The king of War - บทที่ 870 ผู้แกร่งกล้าแห่งตี้ชุน
ดูจากพลังแท้จริงของหยางเฉินที่ปรากฏเป็นประจักษ์ชัดในทุกวันนี้ ทั้งอิทธิพลที่สยบกลุ่มเศรษฐี ไม่เห็นมีที่ด้อยกว่าตระกูลอวี๋เหวินเลยแม้แต่น้อย
แต่ที่ได้ยินในความหมายของอวี๋เหวินเกาหยางว่า ไม่ใช่ให้ทำเพื่อตระกูลอวี๋เหวิน
“ความหมายของท่านคือ?”
หยางเฉินเอ่ยปากถาม
อวี๋เหวินเกาหยางพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น “ช่วงนี้เห็นคนมาเยี่ยนตูกันคึกคัก และก็ได้เกิดเรื่องต่าง ๆ มากมาย เจ้าคงรู้ดีมัง?”
หยางเฉินผงกหัว “ตระกูลเดอะคิงห้าตระกูล ตระกูลคิงเซว ตระกูลคิงเฉา ตระกูลคิงไป๋ ตระกูลคิงกวน ต่างก็ปรากฏตัวมาแล้ว อาจจะมีบางตระกูลราชวงศ์อื่น ๆ ที่ผมไม่รู้จัก ก็มาด้วยแล้ว”
สำหรับหยางเฉิน ขอเพียงแต่ไม่มายุ่งกับเขา ไม่ได้เข้ามายุ่มย่ามเรื่องทุกอย่างที่เป็นของเขาเอง เขาก็จะไม่ใส่ใจด้วย
ฉะนั้นจึงไม่ได้เจาะจงไปสืบเสาะ หาให้รู้ว่าใครในราชวงศ์หรือตระกูลคิงไหนจะมาที่เยี่ยนตู
อวี๋เหวินเกาหยางพูดเสียงลุ่มลึก “แต่ก่อนนี้ตระกูลราชวงศ์และตระกูลเดอะคิงก็มีมาเพื่อขยายกิจการของตนในเยี่ยนตู แต่ก็แค่เพียงมาตีเกราะเคาะกะลา ยังไม่เคยมีปรากฏการประโคมโหมแห่เอาคนเข้ามาในเยี่ยนตู เจ้ารู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
ก่อนหน้านี้มีกุ่ยเจี้ยนโฉวที่หวังจะได้รับความไว้วางใจจากหยางเฉิน ก็ได้บอกเรื่องราววงในอันเป็นความลับแก่หยางเฉินมากมาย
หยางเฉินย่อมรู้เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ดี เอ่ยปากพูดว่า “ด้วยเพราะคน ๆ นั้น เคยวางกฎเกณฑ์ไว้ นอกเสียแต่ในเยี่ยนตูจะเกิดมีเดอะคิงเพิ่มมาอีกหนึ่ง มิฉะนั้น ห้ามลูกหลานทายาทของตระกูลราชวงศ์และตระกูลเดอะคิง เหยียบเข้ามาในเยี่ยนตูแม้แต่ก้าวเดียว”
พอพูดประโยคนี้จบ เฃาเห็นแจ้งขึ้นมา คาดเดาได้ว่าอวี๋เหวินเกาหยางกำลังหมายถึงอะไร
จริงอย่างที่คาดไว้ อวี๋เหวินเกาหยางผงกหัว พูดเสียงหนักแน่น “ตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิงต่างจ้องกระสันมาที่เยี่ยนตูนี้นานมาแล้ว โดยมีคำพูดที่ร่ำลือกันอยู่ว่า ใครได้เยี่ยนตูก็คือผู้ครองทั้งแผ่นดิน!”
“ทว่าเยี่ยนตูที่เจ้าเห็นนั้น ไม่ได้เป็นธรรมดาทั่วไปอย่างที่เห็น คนทั้งแผ่นดินคิดกันเพียงแต่ว่าแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูคือบรรดาตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด แต่มันใช่เป็นไปได้หรือ?”
