The king of War - บทที่ 83 ฉินเฟยยั่วยุ
หยางเฉินพึ่งนั่งลง มีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง
“คุณหยาง ถ้ารู้แต่แรกว่าคุณจะมา ผมคงไปรับคุณก่อนล่วงหน้า” ชายหนุ่มที่สวมชุดทางการคนหนึ่งเดินเข้ามา ตามมาด้วยนั่งลงที่ว่างด้านข้างของหยางเฉิน
หยางเฉินมองหยางเวยแบบแปลกประหลาดอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าคนของตระกูลหยางที่เมืองโจวเฉิงจะได้รับเชิญด้วย เพียงแค่เดิมตระกูลหยางอยากจะใช้ประโยชน์จากเขา ถ้าให้หยางเวยรู้จุดประสงค์แท้จริงที่เขามาที่นี่ ยังจะเข้ามาพูดคุยด้วยกันกับตนเองก่อนเหรอ?
หยางเฉินหน้าตาไร้ความรู้สึก ยกน้ำชาไผ่เขียวชั้นดีแก้วหนึ่งขึ้นดื่ม พูดขึ้นทันใด “ถ้าไม่อยากโดนพัวพันไปกับฉัน ดีที่สุดนายอยู่ห่างฉันไกลๆ หน่อย”
“หือ?” หยางเวยตอบสนองไม่ทันในชั่วขณะนั้น
ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นกลางโถงงานเลี้ยง สายตาของคนส่วนหนึ่ง
เหมือนเป็นนายท่านฉินและฉินเฟย ยังมีหวังลู่เหยาของทางตระกูลจาง นอกจากนี้ยังมีแขกส่วนหนึ่งที่เมื่อสักครู่เห็นหยางเฉินยั่วยุตระกูลหวังที่ด้านนอกฉากนั้นเข้า
หยางเวยตื่นตกใจยกใหญ่ พูดจาเหยียดหยาม “ไม่ใช่แค่พวกกระจอกของตระกูลเล็กๆ เท่านั้นเหรอ ไม่พอให้กลัวอะไร”
เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจความหมายของหยางเฉินผิด แม้แต่เขายังรู้ว่าฉินเฟยเจ้าหมอนั่นเป็นพวกกระจอก หยางเฉินจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน?
หยางเฉินย่อมไม่เปลืองน้ำลายมาอธิบาย ทำท่าทางสงบนิ่งนั่งอยู่ที่นั่น รอช่วงที่อลังการที่สุด คงถึงตาเขาเชือดไก่ให้ลิงดูแล้ว
หยางเฉินไม่ยอมสนใจคนเหล่านั้น แต่ยังมีคนอยากมายั่วยุเขาให้ได้
“คุณปู่ครับ ผมเข้าไปเจอหยางเฉินหน่อย” ไม่รอให้นายท่านฉินห้าม ฉินเฟยก็ไปที่โต๊ะนั้นของหยางเฉิน
“คุณชายหยาง นึกไม่ถึงว่าจะมาเจอคุณที่นี่ ผมของใช้ชาแทนเหล้า ขอเคารพคุณสักแก้ว” ฉินเฟยยิ้มกริ่มน้ำชาแก้วหนึ่งขึ้น เคารพไปทางหยางเวยด้วยตนเองก่อน
หยางเวยหัวเราะนิ่งๆ และไม่มีความหมายจะยกน้ำชาขึ้น เขาค้นหาความสัมพันธ์ของหยางเฉินและตระกูลฉินชัดเจนมาตั้งนานแล้ว
ถึงแม้เพียงแค่อยากจะใช้อิทธิพลของหยางเฉินมาทำให้ตระกูลหยางได้ผลประโยชน์มากที่สุด แต่เทียบกับตระกูลฉินแล้ว หยางเฉินสำคัญกว่า
ฉินเฟยเห็นหยางเวยไม่ยอมยกแก้วชาขึ้น จึงใช้รอยยิ้มมาปกปิดความกระอักกระอ่วน เคาะก้นแก้วบนโต๊ะไปเบาๆ จากนั้นยกแก้วชาขึ้นดื่มแล้ว
“หยางเฉิน นึกไม่ถึงลูกเขยสวะที่โดนตระกูลทอดทิ้งคนนี้ จะกล้ามาที่ตระกูลกวนด้วย?” ฉินเฟยพิงไปด้านหลังสักหน่อย ยังแสร้งทำเป็นยกแก้วชามาแกว่งเบาๆ ในสายตาเต็มไปด้วยเลศนัยและการหยอกเย้า
เขาจงใจพูดเสียงดัง เวลานี้สายตาของผู้คนมากมายจึงตกอยู่บนตัวของหยางเฉินแล้ว
“นั่นคือลูกหลานของตระกูลฉินเหรอ?” มีคนมองทางฉินเฟยแล้วพูดขึ้น
“น่าจะใช่ เมื่อกี้ฉันเห็นเขามาด้วยกันกับฉินคุนผู้นำตระกูลฉิน แต่ว่ากันว่าช่วงนี้ตระกูลฉินเกาะขาของตระกูลจางอยู่ ถึงมีสิทธิ์เข้ามาได้” และมีคนมองทางฉินเฟยแบบเยาะเย้ยพลางพูดขึ้น
