The king of War - บทที่ 905 จัดฉากเป็นเรื่องจริง
ไป๋ชิ่งที่กำลังจะเข้าไปนั่ง หลังจากได้ยินเสียงของหลิวฉี ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที “นายเป็นคนของตระกูลกษัตริย์เซวเหรอ”
“นี่เป็นเรื่องเมื่อก่อนระหว่างฉันกับเขา นายอย่ามายุ่งเรื่องคนอื่น”
ถึงเผชิญหน้ากับไป๋ชิ่ง ท่าทีของหลิวฉียังคงอวดดี
“เพียะ!”
ไป๋ชิ่งฟาดฝ่ามือลงไป จู่ๆ บนใบหน้าของหลิวฉีปรากฏเป็นรอยฝ่ามือชัดเจน
“นายกล้าตบฉันเหรอ”
ใบหน้าของหลิวฉีโมโหขึ้นทันที
“แค่หมาตัวหนึ่งของตระกูลกษัตริย์เซวเท่านั้น กล้ามาเห่าวุ่นวายต่อหน้าคนอย่างไป๋ชิ่งเหรอ”
ไป๋ชิ่งพูดอย่างเยือกเย็น “อย่าว่าแต่ตบนายเลย ถึงฆ่านาย ตระกูลกษัตริย์เซวก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองฉัน นายเชื่อไหมล่ะ”
ขณะนั้น หลิวฉีหนาวเหน็บไปทั้งตัว จนทะลุไปถึงกระดูก เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ไป๋ชิ่งเอาจริง
ไป๋ชิ่งเป็นพี่เขยของเขา เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ นี่เป็นหน้าที่สำคัญที่ไป๋ชิ่งมอบให้เขา
แต่ถึงเป็นหน้าที่ เป็นแค่การจัดฉากแสดงละคร แต่ก็ทำให้หลิวฉีหวาดผวา
“ถึงนายเป็นคนของตระกูลคิงไป๋ ก็ไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องของฉันกับเขา”
หลิวฉีกัดฟันพูด
“เพียะ!”
ไป๋ชิ่งตบลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้หลิวฉีถึงกับโงนเงน และเซไปข้างหลังหลายก้าว มีเลือดไหลออกมาตรงมุมปาก
“เรื่องของคุณหม่าคือเรื่องของฉัน ถ้านายยังกล้าเห่าอีกแม้แต่คำเดียว ฉันจะทำให้นายเป็นหมาที่ตาย!”
ความอาฆาตฉายอยู่ในแววตาไป๋ชิ่ง
“นาย……”
หลิวฉีสีหน้าขุ่นเคือง พูดได้เพียงคำเดียว
ก็เห็นไป๋ชิ่งกวักมือ ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของตระกูลไป๋ รีบเดินเข้ามา
“เอาตัวเขาออกไป และทำให้เขาเป็นหมาตายด้วยเลย!”
ไป๋ชิ่งพูดสั่ง
“ครับ!”
ผู้คุ้มกันทั้งสองคนตอบรับ รีบเดินเข้ามา พาตัวของหลิวฉีออกไป
“จัดการพวกมัน!”
หลิวฉีตะโกนเสียงดัง ชายร่างกายกำยำสองสามคนด้านหลังเขา รีบพุ่งเข้าไป
“พลั่ก พลั่ก พลั่ก!”
วินาทีต่อมา ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของไป๋ชิ่ง เหมือนสายฟ้า เคลื่อนตัวผ่านชายร่างกายกำยำไม่กี่คนนั้น
ทุกคนรู้สึกเหมือนตาลายครู่หนึ่ง ชายร่างกายกำยำที่หลิวฉีพามา ต่างพากันล้มลงบนพื้น จนลุกขึ้นมาไม่ได้
หลิวฉีอึ้งไป มองไป๋ชิ่งด้วยสีหน้าหวาดผวา “นาย นายจะทำอะไร”
“พาไป!”
ไป๋ชิ่งโบกมือขวับ หลิวฉีโดนผู้คุ้มกันสองคนพาตัวไป
“ขอโทษด้วยครับ รบกวนทุกท่านแล้ว!”