“เพียงหนึ่งเขตุคูเมือง จะมีแปดตระกูลทรงอิทธิพลที่สุดอยู่ด้วยกันถึงแปดตระกูลได้ยังไง?”
หยางเฉินก็ยังไม่ได้คิดถึงในข้อนี้จริง ๆ พอได้ยินอวี๋เหวินเกาหยางพูด ให้รู้สึกสะท้านใจอย่างที่สุด “หรือว่า ในเยี่ยนตูนี้ ยังมีตระกูลที่เหนือชั้นไปกว่านี้อยู่อีก?”
อวี๋เหวินเกาหยางผงกหัว “ตี้ชุน!”
“ตี้ชุน?”
หยางเฉินก็เพิ่งได้ยินชื่อคำนี้เป็นครั้งแรก “ตี้ชุนนี้เป็นชื่อสถานที่หรือ?”
“เป็นชื่อหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่มีประชากรอยู่เพียงร้อยกว่าครัวเรือน”
อวี๋เหวินเกาหยางเอ่ยพูด ขณะที่พูดถึงคำว่า“ตี้ชุน” สีหน้ายังแสดงออกให้เห็นถึงความรู้สึกยำเกรง
“หมู่บ้านนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีจำนวนคนอยู่ห้าร้อยกว่าคน แต่จากคำเล่าลือ ในตี้ชุนนั้นมากด้วยผู้แกร่งกล้าที่น่าสะพรึงกลัว ว่ากันว่าแค่ผู้แกร่งกล้าในตี้ชุนออกมาคนหนึ่ง ก็สามารถสยบบรรดาผู้แกร่งกล้าที่มีอยู่ของแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูได้”
“อีกทั้งผู้ที่ตั้งกฎข้อบังคับเมื่อร้อยปีก่อน ห้ามไม่ให้ลูกหลานตระกูลราชวงศ์และตระกูลเดอะคิงเหยียบเข้ามาในเยี่ยนตู ก็มาจากตี้ชุน”
อวี๋เหวินเกาหยางร่ายเรื่องราวลึกลับนี้ออกมาเนิบ ๆ
หยางเฉินก็ตื่นตะลึงไปด้วยขณะนั้น ไม่คิดว่าในเยี่ยนตูยังมีหมู่บ้านที่น่าสะพรึงกลัวนี้อยู่ด้วย ขนาดแค่ผู้แกร่งกล้าคนใดคนหนึ่งเดินออกมา ก็สามารถสยบแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูได้
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ทำได้ แต่คนระดับเขาขนาดนี้ อย่าว่าแต่ทั่วทั้งจิ่วโจวเลย ให้ดูไปทั้งโลก จะมีสักกี่คน?
ก่อนหน้านี้ เขาก็เชื่อมั่นว่าตัวเขาเองก็มีความแกร่งกล้ามาก มาถึงวันนี้จึงได้รู้สึก วิสัยทัศน์ของตัวเองนั้นสั้นแคบมาก โลกกว้างไพศาล เรื่องให้อัศจรรย์แก่ใจมีอยู่มากหลาย อีกมากมายคนแกร่งกล้าที่ไม่ได้ปรากฏให้เห็น เขายังไม่รู้ ไม่ใช่ว่าไม่มี
“ฉะนั้น การปรากฏตัวในเยี่ยนตูของตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิง เป้าประสงค์ที่แท้จริง คือต้องการยึดครองตี้ชุน?”
หยางเฉินหาญลองวิเคราะห์
อวี๋เหวินเกาหยางบอกว่า “ก็ถือว่าเจ้าทายได้ถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง”
“เมื่อร้อยปีก่อน คนผู้นั้นใช้ฝีมือเพียงคนเดียวสยบทั้งห้าตระกูลราชวงศ์ในสมัยนั้น และจัดการตัดทอนอำนาจให้เป็นเพียงตระกูลเดอะคิง และได้พูดกำชับไว้อยู่สองประโยค”
“ประโยคแรก เจ้าก็รู้แล้วคือ นอกเสียจากในเยี่ยนตูมีเดอะคิงเพิ่มขึ้นมา ตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิงจึงจะย่างเหยียบเข้ามาเยี่ยนตูได้”
“ประโยคนี้ คนส่วนมากก็รู้กันกันอยู่ แต่ยังมีอีกประโยคหนึ่ง อันนี้เป็นความลับ มีเพียงผู้นำของตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิง อีกตระกูลเศรษฐีใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่จะรู้กัน”
“อีกประโยคนั้นคือ ใครผู้ใดครอบครองเยี่ยนตูได้คือคิง!”
