The king of War - บทที่ 716 ขอยืมที่ทางหน่อย
“ไอ้พวกหมาอาศัยบารมีเจ้าของ ทำกล้าดีมาเห่าหอนต่อหน้าคุณหยาง!”
เฉินซิงไห่โกรธพูดใส่อย่างหงุดหงิด
เขานั้นรู้เห็นอยู่ ขนาดผู้แข็งแกร่งมืออันดับสี่ของสมาคมบูโด ยังแพ้กับหยางเฉินมาแล้ว จะมาพูดอะไรกับแค่แปดตระกูลแห่งเยี่ยนจิง?
เฉินซิงไห่ถึงแม้ยังไม่เคยเห็นกับตา กับภาพที่ผู้นำตระกูลทั้งแปดแห่งเยี่ยนตูยืนด้วยความเคารพเบื้องหน้าหยางเฉิน แต่คนระดับเขาที่มาถึงขนาดนี้แล้ว ได้เคยฟังเรื่องราวมาก็มากอยู่
สำหรับอย่างแค่เพียงตระกูลซุน ไม่มีคุณสมบัติพอเลยที่จะมาอวดเบ่งต่อหน้าหยางเฉินได้
ที่รู้จักสถานะของหยางเฉินน้อยที่สุดคือกวนเจิ้งซาน หน้าตาบ่งบอกความกังวลพูดว่า “ท่านผู้นำเฉิน คุณเล่นไล่ตะเพิดเจ้าหงซิงคนนี้ไปแบบนี้ ถ้าคนของตระกูลซุนมา ต่อให้เราร่วมมือกัน ก็ไม่แน่ว่าจะรับมือพวกมันได้นะ ”
เฉินซิงไห่หัวเราะ พูดอย่างเลศนัยแฝงลึกว่า “ตากวนเฒ่า แกต้องมั่นใจในตัวท่านคุณหยางนะ”
ได้ยินดังนั้น กวนเจิ้งซานให้รู้สึกสับสนเป็นพัลวัน รีบอธิบายแก้ตัว “คุณหยางครับ ผมไม่ได้หมายความว่าไม่มั่นใจในตัวท่านนะครับ เพียงแต่ว่าตระกูลซุนก็เป็นหนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู เวลานี้ตระกูลหลีก็รวมหัวกันห้าตระกูล จ้องมาเล่นงานพวกเรา ผมก็รู้สึกร้อนใจอยู่นะ!”
หยางเฉินไม่ได้ใส่ใจกับความกังวลของกวนเจิ้งซาน หัวเราะแล้วพูดว่า “วางใจได้เถอะ มีผมอยู่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะต้องไม่มีให้เกิด”
หานเซี่ยวเทียนก็หัวเราะพูดว่า “เฒ่ากวนเอ๋ย เฒ่าเฉินเขาพูดถูกแล้วนะ มีคุณหยางอยู่ แกก็วางใจลงไปทั้งสิบใจได้เลยถ้ามีถึง”
เห็นหานเซี่ยวเทียนพูดไปขนาดนั้น กวนเจิ้งซานก็ให้สำนึกได้ว่า ตัวเขาเองรู้จักหยางเฉินน่าจะยังไม่ลึกซึ้งพอ ความรู้สึกไม่สบายใจ ก็ค่อยคลี่คลายลงจนหมดไป
“คุณพ่อ แขกที่เชิญเข้ามากันครบหมดแล้ว ท่านจะเข้าไปเมื่อไหร่ครับ?”
ทันใดในขณะนั้น เฉิงเห้าได้เข้ามารายงาน
เฉินซิงไห่เหลือบตามองดูเวลา ได้เที่ยงสิบสองนาฬิกาแล้ว
เขาเตรียมจะลุกขึ้น กลับถูกหยางเฉินขวางไว้ “ไม่ต้องรีบร้อน ปล่อยให้พวกมันรอไปก่อน!”
ได้ยินที่หยางเฉินพูด เฉิงซิงไห่เข้าใจแจ้งขึ้นมาทันที หัวเราะแล้วพูดว่า “คุณหยางตั้งใจจะตัดไม้ข่มนามกับพวกมัน?”
หยางเฉินหัวเราะ ไม่พูดอธิบายอะไร
เวลาในขณะนั้น ภายในห้องโถงงานเลี้ยงคฤหาสน์ตระกูลเฉิน ก็ได้มีคนนั่งกันเต็ม
ผู้นำห้าตระกูลอันมีตระกูลหลีเป็นหัวหน้า ต่างนั่งล้อมอยู่ในกลุ่มด้วยกัน ข้างหลังของแต่ละคน ก็ตามด้วยลูกหลานของตระกูลกับพวกยอดฝีมือ
“ตระกูลเฉินนี่มันยังงัย?ป่านนี้ก็สิบสองโมงแล้ว ทำไมยังไม่เห็นหัวผู้นำตระกูลเฉินวะ?”
