The king of War - บทที่ 818 ช่วงชิงตำแหน่งผู้นำ
คำซักถามประโยคเดียว ทำเอาเย่ชังเข่าอ่อน ถ้าไม่ได้นั่งอยู่ น่ากลัวต้องยืนไม่ไหวแล้ว
“เย่หวา แกอย่าพูดพล่อย ๆ ข้ายอมรับ การที่ประธานฉินมาสาย เพราะข้าผิดพลาด ข้าก็จะจัดการให้เลขาฯ.ที่แจ้งเรื่องกำหนดเวลาและสถานที่นั้นลาออกไปแล้ว”
เย่ชังรีบบอกปัด แล้วพูดว่า “ในเมื่อประธานฉินเป็นผู้ที่ท่านเจ้าบ้านเจาะจงให้มาเป็นตัวแทนผู้จัดการใหญ่ ข้าก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง!”
เย่หวาหัวเราะเย้ยหยันใส่ “พูดเสียเพราะเสนาะเสียงยิ่งกว่าเพลงประกอบดนตรีเลย ประธานฉินเอาหลักฐานออกมา แกยังจะไล่ท่านออกจากแมมบ้าแดง ถึงขนาดสั่งให้รปภ.มาตะเพิดไล่ท่านประธานฉิน”
“นี่หรือวิธีที่แกบอกว่าจัดการ?”
“ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนั้น เอาเป็นเรื่องเมื่อสักครู่นี้ที่แกบังคับให้ทุกคนยืนอยู่ฝั่งแก สนับสนุนให้แกเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่ จะแก้ตัวว่ายังไง?”
เย่ชังสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง รีบพูดไปว่า “ที่ข้าต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อผลดีกับตระกูลเย่ เฉาซื่อกรุ๊ปยินดีที่จะร่วมมือกับพวกเรา แต่มีเงื่อนไขต้องให้ข้าเป็นผู้นำตระกูลเย่ พวกเขาจึงจะไว้ใจร่วมงานกับพวกเรา”
“ที่อยู่เบื้องหลังเฉาซื่อกรุ๊ปคือตระกูลเฉา และก็เพราะข้า ทำให้พวกเรามีบารมีระดับตระกูลเดอะคิงอย่างตระกูลเฉามาคุ้มหัว ข้าทำคุณประโยชน์เพื่อตระกูลเย่มาขนาดนี้ ถึงจะยกให้ข้าเป็นผู้นำตระกูล แล้วมันผิดตรงไหน?”
เย่ชังพูดด้วยอารมณ์สะเทือนใจ สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ แล้วไปลงที่เย่หวา “ตระกูลบ้านขาดผู้นำไม่ได้แม้วันเดียว เจ้าบ้านของพวกเราก็ป่วยมานานยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล เป็นที่แน่ชัดว่าอาการหนักอยู่เอาการ”
“ขณะนี้ตระกูลเย่จำเป็นต้องมีผู้นำที่มากด้วยความสามารถ มาดูแลจัดการกิจธุระกรรมของตระกูล เพื่อให้เป็นที่รับประกันได้ถึงการดำเนินการที่มีเสถียรภาพของตระกูล”
“การให้ข้ามาเป็นผู้นำคนใหม่ตระกูลเย่ ใช่ว่าข้าออกปากไปก็ต้องให้เป็นใช้ได้ แต่จะต้องเป็นมาด้วยการรับเลือกโดยฉันทามติจากญาติในวงศ์ตระกูลเย่”
หยางเฉิงไม่ได้ไปขัดการโต้เถียงของเย่ชังกับเย่หวา เพียงแต่ยืนมองอย่างนิ่งเงียบ
โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่คิดเข้าไปยุ่งเรื่องของตระกูลเย่ แต่ทำไงได้ ฉินซีเป็นลูกสาวของเย่ม่าน และตัวเย่ม่านเองก็เป็นผู้นำตระกูลเย่ ด้วยความสัมพันธ์เชื่อมกันตรงนี้ ทำให้เขาไม่สามารถถอนตัวออกได้
มาถึงจุดนี้ เขาให้สงสัยไปถึงว่า ทั้งหมดนี้อยูในกลไกจัดการของเย่ม่าน ได้ถือโอกาสที่ตัวเธอเองบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ จัดวางอนาคตตระกูลเย่ เพื่อให้รวมอยู่เหลือเป็นเสียงเดียว
ให้ฉินซีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่เพียงให้ฉินซีได้ฝึกฝน แต่หากว่าฉินซีแก้ปัญหาไม่ได้ หยางเฉินก็ต้องเข้ามาช่วยเป็นแน่
“เย่ชัง แกนี่พูดส่งเดชไร้สาระ ผู้นำท่านเพียงบาดเจ็บค่อนข้างหนักเท่านั้น ใครบอกว่าถึงขนาดสาหัสหนักรุนแรง?”