“แต่ยังมีที่ควบคู่กับประโยคที่สองนี้อีก เป็นคำกำชับสั่งสอนของบรรพชนของตี้ชุน ว่าเมื่อคิงแห่งเยี่ยนตูปรากฏขึ้น ตี้ชุนก็จะเกิด คอยพิทักษ์และสนับสนุนคิงแห่งเยี่ยนตู”
ถึงแม้มีเตรียมพร้อมอยู่แล้วในใจ แต่พออวี๋เหวินพูดถึงความลับนั้นออกมา หยางเฉินก็ยังเกิดสะทกสะท้านขึ้นเป็นที่สุด
ไม่ว่าใครคนไหนที่เดินออกมาจากตี้ชุน ล้วนแล้วแต่สามารถสยบแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตูได้ แต่คิงแห่งเยี่ยนตู จะสามารถเป็นผู้นำของตี้ชุน
เขาจึงเข้าใจได้ขึ้นมาในทันทีถึงความหมายของประโยคที่ว่า “ผู้ได้ครองเยี่ยนตูคือผู้ครองแผ่นดิน”
ได้ครองเยี่ยนตู ก็จะได้ครองตี้ชุน ถ้าผู้แกร่งกล้าของตี้ชุนบังเกิดขึ้น จะสร้างความอึกทึกครึกโครมขนาดไหน
“เจ้าควรจะเข้าใจให้ดีนะว่า หากตี้ชุนบังเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ความพลิกผันที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นขนาดไหน?”
สายตาอวี๋เหวินเกาหยางจ้องหน้าหยางเฉิน “ถ้าหากว่าผู้ที่ถูกตี้ชุนเห็นชอบยกให้เป็นคิงแห่งเยี่ยนตูถ้าเป็นคนดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นคนเลวหละ?”
ข้อเท็จจริงมันก็เป็นเช่นนี้ คนบ้านที่ไม่ได้ย่างกรายออกมานอกหมู่บ้านเลย ไม่เคยได้รู้เรื่องสภาวการณ์ใด ๆ ภายนอก ถ้าได้ผู้นำที่ดี ทุกอย่างก็จะเป็นปกติสุข
แต่ถ้าหากเป็นคนเลว ก็จะยืมมือผู้แกร่งกล้าของตี้ชุน หาผลประโยชน์ใส่ตัว ถึงเวลานั้นระเบียบวินัยของจิ่วโจว ตลอดจนกระทั่งทั่วทั้งแผ่นดิน น่ากลัวคงเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง
“เวลานี้ มีคนเริ่มแกล้งปล่อยข่าว บอกว่าเจ้ากำลังประกาศตัวเป็นเดอะคิงแห่งเยี่ยนตู มันเป็นโอกาสที่คอยมาอย่างแสนยากของพวกที่กระสันจ้องจะเอาเยี่ยนตูเป็นเวลาร้อยปีมาแล้วของพวกนั้น ถึงถ้าแม้นว่าจะเป็นข่าวปลอม มีหรือพวกเขาจะยอมปล่อยโอกาสนี้ไป?”
