The king of War - บทที่ 89 ขอเพียงเรื่องเดียว
ฉากนี้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก จนถึงหลังจากที่กวนเจิ้งซานถูกชายฉกรรจ์ห้อมล้อมเอาไว้ ทุกคนก็ตั้งสติกันขึ้นมา
คนพวกนี้มาเพื่อจัดการกับตระกูลกวน คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
กวนเจิ้งซานก็ยิ่งตกใจไม่น้อย กระบอกปืนนับร้อยชี้มาทางตนเองคนเดียว เขาเป็นถึงผู้นำของตระกูลกวน ไม่เคยมีใครเอาปืนชี้เขาอย่างนี้มาก่อน
แถมยังถูกปืนนับร้อยจี้ที่หัวด้วย
“พวกมึงเป็นใครวะ? ทำไมบุกเข้ามาตระกูลกวนได้?” กวนเจิ้งซานแกล้งทำเป็นตั้งมั่น แต่เสียงที่สั่นเครือ ไม่สามารถปกปิดความกลัวในใจได้
ในตอนนั้นเอง ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้า ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พวกเราได้รับแจ้งรายชื่อมา ว่าตระกูลกวนได้ใช้อาวุธสงครามต้องห้าม ตอนนี้หลักฐานชัดเจน คุณยังจะขัดขืนอีกอย่างนั้นหรือ? คนตระกูลกวนทุกคน จะต้องไปกับผม”
ทุกคนก็ตกใจตาโต อยู่ดีๆ ก็มีชายฉกรรจ์กำยำบุกเข้ามานับร้อย ไม่เพียงจะนำตัวกวนเจิ้งซานไป แต่จะนำตัวคนตระกูลกวนทุกคนไปด้วย นี่คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่!
พอได้ยินหัวหน้าทีมพูดแบบนั้น กวนเจิ้งซานก็หมดแรง นั่งฟุบลงไปที่พื้น ใบหน้าอึ้งนิ่งไป “เป็นไปได้อย่างไร?”
ตระกูลอันดับต้นๆ แบบตระกูลกวน ล้วนมีทีมที่คอยปกป้องรักษาความปลอดภัย หลายปีมานี้ ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้กลับถูกคนมากมายล้อมเอาไว้
เขาไม่ได้โง่ นี่จะต้องมีคนต้องการจะล้มตระกูลกวนแน่ๆ พักใหญ่ กวนเจิ้งซานก็ตั้งสติขึ้นได้ ตอนที่หันไปมองหยางเฉินนั้น ใบหน้าตนเองก็หมดสภาพไปเลย
“มึงเป็นใครกันแน่?” กวนเจิ้งซานมีใบหน้าหมดหวัง ต่อให้ต้องตาย เขาก็ต้องรู้ให้ได้
ต่อให้เขาไม่ยอมเชื่อ ว่าคนพวกนี้ปรากฏตัวออกมาเพราะว่าหยางเฉิน แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาก็ต้องยอมรับกรรม
ส่วนหยางเฉินก็ยิ้มอย่างไม่มีพิษมีภัย “กูเป็นใคร มันสำคัญด้วยหรือ?”
“ปล่อยตระกูลกวนไปเถอะ ต่อจากนี้ตระกูลกวนจะคอยรับใช้คุณเอง” กวนเจิ้งซานก็นิ่งสงบลงในไม่นาน
หยางเฉินก็ยิ้มขึ้นมา “มึงคงจะไม่คิดหรอกนะว่าคนพวกนี้กูเป็นคนเชิญมา? ต่อให้เป็นแบบนี้จริง มึงเชื่อหรือ?”
กวนเจิ้งซานก็อึ้งไป หรือว่าจะไม่ใช่เขา?
แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร?
“เจ้าบ้านกวน นี่เรียกว่า ทำเรื่องไม่ดี ต้องรับกรรม คุณก็ยอมให้ตรวจสอบดีๆ เถอะ ผมมั่นใจ ว่าถ้าพวกคุณไม่ได้ทำผิดอะไร ทางการก็จะไม่รังแกประชาชนหรอก แต่ถ้ามีสิ่งผิดปกติ งั้นก็ภาวนาเอาเองแล้วกัน!”
