The king of War - บทที่ 823 ผู้หญิงชุดสีแดง
อู๋เทียนอิ้วที่กำลังหลับตาพักอยู่ ก็ได้ยินเสียงที่คุยกัน บนใบหน้ามีอาการบูดเบี้ยวขึ้นมา จู่ ๆ ก็คำรามสบถออกมา “หยางเฉิน กูไม่ปล่อยมึงแน่!”
ตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาจดลงบัญชีใส่ไว้ให้ที่หยางเฉินทั้งหมด
และในขณะเดียวกันนี้เอง หยางเฉินได้กลับไปถึงเยี่ยนเฉินกรุ๊ป
“ท่านประธาน เวลานี้ประธานลั่วได้ย้ายไปที่ประจำหน่วยงานโครงการเมืองจิ่วโจว ประธานฉินก็ไปอยู่แมมบ้าแดงกรุ๊ป ให้ดิฉันแบกภาระคนเดียวคงไม่ไหว คุณคิดว่าควรจัดผู้ช่วยให้ดิฉันสักสองสามคนได้ไหมคะ?”
หยางเฉินเพิ่งเข้าถึงห้องทำงาน ฉินยีก็เข้ามาหา พูดเสียงฉุนเฉียว
ก่อนหน้าตอนที่ลั่วปิงกับฉินซียังอยู่ ปกติก็เหมาทำงานกันเองไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนไปแล้ว งานทั้งหมดของเยี่ยนเฉินกรุ๊ปก็สุมกองมาที่ฉินยี
มองสภาพฉินซีออกอาการฉุนเฉียวแบบนั้น หยางเฉินก็พูดไปอย่างเสียไม่ได้ว่า “นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษเฉพาะกิจใช่ไหม?เธอก็ฝืนทนช่วยดันสักพัก ถือเสียว่าเป็นการฝึกฝนตัวเธอเองนะ”
“ฉินยีส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกคะ ก่อนนี้มีประธานลั่วกับประธานฉิน ภาระของฉันยังไม่หนัก ตอนนี้พวกเขาไปกันหมดแล้ว งานทั้งหมดของเยี่ยนเฉินทั้งหมดสุมมาที่ตัวฉันคนเดียว ฉันตามไล่ทำไม่ทันแน่”
หยางเฉินรำคาญเต็มหน้า “เอางี้แล้วกัน ในเมื่อเธอต้องรับภาระงานรวมกันของสามคน งั้นก็ให้ค่าจ้างเธอเพิ่มไปสองเท่า และเพิ่มผู้ช่วยให้เธออีกหลายคน เธอเห็นเป็นยังไง?”
“ตกลง!”
ไม่คิดว่าหยางเฉินเพิ่งพูดจบ ฉินยีก็ตอบตกลงทันควันด้วยความลิงโลด
ถึงวินาทีนี้ หยางเฉินจึงได้รู้ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้คิดมาปรับทุกข์อะไรเลย แท้ที่จริงคือต้องการเงินเดือนเพิ่ม
ลั่วปิงถึงแม้จะไปอยู่ไซท์งานโครงการเมืองจิ่วโจว ก็ไม่ได้ทิ้งงานไว้ แต่เอางานไปทำที่เมืองจิ่วโจวเอง
ฉินซีไปที่แมมบ้าแดงกรุ๊ป ก็ได้เอางานไปด้วยส่วนหนึ่ง
สรุปแล้ว ฉินยีไม่ได้มีงานอะไรเพิ่มมากขึ้นสักเท่าไหร่เลย
ทว่า พอหยางเฉินหวนนึกขึ้นได้ ฉินยีก็ส่ายสะโพกเดินหนีออกไปแล้ว
“ยัยเด็กคนนี้นี่”หยางเฉินส่ายหน้าได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ
กับฉินยีนั้น เขาดูแลเหมือนน้องสาวแท้ ๆ อีกจะว่าไปเขาก็ใช่ว่าจะขาดเงิน เพิ่มเงินเดือนให้ฉินยีไปอีกสองเท่า ก็ไม่ถึงกับขนหน้าแข้งจะร่วง
ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์หยางเฉินดังขึ้นในทันใด “พี่เฉิน เย่ม่านถูกลอบสังหาร!”
“อะไรนะ?”
หยางเฉินพอได้ยินว่าเย่ม่านถูกลอบสังหาร หน้าเปลี่ยนสีในทันที ร้องถามไปเสียงตื่น ลุกพรวดขึ้นยืน รีบถามต่อว่า “เย่ม่านไม่เป็นไรนะ?”
หม่าชาวตอบเสียงทุ้ม “คนไม่เป็นไรครับ!”