เย่หวาพูดอย่างโกรธเคือง “จะว่าไป การที่แกว่าได้ทำคุณประโยชน์ให้ตระกูลเย่อย่างยิ่งใหญ่มหาศาล คิดว่าควรจะต้องได้เป็นผู้นำตระกูลเย่ นั่นก็จะต้องให้ผู้นำท่านเดิมเห็นชอบด้วย”
เดิมทีเย่ชังเพราะเห็นหยางเฉินปรากฏตัวมา ก็มีความกังวลอยู่หนัก แต่พอคิดไปถึงว่าเบื่องหลังของตัวเอง ยังมีตระกูลเฉายืนค้ำอยู่ ความมั่นใจก็มีมากขึ้น
“แกมันเอาแต่พูดกฎระเบียบรูปแบบเก่าของตระกูล ตอนนี้มันศตวรรษไหนแล้ว?พวกกฎระเบียบพวกนั้นมันคร่ำครึแล้ว ตระกูลเย่ปัจจุบัน ถึงเวลาที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ”
เย่ชังแค่นหัวเราะเยือก “ข้าคิดว่า ตระกูลเย่ต่อไปนี้ จะไม่ใช่ให้ผู้นำตระกูลพูดคนเดียวเป็นสรุปจบ แต่ควรจะต้องให้เครือญาติสายตรงพูดสรุปได้ด้วยกันทั้งหมด”
“มีแต่วิธีนี้เท่านั้น จึงหลีกเลี่ยงเหตุกรณีผู้นำตัดสินใจผิด แต่ไม่มีใครกล้าเสนอคัดค้านได้”
“ทั้งนี้ ตำแหน่งผู้นำตระกูล ก็จะต้องให้กับผู้มีความสามารถจริงเท่านั้น”
“ในครั้งนี้ ข้าสามารถช่วยให้ตระกูลเย่ได้รับโอกาสเข้าร่วมธุรกรรมกับตระกูลเฉา งานนี้จะทำให้ตระกูลเย่จะได้ผลประโยชน์นับแสนล้าน ถ้าใครสามารถทำผลประโยชน์ให้ตระกูลได้ดีกว่านี้ ข้าก็ยินดีสนับสนุนให้เขารับตำแหน่งผู้นำตระกูลคนใหม่”
พอคำพูดนี้พูดออกไป สร้างความรู้สึกชื่นชมจากบรรดาคนในตระกูลเย่ขึ้นมาทันที
“พูดได้ดีมากเลย ตระกูลเย่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว!”
“ใช่ ตระกูลเย่ต่อไปนี้ จะต้องเป็นของคนที่มีความสามารถ ใครทำผลประโยชน์ให้ตระกูลเย่ได้สูงที่สุด ก็ให้คนนั้นขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเย่”
“คุณเย่ชังสามารถทำให้ตระกูลเย่เราเข้าร่วมกับตระกูลเฉาได้ นี่เป็นคุณาปการชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง พวกเราเห็นด้วยที่จะให้เขารับตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของตระกูลเย่”
……………………..