หลีเจ๋อผู้นำตระกูลหลีที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม พูดออกมาด้วยความโกรธ
“นั่นสิ ตระกูลเฉินบอกว่าจัดเลี้ยงพวกเราเพื่อขอคุยงานใหญ่ แต่กลับให้พวกเรานั่งแช่แห้งไว้ที่นี่ มันไม่ให้เกียรติกันเลยนี่หว่า!”
“ผู้นำเฉินอยู่ไหนกัน รีบ ๆ ให้มันออกมาโดยเร็วเลย!”
“ถ้าขืนตระกูลเฉินไม่ให้เกียรติกันแบบนี้ อย่าหาว่าพวกเราเสียมารยาทแล้วนะเว้ย”
……
ในห้องโถงงานเลี้ยง เสียงโวยวายดังกันระงม ผู้นำตระกูลทั้งห้าตระกูล ต่างมีสีหน้าขุ่นเคือง
ทว่า ในห้องโถงงานเลี้ยง มีเพียงคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรทำหน้าที่คอยรับรองดูแล คนมีระดับในตระกูลเฉิน ไม่มีให้เห็นกันเลย
เฉินซิงไห่ยิ่งยังไม่ยอมปรากฏตัว ก็ยิ่งทำให้คนในห้าตระกูลยิ่งรู้สึกเครียด
พวกเขาแม้จะมีการตกลงกันแล้วว่า จะร่วมมือกันจัดการกับตระกูลเฉิน แต่ก็แค่เพียงเตรียมตัวพร้อมที่จะลงมือตามสถานะการณ์เฉพาะหน้า
ถ้าหากว่าตระกูลเฉินยอมประนีประนอม พวกเขาก็ไม่อยากจะลงมือ
ถึงแม้ว่า มีข่าวคุยลือกันทั่วเยี่ยนตู ว่ากันว่าตระกูลเฉินที่เข้ามาแทนที่ตระกูลไช่ก็จริง แต่ไม่มีความสามารถในระดับสูงจริงเท่าที่ตระกูลไช่เคยเป็น ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงร่ำลือกันว่าเบื้องหลังตระกูลเฉินมีคนระดับผู้ยิ่งใหญ่สนับสนุนอยู่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ตระกุลเฉินแข็งกล้ามาก มิฉะนั้นคงไม่สามารถใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน เข้ายึดครอบครองแทนที่ตระกูลไช่ได้
“ท่านผู้นำหลี ตระกูลเฉินคิดจะทำอะไรของเขากันแน่นะ?ผมรู้สึกทะแม่งทะแม่งยังไงไม่รู้?”
จู่ ๆ ก็มีผู้นำตระกูลคนหนึ่งถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
“ใช่สิ ผมก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ ตระกูลเฉินเชิญแต่เพียงพวกเราห้าตระกูล ดูเหมือนมองพวกเราห้าตระกูลนี้มีความสัมพันธ์กันสนิทด้วยกันดีมาก”
ผู้นำตระกูลอีกคนหนึ่งเอ่ยปากพูดบ้าง
“แน่นอนอยู่แล้วว่าตระกูลเฉินต้องรู้ดี รู้ว่าพวกเรามีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แล้วในเมื่อรู้อยู่ ทำไมยังกล้ามาเชิญเฉพาะแต่พวกเรา จะไม่กลัวพวกเราชิงลงมือหาเรื่องใส่ตระกูลเฉินเลยหรือ?”
“ตระกูลเฉินคงไม่ใช่จะรู้แล้วนะว่าพวกเราจะลงมือกับเขา แล้วได้จัดเตรียมการของพวกเขาไว้แล้ว?”
“ท่านผู้นำหลี หรือไม่พวกเรากลับไปกันก่อนเถอะ?”
ผู้นำต่าง ๆ ตระกูลอื่น พากันออกความเห็นกัน
ใบหน้าของทุกคน ต่างก็แสดงออกในความกังวล
หลีเจ๋อมีสีหน้าออกไม่น่าดู เดิมทีเข้าใจอยู่ว่าการรวมกลุ่มพันธมิตรในครั้งนี้ จะสามัคคีกันอย่างยิ่งยวด ถึงจะไม่ถึงขนาดต้องเปิดศึก ก็จะทำให้ตระกูลเฉินยอมสยบได้
อย่างน้อยก็คงดึงตระกูลเฉินเข้าอยู่ในสังกัดพันธมิตรของพวกเขาได้ แต่มาตอนนี้ คนตระกูลเฉินยังไม่มีใครปรากฏตัวกันเลย หัวหน้าแต่ละกลุ่มตระกูลที่เป็นพันธมิตร ต่างเกิดเครียดกันขึ้นมาเองเสียแล้ว
“กลัวอะไรกันวะ?”
หลีเจ๋อเลิกคิ้วสูง พูดไปอย่างไม่พอใจ “อย่าลืมว่าพวกเราจะมาทำอะไรกัน ถ้าพวกแกกลัวกันตั้งแต่ตอนนี้แล้ว ก็ออกไปจากกลุ่มพันธมิตรเลย!”
