม ก็ยังพอขายผ้าเอาหน้ารอดได้ ไป ๆ มา ๆ นานวันเข้า หลายคนก็เริ่มรู้เบื้องหลังของตระกูลเฉินแล้ว บางตระกูลก็เริ่มด้อยค่าตระกูลเฉินลง คอยจ้องจับผิดในทุกเรื่อง”
หยางเฉินผงกหัวรับรู้ เฉินซิงไห่พูดถูก เดิมทีตระกูลไช่เติบโตขึ้นเป็นอันดับหนึ่งรองจากแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูได้ ก็ด้วยอาศัยสมาคมบูโดเป็นแบคให้ อีกทั้งยืนหยัดอยู่ในเยี่ยนตูมาหลายสิบปีแล้ว รากฐานจึงหนาแน่นมั่นคงเอามาก
แต่ตระกูลเฉิน เป็นแค่ตระกูลที่ย้ายเข้ามาจากเมืองเจียงผิง เพียงเข้ามาเทคโอเว่อร์กลุ่มธุรกิจเดิมของตระกูลไช่ นอกเหนือจากนั้น ไม่มีอะไรจะเทียบเคียงกับตระกูลไช่เดิมได้เลย
“เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณจัดงานเลี้ยงขึ้นมาสักงาน เชิญเอาทุกกลุ่มตระกูลที่จ้องเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเฉินมาให้หมด เคลียร์ปัญหาให้จบเลยในทีเดียว”
หยางเฉินนั่งขรึมไปครู่ใหญ่ พลันก็ได้พูดขึ้นมา