The king of War - บทที่ 855 ทำงานให้คุณ
กุ่นเจี้ยนโฉวปลิ้นปล้อนมาก เล่ห์เหลี่ยมที่เขาครอบครองทั้งหมด ยังพิเศษมากๆ เช่นกัน พูดขึ้นมาแล้ว ระหว่างหยางเฉินก็ไม่ได้มีความแค้นมากมายเท่าไร
ถึงแม้เขาจะพาตัวฉินซีไป และทำร้ายเฉียนเปียวด้วย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ไม่มีทางกอบกู้คืน
โดยเฉพาะทุกอย่างนี้ ล้วนเป็นเซวหยวนจี๋บังคับบัญชา หยางเฉินยินยอมไว้ชีวิตกุ่นเจี้ยนโฉวสักครั้งจริงๆ
“พี่เฉิน!”
เวลานี้ เฉียนเปียวอยู่ภายใต้การพยุงของผู้แข็งแกร่งทีมพิทักษ์เงาลับสองคนเดินเข้ามาแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ทั้งตัวดูอ่อนแรงมาก
“พี่เฉิน ขอ……”
เฉียนเปียวทำหน้ารู้สึกผิด กำลังอยากกล่าวขอโทษ ก็ถูกหยางเฉินพูดขัด “นายไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแค่ศัตรูแกร่งเกินไป นายกลับไปพักรักษาตัวก่อน”
เฉียนเปียวรู้ว่าหยางเฉินรีบร้อนตามหาฉินซี จึงไม่พูดไร้สาระ พยักหน้า ถูกผู้แข็งแกร่งทีมผู้พิทักษ์เงาลับสองคนพาตัวไป
กุ่นเจี้ยนโฉวมองภาพด้านหลังของเฉียนเปียวที่จากไปแวบหนึ่ง สายตาเปล่งประกาย ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
หยางเฉินก็จ้องกุ่นเจี้ยนโฉวมาตลอด รอคำตอบของกุ่นเจี้ยนโฉว
“ฉันเปลี่ยนความคิดกะทันหันแล้ว”
กุ่นเจี้ยนโฉวพูดขึ้นทันใด
หยางเฉินขมวดคิ้วแล้ว “แกไม่เอาเงินหนึ่งพันล้านกับเฮลิคอปเตอร์แล้ว?”
กุ่นเจี้ยนโฉวพยักหน้า “ฉันอยากทำงานให้นาย”
เวลานี้ บนหน้าอัปลักษณ์ใบนั้น มีเพียงความจริงจัง
“ทำงานให้พี่เฉิน?”
หม่าชาวหัวเราะเยาะ “คนที่อยากทำงานให้พี่เฉินมีเยอะแยะไป แกมีสิทธิ์อะไร?”
“อย่างน้อย ฉันก็แกร่งว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นที่คุ้มครองภรรยาของเขา”
กุ่นเจี้ยนโฉวรีบพูดโต้กลับทันที
ชั่วขณะนั้นหม่าชาวพูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นฉับพลัน
หยางเฉินหรี่ดวงตาขึ้นมาเล็กน้อย “ทำงานให้ฉัน แกแน่ใจ?”
หยางเฉินจะเชื่อได้อย่างไรว่ากุ่นเจี้ยนโฉวอยากทำงานให้เขาจริง?
เขาในตอนนี้ อยากฆ่าคนของตระกูลเซวจนเกลี้ยงใจแทบขาด
กุ่นเจี้ยนโฉวในเวลานี้ กลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทำหน้าไม่กลัวมองทางหยางเฉินแล้วบอกว่า “ฉันมีสิทธิ์แน่นอน!”
“ก็สิทธิ์ที่ฉันกุ่นเจี้ยนโฉวสามารถช่วยภรรยาของนายออกมาได้น่ะสิ และยังช่วยนายจัดการตระกูลเซวได้ด้วย”
“ถ้านายไม่เชื่อฉัน ฉันสามารถสาบานต่อนายก่อนก็ได้”
หยางเฉินตอบว่า “ได้สิ! งั้นสาบานให้ฉันดูก่อน”
“ได้!”
กุ่นเจี้ยนโฉวไม่ได้ลังเลใดๆ ตอบรับไป จากนั้นพูดอีกว่า “แต่ฉันคิดว่า ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือช่วยผู้หญิงของนายออกมาก่อน”
“สำหรับเรื่องสาบาน รอช่วยผู้หญิงของนายออกมาแล้ว ค่อยว่ากันได้”
ครั้งนี้ แม้แต่หยางเฉินยังตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน
เขาเพียงแค่พูดไปเรื่อย นึกไม่ถึงว่ากุ่นเจี้ยนโฉวจะรับปากแบบสบายใจขนาดนี้ เหมือนกับว่าทำการสาบาน เล็กน้อยจนไม่คุ้มค่าให้พูดถึง
“ในเมื่อแกบอกว่าสามารถช่วยฉันพาตัวภรรยาฉันออกมาได้ งั้นก็ช่วยชีวิตคนก่อน เรื่องที่เหลือ ต่อไปค่อยว่ากัน”
หยางเฉินเอ่ยปากบอก และไม่ได้สัญญาว่า จะรับปากให้กุ่นเจี้ยนโฉวทำงานเพื่อตนเอง
ไม่ใช่หยางเฉินไม่อยากได้ยอดฝีมือแบบนี้ แต่ว่ากุ่นเจี้ยนโฉวอันตรายเกินไป เขาไม่มีทางยืนยันได้ชั่วคราวว่า กุ่นเจี้ยนโฉวเป็นสายลับที่ตระกูลเซวส่งมาหรือไม่
ถึงแม้ดูขึ้นมาจะไม่เหมือน แต่ยังคงคุ้มค่าให้สงสัยไว้
“พี่เฉิน พี่เชื่อคำพูดของเขาได้อย่างไรกัน?”