พอรู้ว่าเย่ม่านปลอดภัย หยางเฉินค่อยโล่งใจ
“รูไหมว่าเป็นพวกไหนลงมือ?”หยางเฉินถาม
หม่าชาวตอบว่า “เป็นพวกมือฆ่าของหงเฉิน”
สายตาหยางเฉินฉายแววหนาวเยือกออกมาพลัน “ช่างมือเติบแท้ ขนาดนักฆ่าของหงเฉินยังจ้างมาได้”
ชัดเจนอยู่แล้ววา เขารู้จักกลุ่มขบวนการนักฆ่าหงเฉินดีอยู่
และก็แน่นอนต้องรู้ดีว่า พวกนักฆ่าของหงเฉินตอแยกับมันยากมาก พวกนี้ลองรับงานไปแล้ว จะไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าเป้าหมายถูกฆ่าตาย
อีกทั้งการจะให้นักฆาของหงเฉินลงมือปฏิบัติงาน ค่าสินจ้างอย่างน้อยก็ต้องหนึ่งร้อยล้าน
หม่าชาวก็ได้บอกว่า “พอผมซัดจนนักฆ่าหงเฉินรู้ตัวว่าแพ้ มันก็กัดถุงยาพิษในปากฆ่าตัวตายเลยทันที”
“ถึงแม้ว่ายากที่จะรู้ตัวคนจ้างวานจากปากนักฆ่าหงเฉิน แต่ผมได้สืบดูแล้ว พอจะรู้ตัวเป้าหมายที่ต้องสงสัยอยู่”
หยางเฉิงเหมือนก็รู้ว่าเป็นใครแล้ว เอ่ยปากว่า “เย่ชาง!”
หม่าชาวว่า “ใช่ครับ ก็คือเย่ชาง!”
“คนที่อยากจัดการเย่ม่านให้ถึงตายมีไม่น้อย แต่คนที่จะสามารถจ้างเอามือฆ่าระดับหงเฉินได้นั้น มีไม่กี่คน”
“เย่ชางเป็ผู้ต้องสงสัยมากที่สุด ขอเพียงให้เย่ม่านตายไปได้ เขาจึงจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลเย่ได้อย่างง่ายดาย”
หยางเฉินไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ นิ่งคิดอยู่พักใหญ่ เอ่ยพูดขึ้นว่า “หล่อนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หลายวันนี้แกต้องเหนื่อยหน่อยนะ แอบคอยปกป้องเย่ม่านให้ดี นักฆ่าหงเฉิน ไม่ใช่จะเล่นกับมันง่ายนัก”
“พี่เฉินวางใจนะครับ ผมกำลังจะเอาไอ้พวกมือฆ่าของหงเฉินมาซ้อมมือสักหน่อย ไม่งั้นห่างจากแดนเหนือมานานเกิน ฝีมือจะโรยล้า”
หม่าชาวพูดเสียงกลั้วหัวเราะ
ทันทีนั้น เสียงของเขาเปลี่ยนหนักอึ้งขึ้นมา “พี่เฉิน ผมอยู่ในห้องเย่ม่าน ได้สัมผัสพลังลึกลับน่าอันตรายอยู่สายหนึ่ง ถ้าไม่เพราะว่าไม่สะดวกในการรื้อค้น ผมมั่นใจว่าจะลากคอไอ้คนนั้นออกมาได้”
หยางเฉินได้แวะไปที่ห้องผู้ป่วยที่เย่ม่านอยู่ ในห้องไม่เห็นมีใครคนอื่น
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องตอนที่เย่ม่านจู่ ๆ ส่งข้อความมาให้ สั่งเสียให้ดูแลฉินซีกับเสี้ยวเสี้ยว หยางเฉินมองเห็นทะลุเลย
“คนที่แกพูดถึงนั่น น่าจะเป็นคนของเย่ม่าน แกทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเลยไว้”หยางเฉินสั่งกำชับ
“ได้ครับ!”