ไป๋ชิ่งกวาดตามองไปรอบๆ พยักหน้าเบาๆ แล้วพูดขึ้น จากนั้นจึงมองหม่าชาว “คุณหม่า ผมทำไปโดยยึดความคิดตัวเอง ช่วยจัดการไอ้หนุ่มที่มาก่อกวนคนนั้น คุณหม่าคงไม่ถือโทษโกรธเคืองผมใช่ไหมครับ”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ กลับกันผมควรขอบคุณคุณไป๋ด้วย”
หม่าชาวเอ่ยขึ้น “เชิญครับคุณไป๋!”
ไป๋ชิ่งพาภรรยาไปนั่ง พยักหน้าให้คนร่วมโต๊ะเบาๆ ยังคงไม่ได้มองหยางเฉินสักเท่าไร เหมือนเขาไม่รู้จริงๆ ว่าหยางเฉินเป็นใคร
เขาไม่เป็นฝ่ายคุยกับหยางเฉินก่อน หยางเฉินก็ไม่เป็นฝ่ายพูดกับเขาอยู่แล้ว
“ที่รัก เด็กผู้หญิงน่ารักมากเลย คุณว่าเราจะได้อุ้มหลานชายเมื่อไรเนี่ย”
ภรรยาไป๋ชิ่งมองเสี้ยวเสี้ยว พูดด้วยสีหน้าคาดหวัง
ไป๋ชิ่งก็มองเสี้ยวเสี้ยว เขายิ้มแล้วพูดว่า “หนูน้อย ปีนี้อายุเท่าไรเนี่ย”
เสี้ยวเสี้ยวพูดอย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะคุณปู่ หนูชื่อเสี้ยวเสี้ยว ใกล้จะห้าขวบแล้วค่ะ!”
“ฮ่าๆ!”
ไป๋ชิ่งหัวเราะร่า มองเสี้ยวเสี้ยวอย่างเอ็นดู แล้วพูดกับภรรยาว่า “ได้ยินหรือยัง ยัยเด็กน้อยเรียกฉันว่าปู่ด้วย! คิดไม่ถึงว่าอายุฉันจะกลายเป็นปู่แล้ว”
ภรรยาไป๋ชิ่งกลอกตามองบน และพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายคุณไม่ได้เรื่อง เราคงได้อุ้มหลานชายไปนานแล้ว”
“เธอคือแม่ของยัยเด็กน้อยคนนี้สินะ หน้าตางดงามมาก!”
ภรรยาไป๋ชิ่งมองฉินซี ยิ้มและพูดด้วยใบหน้าอ่อนโยน
ฉินซีมองหยางเฉินทันที จากนั้นจึงพูดว่า “สวัสดีค่ะคุณนายไป๋ ฉันเป็นแม่ของเสี้ยวเสี้ยวค่ะ”
“แม่สวยขนาดนี้ เดี๋ยวลูกสาวเธอโตขึ้น ต้องเป็นนางฟ้าที่นำความวุ่นวายมาให้ผู้คนแน่นอน”
ภรรยาไป๋ชิ่งยิ้มและเอ่ยขึ้น
สองสามีภรรยาเป็นกันเองมาก ดูเข้าถึงไม่ยากเลยสักนิด
หยางเฉินหรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย เขาไม่เชื่อว่าสองสามีภรรยาคู่นี้ แค่มาร่วมงานมงคลของหม่าชาวเท่านั้น
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่ได้แสดงเจตนาร้าย หยางเฉินจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของไป๋ชิ่ง พาตัวหลิวฉีออกไปจากโรงแรมเยี่ยนตูแล้ว
“พวกนายจะพาฉันไปไหน”
หลิวฉีเห็นว่าไม่ใช่เส้นทางที่ส่งเขากลับบ้าน จึงอดเอ่ยถามไม่ได้
แต่ไม่มีใครตอบเขา
ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของตระกูลไป๋ ที่พาเขาออกจากโรงแรม นั่งอยู่ด้านซ้ายและขวาของเขา
นี่ทำให้หลิวฉีรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีทันที “นี่ห่างจากโรงแรมมาไกลมากแล้ว แสดงละครตบตาจบแล้ว พวกนายยังจริงจังขนาดนี้ไปทำไม”
“หุบปาก!”