ชั่วพริบตาเดียวหม่าชาวร้อนใจแล้ว รีบบอกไป
หยางเฉินขมวดคิ้วแล้ว “ฉันรู้ว่าควรทำยังไง”
ได้ยินดังนั้น หม่าชาวจึงไม่พูดโน้มน้าวอีก
“คุณหยาง ไม่มีเวลามัวชักช้าแล้ว พวกเราไปช่วยภรรยาคุณกันตอนนี้เถอะ?”
กุ่นเจี้ยนโฉวเอ่ยปากบอก
“ไป!”
หยางเฉินพูดขึ้น
ตอนนี้ถึงแม้รู้ว่าด้านหน้าเป็นขุมนรก ขอเพียงเกี่ยวข้องกับการช่วยฉินซี เขาจะบุกเข้าไปอย่างไม่ลังเลสักนิดเดียว
“คุณไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ภรรยาของคุณปลอดภัยดี ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ เธอจะไม่เป็นอะไร”
ระหว่างทางที่ไปช่วยฉินซี กุ่นเจี้ยนโฉวมองความกังวลใจของหยางเฉินออก จึงส่งเสียงพูดขึ้น
หยางเฉินมองทางกุ่นเจี้ยนโฉว ขมวดคิ้วพูดว่า “สรุปเซวหยวนจี๋กำลังเล่นลูกไม้อะไรอยู่?”
“เขาอยากทำให้คุณเชื่อง!”
กุ่นเจี้ยนโฉวพูดประโยคนี้จบ หัวเราะขึ้นมากะทันหัน “เพียงแต่ เดิมทีเขาไม่รู้ว่า ครั้งนี้คนที่เขาอยากจะทำให้เชื่องเป็นคนแบบไหน”
“ทำให้ฉันเชื่อง!”
หยางเฉินทำหน้าแปลกประหลาด
ทั่วทั้งโลกนี้ มีใครกล้าพูดว่าสามารถทำให้ตนเองเชื่องได้?
ลูกหลานตระกูลเดอะคิงคนหนึ่ง กล้าพูดโอ้อวดเต็มที่?
“เซวหยวนจี๋เป็นคนหยิ่งยโสทีอย่างยิ่ง แต่คนที่ถูกเขาสนใจ ถ้าไม่ตาย ก็ต้องทำให้เชื่อง”
“หลายมาผ่านมานี้ เขาใช้ลูกไม้เดียวกัน ทดลองหลายครั้งไม่มีพลาด รวมทั้งผมด้วย ความจริงก็ถูกบีบจนจำใจ ถึงทำงานให้เขา”
กุ่นเจี้ยนโฉวพูดจานิ่งๆ “เพียงแต่ ที่เขาไม่รู้ก็คือ ผมไม่ได้ถูกเขาทำให้เชื่อง แต่ว่าเดิมทีผมแค่อยากตามหาที่ซุกหัวนอนสักแห่ง เจอเขาเข้าพอดี เลยติดตามอยู่ข้างกายเขาแล้ว”
“คนชั่วที่มีลูกไม้แอบแฝงนิดหน่อยคนหนึ่ง จะทำให้ผมเชื่องได้เหรอ? ฝันไปเถอะ!”
กุ่นเจี้ยนโฉวทำหน้าทระนงองอาจ เหมือนว่าเดิมทีไม่ได้เห็นเซวหยวนจี๋อยู่ในสายตาเลย
หยางเฉินบอกว่า “ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ลูกหลานของตระกูลเดอะคิงคนหนึ่ง และยังเป็นเจ้าชายที่อนาคตอาจจะได้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ ทำไมแกถึงอยากจะทำงานให้ฉันขึ้นกะทันหัน?”
กุ่นเจี้ยนโฉวมองหม่าชาวที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับแวบหนึ่ง และมองทางหยางเฉินแล้วตอบว่า “ผมปะทะมือกับเฉียนเปียว ถึงแม้เขาจะแพ้แล้ว กลับเป็นผมที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่ำทราม”
“หากให้สู้กันแบบสง่าผ่าเผยจริงๆ ล่ะก็ ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“แม้แต่เขาผู้มีตัวตนแบบนี้ อยู่ต่อหน้าคุณยังทำท่าทางเคารพ แล้วผมจะมีเหตุผลอะไรถึงไม่ติดตามคุณล่ะ?”