หม่าชาวตอบรับคำ
ตัดสายโทรศัพท์แล้ว หยางเฉินนั่งเอนพิงบนเก้าอี้ทำงานสบาย ๆ ตาทั้งคู่ดูค่อย ๆ ลุ่มลึกลง
แปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู คงเหลือแต่ชื่อไม่มีตัวตนเหลือแล้ว
ตระกูลซุนกลายไปอยู่ในอานัติของตระกูลเฉา หลงเถิงผู้นำตระกูลหลงเป็นหนึ่งในราชวงศ์ทั้งสี่อยู่แล้วในตัว คนตระกุลหลง
หรือก็พูดได้ว่า ตระกูลหลงแห่งเยี่ยนตูเอง ก็คือตระกูลในอานัติของตระกูลหลงในราชวงศ์
ตระกูลอวี๋เหวินกับหยางเฉินมีความผูกพันกันไม่น้อย ส่วนตระกูลเย่ก็เป็นตระกูลของแม่ของฉินซี ตระกูลหวงก็สวามิภักดิ์กับหยางเฉินแล้ว การแสดงออกของตระกูลหวงในครั้งนี้ ก็ให้เห็นเป็นที่แน่ชัดถึงความภักดีของตระกูลหวงแล้ว
เมื่อเป็นตามนี้ ก็ยังคงเหลือตระกูลเถียนกับตระกูลซ่ง และตระกูลหลิน พวกตระกูลเหล่านี้ ที่จะเปรียบก็เปรียบเหมือนหญ้าข้างกำแพง ลู่ไปตามทิศทางลม
ตระกูลเดอะคิงตระกูลเฉานั้นได้อาศัยพลานุภาพที่แกร่งกล้าเข้ามาอยู่ในเยี่ยนตู องค์ชายสามตระกูลเดอะคิงตระกูลเซวเซวหยวนป้า ถูกบีบบังคับจนต้องถอนตัวออกไปจากเยี่ยนตู แต่หยางเฉินสังหรณ์ใจอยู่ คิดว่าอีกไม่นาน ตระกูลเซวต้องหวนกลับมาอีก
เวลานี้ตระกูลเย่มีเรื่องแตกแยกกันภายใน เย่ชังหวังจะขึ้นนั่งตำแหน่งเจ้าบ้าน ซึ่งมีตระกูลเฉาหนุนอยู่เบื้องหลัง
เบื้องหลังตระกูลอวี๋เหวิน ก็มีเงาร่างของเดอะคิงตระกูลเฉาอยู่ แม่ของอวี๋เหวินปิง ก็คือคนของเดอะคิงตระกูลเฉา
ดูตามสภาพนี้ ก็คงมีแต่ตระกูลหวง ที่ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของหยางเฉินชัดเจน
ตระกูลเฉินกับตระกูลกวน ยังมีตระกูลหานและตระกูลหง แม้ก็อยู่ในอาณัติของหยางเฉิน แต่ก็ยังอยู่ในระดับรองจากแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู ถึงจะจับมือรวมตัวกัน ก็ไม่แน่ว่าจะไปเปรียบกับเพียงหนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูได้ยังไง
ในขณะที่หยางเฉินอยู่ในสำนักงานใหญ่ของเยี่ยนเฉินกรุ๊ป นั่งตรึกตรองสภาพการณ์ของเยี่ยนตู เฟอร์รารีสีแดงเพลิงคันหนึ่ง เหมือนสัตว์จากป่าแดนเถื่อน พุ่งตรงเข้ามาในโรงถ่ายเยี่ยนตู
“แคร๊ชชช ๆ ”
เสียงยางล้อรถเบียดถนนดังลั่นแสบหู เฟอร์รารีคันนั้นท้ายปัดไปอย่างสวยงาม จอดสนิทข้างอาคารทีมงานเซี่ยเหอพอดี
หญิงสาวในชุดแดงแปร๊ดนางหนึ่ง ก้าวออกมาจากเฟอร์รารี
“ผู้หญิงร้อนซ่าอะไรขนาดนั้น!”
การปรากฏตัวของหญิงชุดแดง พลันดึงเอาความสนใจหนุ่ม ๆ ทั้งหลายมองไปมากมาย
นักแสดงหนุ่ม ๆ ที่พอมีชื่อเสียงในทีมงานนี้ ยังเก็บความร้อนระอุที่แสดงออกทางลูกตาไม่อยู่
สาวชุดแดงนี้ดูเหมือนจะชอบสีแดงเอามาก รถที่ใช้ก็แดงเข้ม ชุดที่ใส่ก็แดงจัดจ้าน ผมสั้นก็ยังย้อมเป็นสีเหล้าแดง
หญิงสาวในชุดแดงนั้นดูโหงวเฮ้งบนใบหน้าสวยสมส่วนเข้าตำรา สีหน้าเย็นเยือกจนให้รู้สึกหนาว มองดูแล้วท่าทางไม่ใช่จะให้ใกล้ชิดได้ง่าย ๆ
“พี่สาว ผมมาแล้ว!”
และแล้วในขณะนั้นเอง มีออดี้ r8 สีดำจอดเข้ามาข้าง ๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งลนลานลงจากรถ วิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปหาหญิงสาวชุดแดง ด้วยท่าทีนบนอบ
“อู๋เทียนอิ้ว!”
“เขามาทำอะไรนะ?”
“เขาเรียกผู้หญิงชุดแดงนั่นว่าพี่สาว?หรือหญิงสาวชุดแดงนี้ก็คือพี่สาวตระกูลซุนที่เขาชอบมาคุยอวด?”
หลายคนในทีมงานละคร ก็ทายสถานะภาพของหญิงสาวชุดแดงคนนี้ออกมาได้
ด้วยเพราะว่าตอนที่อู๋เทียนอิ้วยังอยู่ในทีมงานการละครนี้อยู่ มักจะเอาเรื่องพี่สาวของเขาคนนี้มาคุยอวด เพราะฉะนั้นใครต่อใครก็รู้ว่าเขามีพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องที่เป็นลูกหลานในสายเลือดของตระกูลซุน
ในเวลาขณะนั้นเอง คนเป็นจำนวนมากต่างแสดงสีหน้าออกถึงความตื่นเต้น