“ฉันได้ยินเจ้าคนนั้นพูดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกเขยสวะที่ถูกตระกูลฉินไล่ออกมา คงไม่ใช่เมื่อห้าปีก่อน ลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงที่นอนกับหลานสาวของฉินคุนคนนั้นหรอกมั้ง?” ยังมีคนสังเกตถึงใจความสำคัญในคำพูดของฉินเฟย
หลังจากต่างถกเถียงกันไปทั่วทุกที่ ไม่นานทุกคนล้วนรู้ว่าหยางเฉินคือคนที่นอนกับฉินซีเมื่อห้าปีก่อน
โดยเฉพาะชื่อเสียงของฉินซีแพร่ไปทั่วทั้งเจียงโจวตั้งนานแล้ว และเรื่องเมื่อห้าปีก่อนจึงโด่งดังมาก ถูกเอาออกมากะทันหัน กลับกลายเป็นเรื่องคุยสนุกหลังมื้ออาหาร
“เป็นแค่ลูกเขยสวะที่ชื่อหยางเฉิน เข้ามาได้อย่างไรกันนะ?” ผู้คนมากมายสงสัยอย่างมาก
โดยเฉพาะชื่อเสียงฉาวโฉ่ของหยางเฉินแพร่ไปไกล พวกเขาเพียงรู้ว่าหยางเฉินเป็นพระเอกเมื่อห้าปีก่อน
พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าหยางเฉินแย่งบัตรเชิญมาจากในมือของหวังเจี้ยน เดิมทีคิดจะพากวนเสว่เฟิงมาคิดบัญชีโดยตรง แต่ตอนที่รู้ว่าที่นี่จัดงานเลี้ยงวันเกิด หยางเฉินยังอยากจะเปลี่ยนแผนการสักหน่อย
หลังจากที่เขากลับมาเจียงโจว ทำตัวธรรมดาเกินไป ดังนั้นผู้คนมากมายล้วนเห็นเขาเป็นพวกอ่อนแอ อยากบีบก็บีบ เชือดไก่ให้ลิงดู จึงเป็นวิธีดีที่สุด
ฉินเฟยเห็นหยางเฉินเพิกเฉยต่อตนเองไปอย่างคาดไม่ถึง ชั่วขณะนั้นก็โกรธเคือง “หยางเฉิน แกไอ้สวะคนนี้ คงไม่ใช่ว่าแอบลอบเข้ามาหรอกมั้ง? ไม่อย่างนั้นจะมีสิทธิ์อะไรนั่งอยู่ตรงนี้?”
ครั้งนี้ เสียงของฉินเฟยดังกว่าเดิม และดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย
ตั้งแต่ต้นจนจบหยางเวยนั่งนิ่งอยู่ด้านข้างหยางเฉิน และไม่ได้มีความหมายจะออกไป เพียงรอดูเรื่องสนุก
ถ้าไปช่วยกู้หน้าให้หยางเฉิน หรือว่าไม่สนุกเกินไปแล้ว?
หยางเฉินถามแบบเยาะเย้ย “นี่แกกำลังสงสัยความสามารถของตระกูลกวน?”
“แม่งอย่ามาพูดมั่วนะเว้ย ฉันจะสงสัยตระกูลกวนได้ยังไงกัน?” ฉินเฟยตกใจหน้าเปลี่ยนสี รีบพูดโต้กลับทันที
“วันนี้คนที่เข้ามาในโถงใหญ่ได้ จำเป็นต้องมีบัตรเชิญ ส่วนหน้าประตูก็มีคนของตระกูลกวนตรวจสอบ ตอนนี้ฉันเข้ามาในงานได้ แกกลับสงสัย งั้นไม่ใช่กำลังสงสัยการตรวจสอบความปลอดภัยของตระกูลกวนไม่ผ่านเกณฑ์อยู่เหรอ ถึงปล่อยฉันเข้ามาได้?” หยางเฉินยิ้มกริ่มจ้องฉินเฟยพลางพูดขึ้น
“แกแม่งไม่ต้องมาพูดมั่ว ฉันแค่กังวลว่าแกจะถือโอกาสตอนคนเยอะ แอบหนีเข้ามาต่างหาก” สังเกตเห็นคนของตระกูลกวนมากมายมองเข้ามา ฉินเฟยตกใจจนพูดสับสน
“ยังมาบอกว่าแกไม่ได้สงสัยตระกูลกวน แกคิดว่าฉันเป็นสวะ และบอกว่าฉันแอบหนีเข้ามา นั่นไม่ใช่หมายความว่า ตระกูลกวนรักษาความปลอดภัยแย่เกินไป งานเลี้ยงสำคัญขนาดนี้ แม้แต่สวะในสายตาแกยังแอบหนีเข้ามาได้เลยเหรอ?” หยางเฉินถามอย่างหยอกเย้า
ฉินเฟยสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ หน้าตาโกรธเคืองเต็มที่ “แกหุบปากไปเลยนะ!”