ผู้คุ้มกันของตระกูลไป๋ตวาดขึ้นมาทันที
“นายกล้าตวาดใส่ฉันเหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ไป๋ชิ่งเป็นพี่เขยฉัน! พวกนายกล้าตวาดฉัน เชื่อไหมว่าฉันจะให้พี่เขยฉันฆ่าพวกนาย”
หลิวฉีข่มขู่ด้วยสีหน้าอวดดี
ผู้คุ้มกันที่ตวาดใส่หลิวฉีเมื่อครู่ แสยะยิ้มทันที “พี่เขยของนาย เป็นคนสั่งให้เราส่งนายเป็นครั้งสุดท้าย!”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้คุ้มกันตระกูลไป๋ หลิวฉีถึงกับตกใจ
จู่ๆ เขานึกขึ้นมาได้ เมื่อวานโดนไล่ออกมาจาก ซินเฉ่ากรุ๊ป เขาจึงไปหาไป๋ชิ่ง อยากให้ไป๋ชิ่งแก้แค้นให้ ไป๋ชิ่งยังพูดว่า มีหน้าที่สำคัญจะมอบให้ตัวเองด้วย
ตอนนั้น เขาสัมผัสได้ถึงความอาฆาตในสายตาของไป๋ชิ่ง
อีกอย่างเมื่อกี้ที่โรงแรมเยี่ยนตู ตอนที่ไป๋ชิ่งพูดว่าจะทำให้เขากลายเป็นหมาตาย เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
ตอนนี้มาย้อนคิดเรื่องทั้งหมด จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ที่แท้แผนซ้อนแผนที่ไป๋ชิ่งพูด แถมยังมอบหน้าที่สำคัญให้ตัวเอง ก็คือการเอาชีวิตของตัวเอง!
“ไม่! เป็นไปไม่ได้!”
“พี่สาวแท้ๆ ของฉันเป็นภรรยาเขา เขาจะฆ่าฉันได้ยังไง”
“พวกนายต้องล้อฉันเล่นอย่างแน่นอน ใช่ไหม พี่เขยฉันจะเอาชีวิตฉันได้ยังไง”
หลิวฉีสะเทือนใจมาก ตะโกนโวยวายขึ้นมา
ระหว่างที่พูด รถเคลื่อนตัวเข้ามาในสุสานระเกะระกะ เมื่อหลิวฉีมองเห็นบรรยากาศข้างนอก เขาถึงกับเข่าอ่อน
“บอสบอกให้เราบอกนายประโยคหนึ่ง เขาบอกว่านายไม่ตายเปล่า”
จู่ๆ ผู้คุ้มกันตระกูลไป๋เอาปืนออกมา ปากกระบอกปืนสีดำขลับ เล็งมาที่กลางหน้าผากหลิวฉี
“อย่า!อย่า! พี่เขยฉันต้องเข้าใจผิดแน่นอน ฉันจะโทรหาเขาเดี๋ยวนี้!”
หลิวฉีสั่นไปทั้งตัว หยิบมือถือออกมาอย่างสั่นเทา
“ปัง!”
เสียงปืนดังขึ้น กลางหน้าผากของหลิวฉีเป็นรูเลือด เขาตายตาไม่หลับ ล้มลงไปทันที
ในขณะเดียวกัน ไป๋ชิ่งที่ยังอยู่ในโรงแรมเยี่ยนตู ได้รับข้อความหนึ่ง
หลังอ่านเนื้อหาในข้อความจบ ไม่มีความรู้สึกอะไรบนใบหน้า และเก็บมือถือลง
“ที่รัก มีอะไรเหรอ”
ภรรยาไป๋ชิ่งถามขึ้น ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยน
เมื่อกี้หลิวฉีโดนรุมทำร้าย แม้เธอเห็นแล้วเจ็บปวดใจมาก แต่ไป๋ชิ่งบอกว่า ขอแค่หลิวฉีทำหน้าที่ครั้งนี้สำเร็จ ต่อไปจะให้หลิวฉีเข้ามาในตระกูลคิงไป๋ และจะหาคนที่เป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลคิงไป๋มาเป็นภรรยาหลิวฉี
ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าน้องชายเพียงคนเดียวของตัวเอง ตายไปแล้ว
ไป๋ชิ่งยิ้มบางๆ “ข้อความขยะของเครือข่ายมือถือน่ะ”
ความอาฆาตแวบขึ้นมาในแววตาเขา และหายไป แต่หนีไม่พ้นสายตาของหยางเฉิน