The king of War - บทที่ 803 หลิ่วเหมยจับขโมย
“ตอนนี้เยี่ยนเฉินกรุ๊ปมีเสถียรภาพมาก มีทั้งลั่วปิงและเสี่ยวยีอยู่ คุณไม่ต้องกังวล”
หยางเฉินมองไปที่ฉินซีแล้วกล่าวขึ้น “เอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้คุณก็ไปที่แมมบ้าแดงกรุ๊ป พาผู้ช่วยฝีมือดีไปกับคุณหลายๆ คน จะทำให้คุณทำงานที่แมมบ้าแดงได้อย่างราบรื่น”
ฉินซียังไม่ทันได้พูดอะไร เย่ม่านก็กล่าวอย่างมีความสุข “แบบนี้ดีที่สุด เยี่ยนเฉินกรุ๊ปและแมมบ้าแดงล้วนเป็นคนของเรา หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล ถ้าเสี่ยวซีต้องการกลับไปที่เยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็ไม่เป็นไร”
ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลว่าฉินซีจะไม่ยอมรับ เย่ม่านจะโอนแมมบ้าแดงกรุ๊ปให้กับฉินซีฟรีๆ
“เอาล่ะ งั้นฉันจะไปเป็นผู้จัดการทั่วไปของแมมบ้าแดงกรุ๊ปไม่กี่วัน พอคุณออกจากโรงพยาบาล ฉันค่อยกลับไป”
พอเห็นหยางเฉินและเย่ม่านพูดมาเช่นนี้ ฉินซีก็ยอมรับด้วยความยินดี
“เอาล่ะ ฉันก็ฟื้นแล้ว ยังมียอดฝีมือที่หยางเฉินจัดไว้อีก ฉันไม่เป็นอะไร พวกคุณกลับไปทำงานเถอะ!”
แม้ว่าเย่ม่านต้องการพูดคุยกับฉินซีอีกสักพัก แต่เธอก็ไม่อาจถ่วงเวลาของลูกสาวด้วยจิตใจที่เห็นแก่ตัวได้
ทุกอย่างจำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป
“เสี่ยวซี เจ้าบ้านเย่เพิ่งฟื้น พวกเราอย่ารบกวนเธอเลย ปล่อยให้เธอพักผ่อนอย่างเต็มที่ แล้วค่อยมาเยี่ยมเธอหลังเลิกงาน”
หยางเฉินเอ่ยปาก
“ได้ ฉันจะมาเยี่ยมคุณหลังเลิกงาน หากมีเรื่องอะไรก็ให้รีบโทรหาฉันได้เลยนะ”
หลังจากฉินซีสั่งกำชับแล้ว จึงหันหลังเดินออกไปพร้อมกับหยางเฉิน
พอเธอไปถึงประตูห้องผู้ป่วย เธอก็หยุดอย่างกะทันหัน มองเย่ม่านที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยด้วยสีหน้าซับซ้อน เอ่ยปากบอกว่า “พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ฉันจะพาเสี้ยวเสี้ยวมาเยี่ยมคุณด้วย”
ได้ยินดังนั้นเย่ม่านก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป น้ำตาของเธอร่วงหล่นลงมาราวกับน้ำหลาก ไหลนองเต็มใบหน้าของเธอ เธอสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าซ้ำๆ
ฉินซีก็ดวงตาแดงก่ำ รีบออกจากห้องไป
เย่ม่านร้องไห้ด้วยความปีติ แม้ว่าฉินซีจะยังไม่ได้เรียกเธอว่าแม่ แต่การที่พาหลานสาวมาเยี่ยมเธอ ก็สามารถพูดได้ว่าเธอยอมรับแม่คนนี้แล้ว
“หยางเฉิน?”
ขณะที่หยางเฉินกำลังจะตามฉินซีไป สุ้มเสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อหยางเฉินหันกลับไปมอง ก็เห็นหลิ่วเหมยที่เคยเจอเมื่อคืนก่อน รวมถึงคนในกองถ่ายของเซี่ยเหอหลายคนก็อยู่ด้วย
แต่ว่าในเวลานี้ทุกคนที่มองไปทางหยางเฉิน ล้วนมีความเกลียดชังในสายตา อยากจะพุ่งเข้าไปซัดหยางเฉินสักตั้ง
“มีอะไรเหรอ?”