“แต่ว่า ต่อไปถ้าจะขอกลับมาเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกันใหม่อีก ทั้งหมดก็คงสายไปเสียแล้ว!”
ได้ยินกันดังนั้น ทุกคนต่างเงียบสงบลง
พวกเขาต่างก็เกาะหากินอยู่กับตระกูลหลี ถ้าถอนตัวออกจากพันธมิตรตอนนี้ พวกเขาก็จะต้องถูกโดดเดี่ยวเป็นแน่ ใครจะไปรู้ได้ว่าตระกูลตัวเองจะอยู่รอดตลอดได้ต่อไปหรือไม่
เวลาผ่านไปทีละวินาทีเป็นนาที ไม่ทันไร ผ่านไปเป็นครึ่งชั่วโมงเต็ม ๆ
ยิ่งยืดนานไปเท่าไหร่ คนกลุ่มนี้ก็เกิดความเครียดมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ไม่รู้ เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอยู่ตลอด
หลีเจ๋อย่อมรู้ดีถึงเหตุผลอันนี้ดี พลันลุกขึ้นตบโต๊ะ ยืนพรวดขึ้น พูดอย่างเกรี้ยวกราดไปว่า “ในเมื่อตระกูลเฉินไม่ให้เกียรติกับพวกเรา งั้นพวกเรากลับ!”
“ใช่ พวกเรากลับกันเลย!”
พอได้ยินเขาพูด คนอื่น ๆ ต่างพากันลุกขึ้น
และทันทีในขณะนั้นเอง เงาร่างคนหลายคนเข้ามาในโถงงานเลี้ยง พวกเฉินซิงไห่นั่นเอง
“อะไรกัน ผู้นำหลีจะรอกันไม่ไหวแล้วหรือ?”
เฉินซิงไห่หยีตายิ้มกรุ้มกริ่มเดินเข้ามา ตรงเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน
ไม่เพียงแต่กลุ่มเฉินซิงไห่หลายคน ข้างหลังพวกเขา ยังมีตามมาอีกนับสิบคน ท่าทางบ่งชัดว่าเป็นยอดฝีมือตระกูลเฉิน
เห็นสภาพในฉากนี้ คนของห้าตระกูล ต่างให้รู้สึกตื่นตระหนกกันจนหน้าถอดสี
เฉินไห่บอกแล้วไม่ใช่หรือ ที่ขอเชิญพวกเขามา เพื่อหารือเรื่องใหญ่?
ตอนนี้ทำไมดูเหมือนกำลังจะลงมือบีบบังคับอะไรกับพวกเขายังไงอย่างนั้น
“ท่านผู้นำเฒ่าตระกูลเฉิน ท่านให้พวกเราเสียเวลารอท่านเสียนาน จะไม่มีอะไรชี้แจงให้กับพวกเราเลยหรือ?”หลีเจ๋อถามอย่างเกรี้ยวกราด
“ชี้แจง?”
เฉินซิงไห่ยิ้ม “ไม่ทราบว่าผู้นำหลีจะให้ชี้แจงแบบไหนกัน?”
คราวนี้ กลับทำให้หลีเจ๋อถูกย้อนถามอึ้งไปเลย เขาเพียงแต่เพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้ ถามส่งไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าเฉินซิงไห่กลับทิ้งไพ่กันแบบนอกระบบ
ที่น่าโมโหก็คือ เวลานี้นอกจากตัวเขา อีกสี่คนผู้นำตระกูลทั้งสี่ ดูเหมือนขนาดจะส่งเสียงพูดก็ยังไม่กล้า ต่างมีแต่จะรอให้เขาพูด
ถึงแม้จะโกรธ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาจัดการเรื่องนี้
“คุณให้พวกเรามา มีเรื่องอะไรจะคุย?”หลีเจ๋อเปลี่ยนเรื่องคุย
“ขอพูดกันตรง ๆ กับทุกท่าน ผมมีพี่น้องอีกสองคน เพิ่งมาถึงเยี่ยนตู ตอนนี้ที่จะอยู่อาศัยก็ยังไม่มี ผมจึงได้ขอเชิญพวกคุณมา จะขอยืมที่ทางสักหน่อย”
เฉินซิงไห่หัวเราะเหอ ๆ พูดว่า “แน่นอน พวกผมไม่กล้าโลภมาก ขอแต่ละตระกูล ช่วยมอบทรัพย์สินแบ่งมาสักครึ่งหนึ่ง ต่อไปพวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน”
พอคำพูดของเขาพูดออกไป ทั้งบริเวณสะเทือนกันให้หวั่นไหว พวกกลุ่มหลีเจ๋อ ต่างหวาดผวาจนนิ่งอึ้ง
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยวา เฉินซิงไห่จะพูดตรงจุดขนาดนี้ เอ่ยปากก็ขอยืมที่ทาง อีกยังจะให้ทุกตระกูลแบ่งทรัพย์สินให้อีกตระกูลละครึ่ง นี่เรียกว่าขอยืมหรือ?มันปล้นกันเห็นชัด ๆ!