กุ่นเจี้ยนโฉวพูดอยู่ มองทางหม่าชาวบอกว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ เกรงว่าความสามารถคงแกร่งกว่า น่าจะไม่เป็นรองเฉียนเปียว”
“แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่ทำให้ผมตัดสินใจ อยากทำงานให้คุณ เป็นเพราะตอนที่เผชิญหน้ากับคุณ เดิมทีผมไม่มีกำลังโต้กลับสักนิด”
“ประเด็นคือ คุณยังอายุน้อยขนาดนี้ กลับครอบครองความสามารถที่แกร่งเช่นนี้ไว้ ก่อนหน้านี้ยังบีบให้เซวหยวนป้าออกไปจากเมืองเยี่ยนตูได้อีก เซวหยวนจี๋เทียบกับคุณแล้ว แม้แต่เป็นสวะยังเทียบไม่ติดเลยทีเดียว”
หยางเฉินกลับคาดไม่ถึงว่า พลังสังเกตของเซวหยวนจี๋คนนี้จะแกร่งขนาดนี้เลย สมองก็ทำงานดีมาก
เพียงแค่ดูจากรายละเอียดบางอย่าง ก็มองออกมากขนาดนี้แล้ว
“ฉันเจอจุดเด่นของแกอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
หม่าชาวที่ไม่พูดมาโดยตลอด ทันใดนั้นเอ่ยปากแล้ว
กุ่นเจี้ยนโฉวรีบถามทันที “จุดเด่นอะไร?”
“ฝีมือประจบสอพลอยอดเยี่ยมมาก”
หม่าชาวพูดแบบเคร่งขรึมจริงจัง
กุ่นเจี้ยนโฉวตะลึงนิดหน่อย จากนั้นยิ้มตอบว่า “ขอบใจที่ชม!”
หยางเฉินมึนงงอยู่บ้าง กุ่นเจี้ยนโฉวคนนี้หน้าเสียโฉมหนัก จากบนหน้ามองไม่ออกว่าเขาอายุเท่าไร มีเพียงผมขาวบนหัว ทำให้เขาคิดว่ากุ่นเจี้ยนโฉวอายุมาก
แต่ที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือ กุ่นเจี้ยนโฉวขี้เล่นมาก และไม่เหมือนเป็นคนแก่ที่มีอายุสักคนหนึ่ง
หม่าชาวทำหน้าหมดคำจะพูด เอ่ยปากบอก “พี่เฉิน พี่ต้องคิดทบทวนให้ดีนะ เจ้าหมอนี่ ดูอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจ เอาไว้ข้างตัว จะเป็นตัวอันตรายเอานะครับ”
กุ่นเจี้ยนโฉวร้อนใจในชั่วขณะนั้นแล้ว “ฉันแค่พูดตามความจริง กลายเป็นตัวอันตรายได้ยังไง?”
พูดจบ เขาจึงรีบมองทางหยางเฉินก่อนจะพูดว่า “คุณหยาง คุณวางใจได้ ในคืนนี้ ผมจะพิสูจน์ความสามารถของตนเอง และจะเอาคำสาบานของตระกูลเซวมาให้คุณให้ได้”
หยางเฉินไม่อยากฟังกุ่นเจี้ยนโฉวพูดไร้สาระ ทันใดนั้นถามว่า “ที่แกพูดก่อนหน้านี้ว่า เซวหยวนจี๋มาเมืองเยี่ยนตู มีเป้าหมายอะไรนะ?”
กุ่นเจี้ยนโฉวพยักหน้า “คุณรู้ไหม จิ่วโจวมีสี่ชายแดนเก้าเขตใหญ่ ทำไมมีเพียงพื้นที่ของเยี่ยนตู ซึ่งไม่ขึ้นต่อสี่ชายแดนและเก้าเขตใหญ่?”
หยางเฉินส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆ และไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนด้วย
ตอนนี้ได้ยินกุ่นเจี้ยนโฉวพูดแบบนี้ เขาก็มีความสนใจแล้ว
แม้แต่หม่าชาว ยังทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
กุ่นเจี้ยนโฉวเล่าต่อว่า “ว่ากันว่า เมืองเยี่ยนตูเคยถูกเรียกว่าเมืองจักรพรรดิ์ ตอนนั้นยังเป็นราชวงศ์ทั้งเก้า แบ่งกันควบคุมจิ่วโจวเป็นเก้าเขตใหญ่ มีเพียงเมืองเยี่ยนตูแห่งเดียวที่ไม่ขึ้นต่อเขตใดๆ แต่ทว่ายังสามารถสั่งเก้าเขตใหญ่ได้”
“และจากตอนนั้นเป็นต้นมา เมืองเยี่ยนตูก็เป็นอิสระต่อสี่ชายแดนและเก้าเขตใหญ่มาตลอด และไม่มีราชวงศ์ใดสักแห่ง กล้าปรารถนาพื้นที่ของเยี่ยนตู”