หยางเฉินยิ้มไป แล้วก็หันไปมองชายฉกรรจ์พวกนั้น “ท่านหัวหน้า ผมพูดถูกใช่ไหมครับ?”
“แน่นอนครับ!”
หยางเฉินเรียกเขาว่า หัวหน้า ชายฉกรรจ์คนนั้นก็ตัวสั่น แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยตัว ได้แต่พูดเสียงดังไปว่า “นำตัวไป!”
กวนเจิ้งซานและลูกหลานตระกูลกวนทั้งหมด ก็ถูกนำตัวไป
ชายผู้เป็นหัวหน้าก็กวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขรึมๆ ว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นภารกิจลับของพวกเรา ตัวตนของทุกคนในงานล้วนถูกจับตามองไว้หมดแล้ว ถ้าหากว่ามีใครกล้าเปิดเผยเรื่องของตระกูลกวน ก็จะลงโทษด้วยกฎหมายโทษฐานกบฏต่อแผ่นดิน”
พอสิ้นเสียงเขา ก็ก้าวเดินออกไป
ในห้องโถงงานเลี้ยงใหญ่ ทุกคนล้วนมีใบหน้าตกใจ โทษฐานกบฏนี่ต้องประหารทั้งตระกูล
ใครๆ ก็รู้ดี ว่าหลังจากนี้ ที่เจียงโจวก็จะไม่มีตระกูลกวนอีกต่อไป ตระกูลกวนสูญสิ้นไปได้อย่างไรนั้น ก็จะกลายเป็นคดีที่สืบความไม่ได้ของเจียงโจว
เพียงแต่ ในหัวของทุกคนล้วนมีข้อสงสัยใหญ่อยู่ว่า ชายฉกรรจ์ที่นำตัวคนตระกูลกวนไปนั้น ใครเป็นคนเรียกพวกเขามากันแน่?
จะเป็นไอ้หนุ่มนั่นหรือเปล่า?
สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่ตัวหยางเฉิน
ตอนที่สองพ่อลูกหวังหงเย่และหวังเจี้ยน เห็นสายตาหยางเฉินมองมาที่ตนเองนั้น ตัวก็สั่นไปหมด
“ฟุบ!”
สองพ่อลูกก็คุกเข่าลงที่เท้าของหยางเฉิน หวังหงเย่ก็พูดขอร้องว่า “คุณหยางครับ ก่อนหน้านี้ลูกชายผมมีความผิด ผมขอโทษคุณด้วยครับ ขอให้คุณปล่อยตระกูลหวังของเราไปเถอะครับ”
“คุณหยางครับ ผมสำนึกผิดแล้ว ไม่กล้าไปหาเรื่องคุณแล้วล่ะครับ คุณก็คิดเสียว่าผมเป็นเพียงผายลม ปล่อยผมไปเถอะ” หวังเจี้ยนก็พูดอย่างตัวสั่น
กว่าตระกูลหวังจะคบค้าสมาคมกับตระกูลกวนได้ ก็ไม่ง่าย ตอนนี้คนตระกูลกวนทั้งหมดถูกนำตัวไป ทุกอย่างมันเป็นลางบอกเหตุว่าตระกูลกวนจะกำลังล่มสลาย
ทุกอย่างนี้ อาจจะเป็นไปได้มากว่าชายตรงหน้าเป็นคนกระทำ จะให้หวังหงเย่และหวังเจี้ยนไม่กลัวได้อย่างไร?