ในช่วงเวลานั้น ญาติสายตรงตระกูลเย่นับสิบที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างคนต่างเอ่ยปากพูดต่อ ๆ กันไป
เย่ชังแขวนยิ้มไว้มุมปาก มองไปที่หยางเฉินถามว่า “คุณหยาง คุณเห็นแล้วใช่ไหม? ทุกคนสนับสนุนตระกูลเย่ให้มีการเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าให้ท่านผู้นำกลับมา ก็คงต้องให้เป็นไปตามความประสงค์ของคนส่วนใหญ่นะครับ?”
หยางเฉินไม่พูดว่าอะไร กลับหัวเราะออกมา “ความหมายของคุณก็คือ คุณช่วยให้แมมบ้าแดงกรุ๊ป ได้รับการให้ความร่วมมือจากเฉาซื่อกรุ๊ปงั้นหรือ?”
สีหน้าเย่ชังดูภูมิใจ “ใช่แล้ว ท่านประธานหวงแห่งเฉาซื่อกรุ๊ปได้รับปากกับข้าแล้ว ถ้าให้ข้าได้เป็นผู้นำตระกูลเย่เมื่อไหร่ ก็ยินดีที่จะเข้ามาร่วมมือกันด้านธุรกิจกับแมมบ้าแดงกรุ๊ปได้เลย”
“คุณหยางคงจะทราบดีนะครับ เบื้องหลังของเฉาซื่อกรุ๊ปมีใครยืนหนุนอยู่?”
หยางเฉินผงกหัว “ผมรู้อยู่แน่นอน เพียงแต่ข้องใจอยู่เอามาก แมมบ้าแดงกรุ๊ปเป็นธุรกิจที่เจ้าบ้านเย่ก่อร่างสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวท่านเอง ตอนนั้นตระกูลเย่ไม่เคยมีใครให้อะไรเป็นการช่วยแมมบ้าแดงกรุ๊ปเลย”
“ก็ต้องบอกว่า ความสำเร็จและเจริญรุ่งเรืองของแมมบ้าแดงกรุ๊ปนี้ ได้มาด้วยตัวของท่านเจ้าบ้านเย่เองล้วน ๆ”
“ก็ในเมื่อทั้งหมดของแมมบ้าแดงกรุ๊ปเป็นของเย่ม่านทั้งหมด แต่คุณเพียงจะนำแมมบ้าแดงกรุ๊ปไปเจรจาร่วมมือกันกับเฉาซื่อกรุ๊ป แล้วก็ยกเป็นคุณาปการของคุณมาเทียบกับเจ้าบ้านตระกูลเย่ คุณจะไปเทียบได้หรือ?”
“ถ้าคิดจะเปรียบกันจริง รอแกไปใช้น้ำมือของแกเอง ไปสร้างกิจการอะไรที่มันได้อย่างแมมบ้าแดงกรุ๊ป แล้วค่อยมาเปรียบ!”
สิ่งที่หยางเฉินพูดออกมา ทำเอาหลังของเย่ชังเย็นวาบ
เขาเคยคิดมาแต่ต้น พยายามให้มองข้ามความเกี่ยวพันของเย่ม่านกับแมมบ้าแดงกรุ๊ป ถึงขนาดประกาศว่าจะกระจายหุ้นของแมมบ้าแดงกรุ๊ปแบ่งให้ญาติสายตรงของตระกูลเย่
แต่การปรากฏตัวของหยางเฉิน น่ากลัวทุกอย่างต้องผันเปลี่ยน
ฉินซีก็พูดประชดไปว่า “เอาของของคนอื่นมาแบ่งกันเอง คุณนี่ช่างไม่เก็บเอาหน้าแก่ ๆ ไว้บ้างเลยนะ”
เย่หวาก็ยิ้มเย้ยหยันใส่ว่า “ไหน ๆ ทำตัวเป็นคนใจกว้างมาก ใยไม่เอาสินทรัพย์ในสายของเย่ชังเองออกมา แจกแบ่งให้คนตระกูลเย่กันบ้างหละ?”