อวี๋เหวินเกาหยางพูดเสียงหนักแน่น “เวลานี้ มีแต่ว่าให้เจ้ามาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอวี๋เหวิน ก็จะได้เป็นการปฏิเสธข่าวลือของการตั้งตัวเป็นเดอะคิงของเยี่ยนตูออกไป”
“ในเมื่อร้อยปีก่อน คนผู้นั้นได้ตั้งกฎระเบียบไว้แล้ว ตระกูลราชวงศ์และตระกูลเดอะคิงก็ยังไม่กล้าทำการใด ๆ ก็แสดงให้เห็นได้ว่า ต้องมีอะไรที่พวกเขาหวาดเกรงอยู่”
“ขอเพียงแต่ให้เจ้าทำลายข่าวลือเรื่องที่เจ้าจะประกาศตัวเป็นเดอะคิงแห่งเยี่ยนตูไป ถึงแม้พวกตระกูลราชวงศ์กับพวกตระกูลเดอะคิงจะกระสันจ้องตี้ชุน ก็คงยังต้องคิดแล้วคิดอีกอย่างหนัก ว่าคน ๆ นั้นจะยังมีทิ้งกับดักอะไรไว้หรือเปล่า?”
ได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่อวี๋เหวินเกาหยางพูด หยางเฉินจึงเข้าใจได้ว่าท่านผู้นี้ทำไปด้วยใจอันเป็นคุณธรรม
“ผมสามารถแสดงความบริสุทธิ์ให้คนข้างนอกเข้าใจได้ ว่าผมเองนั้นไม่เคยนึกสนุกกับเรื่องเดอะคิงเยี่ยนตูอะไรนั่นเลย”
หยางเฉินพูด ตัวเขาเองก็ไม่คิดเป็นผู้สืบต่อตำแหน่งผู้นำตระกูลอวี๋เหวินด้วย
ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่สายเลือดตระกูลอวี๋เหวิน ถ้าจะให้เขาเป็นผู้นำตระกูลจริง แล้วคนในตระกูลจะมองเขาอย่างไร?
เกรงว่าคนในตระกูลจำนวนมากคงไม่ยินยอม
“พวกกลุ่มตระกูลเศรษฐีพวกนั้นต่างจ้องรอโอกาสมาตลอด กว่าจะมาได้เจอโอกาสดี ๆ แบบนี้ ต่อให้เจ้าไปแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว จะมีความหมายอะไร?”
อวี๋เหวินเกาหยางย้อนถาม
หยางเฉินเงียบขรึมลง เขาไม่เคยไปประกาศตัวว่าจะเป็นเดอะคิงแห่งเยี่ยนตูเลย คนของตระกูลราชวงศ์กับตระกูลคิงก็ใช่ว่าจะไม่รู้
แต่ก็เป็นอย่างที่อวี๋เหวินเกาหยางพูด รอมากันถึงร้อยปีแล้วกว่าจะได้โอกาส พวกเขามีหรือจะปล่อย?
ที่ข่าวว่าเขาประกาศตัวเป็นเดอะคิงแห่งเยี่ยนตู มันก็เป็นเพียงฉากลวงเท่านั้นเอง เพื่อเอาไว้ปิดบังความคิดกำเริบเสิบสานของตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิง
ถึงถ้าแม้นว่าเป็นกลหมากของคนเมื่อร้อยปีที่แล้วท่านนั้นวางไว้ ถึงเวลานั้น พวกเขาก็อ้างได้เต็มที่ว่า ได้ข่าวมีคนประกาศตัวขึ้นมาเป็นเดอะคิงแห่งเยี่ยนตู จึงได้พากันเข้ามาเยี่ยนตูกัน
อีกทั้งเหตุผลในครั้งนี้ก็ประจวบเหมาะมาก เรื่องที่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นเดอะคิง มันมีคนลือออกไปจริง ถึงจะเป็นเรื่องไม่จริง ก็เป็นเรื่องที่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือได้
ประเด็นสำคัญคือ ก่อนที่ตระกูลราชวงศ์กับตระกูลเดอะคิงจะเข้ามาพัวพันกับเรื่องในเยี่ยนตู ตัวเขาเองก็มีพลังอิทธิพลที่จะประกาศตัวเป็นเดอะคิงได้อยู่แล้ว
“สำหรับเรื่องนี้ ผมจะขอคิดดูก่อน”
หยางเฉินนิ่งขรึมไปพักใหญ่ ก็ได้เอ่ยปากพูด