หยางเฉินถามอย่างไม่แยแส
เขาย่อมรู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงมีท่าทีเป็นศัตรูกับเขา
เมื่อคืนวานเขาคนเดียวมอมเหล้าพวกอู๋เทียนโย่วทั้งหมดสามคนจนหมอบกับพื้น โดยเฉพาะอู๋เทียนโย่วถึงถูกหยางเฉินจับกรอกปากจนกระอักเลือด สุดท้ายต้องถูกรถพยาบาลพาออกไป
ไม่เพียงเท่านี้ ตอนที่หยางเฉินออกไป ยังเอาไวน์ไปจากร้านอาหารแซ่เฉินหลายขวด พอเอามารวมๆ กันแล้วมีมูลค่าอย่างน้อยนับล้าน
และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ยังถูกบันทึกไว้ในชื่อของอู๋เทียนโย่ว
“หยางเฉิน นึกไม่ถึงเลยว่าคุณยังกล้าโผล่หน้ามาอีก ฉันจะบอกคุณให้นะ เมื่อคืนวานคุณเอาเหล้าชั้นดีไปจากร้านอาหารแซ่เฉินหลายขวด พวกเราได้แจ้งความแล้ว คุณรอวันเข้าคุกได้เลย!”
หลิ่วเหมยพูดด้วยความเกลียดชัง
คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าเกลียดชัง โดยเฉพาะนักแสดงชายสองคนนั้น เมื่อวานก็ถูกหยางเฉินจับเหล้ากรอกปาก ถ้าส่งโรงพยาบาลไม่ทัน ป่านนี้คงเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังไปแล้ว
หยางเฉินชำเลืองมองหลิ่วเหมย “ตามสบายนะ!”
ร้านอาหารแซ่เฉินเดิมทีเป็นกิจการของตระกูลเฉิน หยางเฉินจึงไม่เคยเอาเหล้าไปสักขวด แค่สั่งกำชับเฉินอิงเหาให้เขาบวกเพิ่มพวกอู๋เทียนโย่วอีกหนึ่งล้าน
เหตุผลก็คือพวกเขาดื่มเหล้าที่มีราคาสูงไปหลายขวด แต่หลิ่วเหมยไม่เชื่อ ยังคิดว่าตอนที่หยางเฉินออกไป ได้เอาเหล้าดีๆ มูลค่านับล้านติดตัวไปด้วย
“หยางเฉิน คุณรอวันเข้าคุกได้เลย!”
เมื่อเห็นว่าหยางเฉินสงบนิ่งเช่นนี้ หลิ่วเหมยก็ยิ่งโกรธมาก
หยางเฉินไม่ให้ความสนใจเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยเหอ เมื่อคืนเขาจะไปดื่มเหล้ากับคนพวกนี้ได้อย่างไร?
“หยางเฉิน คุณยังไม่ได้พูดให้ชัดเจน คุณยังไปไม่ได้!”
พอเห็นหยางเฉินกำลังจะไป หลิ่วเหมยก็รีบเดินเข้ามาคว้าแขนหยางเฉินไว้ พร้อมกับตะโกนไปรอบๆ “จับขโมยได้แล้ว! จับขโมยได้แล้ว!”
ในไม่ช้าก็ดึงสายตาจากผู้คนมากมาย
หยางเฉินเลิกคิ้วขึ้น คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าใช้ไม้นี้กับเขา
“ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเป็นหลิ่วเหมย!”
ทันใดนั้นก็มีคนร้องอุทานขึ้น
“ใช่ เธอคือหลิ่วเหมย นางเอกละครเรื่องเทพสงครามผู้ชนะที่โด่งดัง เป็นนางเอกที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์”
“กองถ่ายละครเรื่องเทพสงครามผู้ชนะยังเป็นกลุ่มคนโง่ๆ ไปเอาผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียดมาเป็นนางเอก ทำไมไม่ให้เซี่ยเหอมารับบทนางเอกแทน?”