คำพูดต่าง ๆ ของพวกเขาเหล่านี้ ทำเอาใจเหล่าญาติสายตรงตระกูลเย่ที่กำลังรุ่มร้อนรอหวังรับส่วนแบ่งในหุ้นแมมบ้ากรุ๊ป ค่อย ๆ จืดจางสงบลง
เพราะที่หยางเฉินพูดมานั้นไม่ผิด สมัยนั้นที่เย่ม่านกำลังเริ่มกิจการแมมบ้าแดง สุดแสนลำบากยากเข็ญจริง ๆ และก็ไม่ได้ถูกมองเห็นความสำคัญ ตระกูลเย่ก็ไม่เคยให้อะไรช่วยเย่ม่านเลยแม้แต่น้อย
มาถึงแมมบ้าแดงกรุ๊ปก้าวขึ้นมาในเวลานี้ คงจะมาตู่เอาไม่ได้ ว่าด้วยเพราะเย่ม่านเป็นคนของตระกูลเย่ แล้วก็จะมาเอาสินทรัพย์แมมบ้าแดงกรุ๊ปไปกระจายหุ้นไปแบ่งให้คนตระกูลเย่
เย่ชังหน้าแดงเปล่งเต็มที่ พลันก็พาลใส่จากอารามโกรธขึ้นมา “พวกแกมันคนนอกทั้งนั้น จะไปรู้เรื่องอะไร?สถานะของแมมบ้าแดงกรุ๊ปที่เป็นอยู่อย่างที่เห็นนี้ได้ ล้วนแล้วแต่อาศัยสินทรัพย์ของตระกูลเย่มาทั้งนั้น”
“ไม่อย่างนั้นแล้ว ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างเย่ม่าน จะมีปัญญาอะไรมาสร้างทำกิจการใหญ่ได้ขนาดนี้?”
“ในเมื่อใช้ทุนทรัพย์ของตระกูลเย่สร้างกิจการจนเจริญรุ่งขึ้นมา ตอนนี้ก็จะต้องแบ่งกระจายหุ้นให้กับคนตระกูลเย่”
ดูสิว่าเป็นยังไง เย่ชังก็คือผู้นำที่คอยปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลให้ผองคนของตระกูล
สังคมโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ เมื่อใครคนหนึ่งลุกขึ้นมานำผู้ที่ดูเหมือนอ่อนแอในการทวงสิทธิ์ คนที่ดูอยู่รอบนอกจะไม่รู้ในข้อเท็จจริง ว่าคนแข็งกว่านั้นเป็นผู้ที่ไปยึดครองสิทธิผลประโยชน์ของพวกคนอ่อนแอจริงหรือ?
แล้วพวกเขากลับจะหันมาช่วยผู้ที่ดูเหมือนอ่อนแอ เพื่อต่อสู้กับผู้แข็งกว่า
เวลานี้ ในสายตาคนอื่น ๆ ในตระกูลเย่ เย่ชังคือผู้อ่อนแอ และเป็นผู้มีจิตใจสูงด้วยคุณธรรมที่จะช่วยปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา
“เย่ชังเขาพูดถูกนะ แมมบ้าแดงกรุ๊ปที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ขนาดทุกวันนี้ ล้วนมาจากทุนทรัพย์ตระกูลเย่”
“พวกเราเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลเย่ ย่อมต้องมีสิทธิ์ในส่วนหนึ่งของแมมบ้าแดงกรุ๊ป”
“แน่นอนว่า พวกเราไม่ใช่เป็นคนไม่เอาเหตุผล แมมบ้าแดงกรุ๊ปนี้เย่ม่านสร้างขึ้นมากับมือ พวกเราก็พร้อมจะให้เธอได้รับส่วนแบ่งที่มากกว่าหน่อย”