ในเวลานี้เอง มีคนแจ้งพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้ว พนักงานรักษาความปลอดภัยหลายคนมาถึงด้านข้างของหยางเฉิน คนนั้นที่เป็นหัวหน้าพูดจาด้วยท่าทีเคารพมาก “ขออภัยมากนะครับคุณผู้ชายที่รบกวน แต่พวกเราหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเราในการตรวจบัตรเชิญของคุณ”
หยางเฉินส่งเสียงหัวเราะเยาะ “แม้แต่พวกนายเอง ยังสงสัยความสามารถของตระกูลกวน สงสัยว่าฉันแอบหนีเข้ามาเหรอ?”
ถึงพูดว่าในมือมีบัตรเชิญจริง แต่หยางเฉินเดิมทีมาเพื่อก่อเรื่องวุ่น จะยอมทำตามความหมายของตระกูลกวนเหรอ?
หัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าตาเคร่งขรึม ถึงแม้ที่ได้รับเชิญเข้ามาล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลที่สัมพันธไมตรีดีกับตระกูลกวน แต่ว่าในนั้นก็มีคนของตระกูลเล็กๆ ได้รับเชิญมาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาสามารถรังแกเหยียดหยามได้ตามอำเภอใจ
แต่คืนนี้คืองานเลี้ยงวันเกิดของกวนเจิ้งซาน จะเกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางไปรายงานต่อตระกูลกวน
เขาทำได้เพียงกลั้นใจพูดไป “คุณผู้ชายอภัยให้ด้วยครับ ถ้างานของพวกเราผิดพลาด พวกเราจะขอโทษคุณแน่นอนครับ”
ในเมื่อเป็นคนที่ตำแหน่งไม่สำคัญ ไม่มีที่พึ่งอะไร เขาแค่ต้องทำแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกันแล้ว เขากลัวผิดใจตระกูลกวนมากกว่า
ในห้องโถงงานเลี้ยงที่ใหญ่โต ทันใดนั้นมีพนักงานรักษาความปลอดภัยมากขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้น ดึงดูดความสนใจของทั้งงานทันที
สายตาของทุกคนตกอยู่บนตัวของหยางเฉิน อยากจะดูหน่อยว่าชายหนุ่มคนนี้ สรุปเข้ามาได้อย่างไร
เวลานี้ในใจฉินเฟยสับสนอยู่บ้าง ถ้าหยางเฉินไม่มีบัตรเชิญ งั้นเขาก็ถือว่ากำลังเปิดโปงความจริงต่อหน้าของตระกูลกวนสิ
แต่ถ้าหยางเฉินมีบัตรเชิญล่ะ?
เกรงว่าคงโดนตระกูลกวนจำไว้ในใจ เวลานี้ในใจของเขากังวลมากที่สุด มีความรู้สึกเหมือนขี่หลังเสือแล้วลงยาก
“หยางเฉิน ฉันว่าที่จริงแกไม่มีบัตรเชิญ ถึงจงใจพูดเล่นลิ้นแบบนี้กับตระกูลกวนล่ะสิ?” ฉินเฟยฝืนกลั้นสู้จนถึงที่สุดกับหยางเฉิน
ทันใดนั้นมุมปากของหยางเฉินฉีกขึ้นมาเบาๆ ถือโอกาสทิ้งบัตรเชิญลงไปบนโต๊ะ “ก็ใช่ แม้แต่ตระกูลกวนเองยังสงสัย ดูแล้วการรักษาความปลอดภัยคงไม่เท่าไรจริงๆ งั้นให้โอกาสพวกนายได้ตรวจอีกครั้ง ดูสิว่าบัตรเชิญเป็นของปลอมหรือเปล่า สรุปฉันแอบหนีเข้ามาหรือเปล่า”
วินาทีนั้นที่หยางเฉินหยิบบัตรเชิญออกมา ฉินเฟยตกใจจนสีหน้าซีดเซียวขั้นสุด
บัตรเชิญของตระกูลกวนเป็นบัตรผ่านประตู และจะไม่แสดงชื่อสกุลของผู้ได้รับเชิญเอาไว้ด้วย และเมื่อพูดแบบนี้ ขอเพียงมีบัตรเชิญ อย่างนั้นก็สามารถเข้ามาในโถงงานเลี้ยงแห่งนี้ได้
หลังพนักงานรักษาความปลอดภัยตรวจสอบรอบหนึ่ง รีบยื่นไปให้หยางเฉินด้วยสองมืออย่างเคารพนอบน้อม “คุณผู้ชายครับ ขออภัยมากๆ ครับ นี่คือบัตรเชิญของตระกูลกวน เมื่อสักครู่เสียมารยาทแล้ว โปรดท่านให้อภัยด้วยครับ”