“มาหาเรื่องผมน่ะได้ แต่ถ้าใครกล้ามาคิดไม่ดีกับลูกและภรรยาของผมล่ะก็ ผมก็จะทำให้มันตายทั้งเป็น”
หยางเฉินตาหยีลงสองข้าง ดูเหมือนจะกำลังพูดกับหวังเจี้ยน แต่ใครก็รู้ ว่าหยางเฉินกำลังพูดเตือนสติทุกคนในงาน
หวังเจี้ยนนึกถึงที่ตนเองจะยิงใส่ภรรยาของหยางเฉิน ก็เกือบจะฉี่ราด แล้วก็รีบเอาหัวโขกลงไปที่พื้น “คุณหยางครับ ผมผิดไปแล้ว ไม่กล้าไปหาเรื่องภรรยาคุณอีกแล้วครับ”
“ไสหัวออกไป!” หยางเฉินตะคอกใส่
ก็เหมือนกบัที่เขาพูดกับกวนเจิ้งซานไว้ เขามาวันนี้ เดิมทีอยากจะมาดูท่าทีของตระกูลกวนเท่านั้น ไม่ใช่เศษขยะที่เขาจะเห็นอยู่ในสายตาหรอก
แต่สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ กวนเจิ้งซานกลับส่งเสริมให้หลานชายตนเองไปทำชั่ว
ทหารหาญที่ชายแดน สละชีพเพื่อปกป้องบ้านเมืองไว้
แต่ตระกูลกวนกลับทำชั่ว อยากร่ำรวยโดยไม่สนใจจริยธรรม ไม่สมควรได้เสพสุข ที่ทหารสละชีพเพื่อและมาซึ่งความร่ำรวยนี้
สองพ่อลูกตระกูลหวังได้ยินหยางเฉินตะคอกเสียงใส่นั้น ก็เหมือนได้รับอภัยโทษ รีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าอยู่ต่อ รีบออกไปจากสถานที่แห่งนี้เสีย
ไม่นาน ในห้องโถงของงานเลี้ยง ก็เหลือเพียงหยางเฉินและหม่าชาว แล้วก็หยางเวย
หยางเวยไม่ได้โง่ แต่ฉลาดมาก เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เขารู้จักกับหยางเฉินเป็นอย่างดี
เขารู้ดี ว่าชายฉกรรจ์พวกนั้น หยางเฉินเป็นคนเรียกมาเอง
“คุณหยางครับ ให้ผมไปส่งไหม?” หยางเวยก็เดินขึ้นหน้าไป แล้วก็พูดอย่างเคารพ
หยางเฉินก็มองเขานิ่งๆ แล้วก็รู้ว่าเขามีเรื่องอยากจะบอกกับตนเอง ก็ไม่ได้ปฏิเสธไป แล้วพูดกับหม่าชาวว่า “คุณขับรถกลับไปก่อน เดี๋ยวให้เขาไปส่งผมเอง”
“ครับ!” หม่าชาวพูดจบ ก็หันหลังกลับออกไปโดยไม่ลังเล
หยางเวยก็ไม่รีบร้อน ขับรถไปส่งหยางเฉินเองที่หน้าประตูบ้านตระกูลฉิน
ระหว่างทาง หยางเวยไม่พูดจาสักคำ ถึงแม้จะกำลังขับรถให้หยางเฉิน
จนถึงตอนที่หยางเฉินลงรถ หยางเวยถึงเอ่ยปากพูดมาว่า “คุณหยางครับ ผมมีเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือเปล่า”
หยางเฉินก็ยิ้มมุมปาก ไอ้หมอนี่อดกลั้นไว้ไม่อยู่จนได้ แล้วก็ยิ้มเบาๆ “พูดมาเถอะ!”
“หลังจากคืนนี้ไป ที่เจียงโจวก็จะไม่มีตระกูลกวนอีกต่อไป ผมคิดว่านี่จะเป็นโอกาสของคุณหยางนะครับ” หยางเวยยิ้มพูด
“งั้นหรือ? หมายความว่าไง?” หยางเฉินแกล้งทำเป็นไม่รู้
“ข่าวที่ตระกูลกวนล่มสลาย จะยังคงไม่ถูกแพร่ออกไป ถ้าหากว่าตอนนี้อาศัยจังหวะยึดเอาทรัพย์สินของตระกูลกวนไว้ คุณหยางก็จะเป็นคนเดียวตระกูลเดียวในเจียงโจว”
หยางเวยก็ยิ้มพูดว่า “ขอเพียงคุณหยางยอมรับ ตระกูลหยางของผมยอมช่วยเหลือโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ”
“ไม่มีข้อแม้ใดๆ งั้นหรือ?” หยางเฉินก็แกล้งพูดหยอกไป
“จริงครับ!”
หยางเวยพยักหน้า “ตระกูลหยางของผมขอเพียงเรื่องเดียว”
“เรื่องอะไร?” หยางเฉินถาม