“ใช่แล้ว! ตอนแรกฉันก็สนับสนุนหลิ่วเหมย แต่หลังจากที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอ น่าเกลียดกว่ารูปฟิตติ้งที่หลุดไปบนอินเทอร์เน็ตซะอีก ฉันเลยตัดสินใจที่จะเลิกดูผู้หญิงคนนี้”
“ไม่ได้ ฉันต้องเปิดลงคะแนนสาธารณะบนอินเทอร์เน็ตเพื่อให้หลิ่วเหมยถอนตัวจากละครเทพสงครามผู้ชนะ แล้วให้เซี่ยเหอมาเป็นนางเอกแทน”
“ความคิดนี้ดีนะ คุณรีบเปิดลงคะแนนสาธารณะโดยเร็ว พอถึงตอนนั้นผมต้องไปลงคะแนนให้ได้ เพื่อสนับสนุนให้หลิ่วเหมยถอนตัวจากกองละคร”
…
หยางเฉินคิดไม่ถึงว่าละครออนไลน์เรื่องนี้จะได้รับความนิยมมากขนาดนี้ แม้แต่นักแสดงหญิงปลายแถวอย่างหลิ่วเหมย ยังมีคนจำได้
เขาเองก็คิดไม่ถึงอีกเช่นกัน หลิ่วเหมยไม่ได้รับความชื่นชอบ เธอถือว่าเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่ง แต่กลับถูกสาธารณชนบอกว่าเป็นผู้หญิงที่น่าเกลียด
ที่เกินจริงที่สุดคือ มีคนเปิดลงคะแนนโหวต พยายามเอาพลังแห่งคำวิพากษ์วิจารณ์มาขับไล่หลิ่วเหมยให้ออกจากละครเรื่องนี้
หลิ่วเหมยเองก็ตกใจเช่นกัน เธอมาเยี่ยมอู๋เทียนโย่วพอได้พบกับหยางเฉินจึงจับหยางเฉินไว้ คิดจะทำให้หยางเฉินขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน
แต่เธอกลับลืมไปว่า นางเอกอย่างเธอมีความแตกต่างเรื่องรูปร่างหน้าตากับนางรองมากเกินไป ตอนนี้ทิศทางของการวิพากษ์วิจารณ์ ถึงขนาดเปิดลงคะแนนสาธารณะ เหมือนเอาตัวเองไปวางอยู่บนเกลียวคลื่น
“ถ้าคุณไม่รีบปล่อยผม คุณจะถูกห้อมล้อมแล้ว”
หยางเฉินพูดอย่างนึกสนุก
หลิ่วเหมยกัดฟันด้วยความโกรธ “หยางเฉิน อย่านึกว่าคุณทำแบบนี้แล้วฉันจะปล่อยคุณไปนะ ตอนนี้ฉันจับขโมยได้แล้ว พอถึงตอนนั้นชาวเน็ตจะเกิดความรู้สึกคล้อยตามการกระทำของฉัน”
“บางที เรื่องนี้อาจจะปรากฏในพาดหัวข่าวอีกครั้งก็ได้ พอถึงตอนนั้นหัวขโมยอย่างคุณจะมีชื่อเสียง”
“ส่วนนางเอกอย่างฉัน ก็จะกลายเป็นเทพธิดาแห่งความยุติธรรม ไม่เกรงกลัวโจร จับขโมยในที่สาธารณะ”
หยางเฉินยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเราก็มาคอยดูกัน”
“ทุกคนไม่ต้องกังวล ฉันแจ้งความแล้ว แล้วยังจับหัวขโมยคนนี้ได้อีก ไม่นานตำรวจก็มา พอถึงตอนนั้นเจ้าหัวขโมยคนนี้จะหนีไปไหนไม่ได้แล้ว”
หลิ่วเหมยมองไปยังฝูงชนและกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้ คงไม่ได้จับหัวขโมยจริงๆ ใช่ไหม?”
มีคนถามด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าพวกเขาจะถูกดึงดูดด้วยคำว่า “จับขโมยได้แล้ว” ของหลิ่วเหมย แต่สิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากกว่านั้นก็คือฐานะทางสังคมของหลิ่วเหมย
ในเวลานี้ หลิ่วเหมยได้ประกาศอีกครั้งว่าตนได้จับหัวขโมย ทุกคนเบนความสนใจไปที่การจับขโมย
“มันน่าจะเป็นความจริง แม้ว่าหลิ่วเหมยจะเป็นนางเอกที่อัปลักษณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่จะพูดอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ คงไม่โกหกต่อหน้าสาธารณชนหรอกมั้ง?”