The king of War - บทที่ 951 ไม่มีตระกูลเจียงในเมืองกษัตริย์กวนอีกต่อไป
เมื่อเขาพูดจบ นักรบในชุดเครื่องแบบสองสามคนเดินออกมา คุมตัวเจียงลี่กับบอดี้การ์ดทั้งสองคนเอาไว้ทันที
เห็นได้ชัดว่า นักรบพวกนี้ ต่งจ้านกังเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า คอยเฝ้าบริเวณลานบ้านตลอดเวลา
ดังนั้นเมื่อต่งจ้านกังออกคำสั่ง พวกเขาจึงออกมาได้ทันเวลา
เมื่อเจียงลี่เห็นหน้าผู้นำของนักรบ สีหน้าตกตะลึง “นายท่าน ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่”
จากวัยวุฒิของเจียงลี่ ยังไม่มีคุณสมบัติสัมผัสกับหัวหน้านักรบ แต่เขาเคยเห็นมาก่อน เมื่อปู่ของเขาอยู่ต่อหน้านักรบคนนี้ ยังมีท่าทีนอบน้อม
ทว่าตอนนี้ นักรบท่านนี้ กลับถือปืนมาจ่อหัวเขาด้วยตัวเอง
หัวหน้านักรบมองเจียงลี่ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “เจียงอี้มีหลายชายอย่างนาย ช่างน่าเศร้าจริงๆ ชาติหน้า ถ้านายยังไปเกิดในบ้านคนตระกูลใหญ่ จงจำไว้ว่าต้องอ่อนน้อม”
พูดจบ หัวหน้านักรบพูดเสียงดัง “พาตัวไป!”
“ครับ!”
นักรบสองสามคน คุมตัวเจียงลี่กับบอดี้การ์ดออกไปจากลานบ้าน
“หงต้าเฉียง ขนาดลูกชายฉัน นายยังแตะต้องเหรอ”
แต่ขณะนั้น มีเสียงถามอย่างโมโห ดังขึ้นจากข้างนอก
เดิมทีประตูลานบ้านเปิดไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอก คนที่อยู่ในลานบ้านอย่างหยางเฉินกับตงจ้านกัง จึงมองเห็น
ตอนนี้หน้าประตูมีรถหรูจอดอยู่สองสามคัน คนที่พูดเมื่อครู่ เป็นชายวัยกลางคน ที่เดินลงมาจากรถยนต์โรลส์-รอยซ์ตัวฐานล้อยาว
ไม่เพียงแค่นั้น คนที่มากับชายวัยกลางคน ยังมีผู้แข็งแกร่งตระกูลเจียงร่างกายกำยำ อีกสิบกว่าคน
ส่วนนักรบที่ต่งจ้านกังเรียกออกมา ก็มีสิบกว่าคนเช่นกัน
ขณะนั้น ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน สถานการณ์รุนแรงขึ้น
หัวหน้านักรบชื่อหงต้าเฉียง เป็นคนในอาณาจักรรบ ที่มีหน้าที่ดูแลเรื่องความปลอดภัย ของเมืองกษัตริย์กวน
“เจียงหลงเฟย!”
หงต้าเฉียงหรี่ตาลงทั้งสองข้าง มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อู๋เจียชุนถูกอาณาจักรรบรับช่วงต่อ คนอื่นห้ามเข้าไป ฉันใช้ฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของเมืองกษัตริย์กวน ต้องการให้พวกนายออกไป ไม่งั้นก็รับผลที่ตามมาเอาเอง!”
ในเมืองกษัตริย์กวน ถึงตระกูลคิงกวนแข็งแกร่งที่สุด แต่อาณาจักรรบเมืองกษัตริย์กวน ก็มีอำนาจมากเหมือนกัน
โดยปกติ อาณาจักรรบไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของเมืองกษัตริย์กวน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเป็นฝ่ายยั่วยุอาณาจักรรบ
ถ้าเจียงลี่ไม่โดนหงต้าเฉียงคุมตัว เจียงหลงเฟยก็ไม่แสดงเจตนาร้ายกับอาณาจักรรบหรอก
“อาณาจักรรบไม่เคยก้าวก่ายเรื่องเมืองกษัตริย์กวน แต่วันนี้กลับมาก้าวก่ายเรื่องของตระกูลเจียง ดูเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
เจียงหลงเฟยสีหน้าเฉยชา มองหงต้าเฉียงแล้วเอ่ยขึ้น “ลูกชายฉันมาเชิญหมอเทวดาเฝิง ไปรักษาพ่อฉัน แต่นายกลับบังคับพาตัวลูกชายฉันไป นี่จะขัดขวางหมอเทวดาเฝิง ไม่ให้ไปช่วยชีวิตพ่อฉันเหรอ”
หงต้าเฉียงขำพรืด “อย่าว่าแต่รักษาพ่อนายเลย ถึงพ่อนายมาที่นี่ด้วยตัวเอง ฉันก็ยังพูดประโยคเดิม อู๋เจียชุนถูกอาณาจักรรบรับช่วงต่อแล้ว ไม่ว่าตระกูลนอกตระกูลใด ห้ามเข้ามา ถ้าฝ่าฝืน อย่ามาหาว่าอาณาจักรรบไม่เกรงใจ”
เจียงหลงเฟยขมวดคิ้ว ปกติเขาเคยสัมผัสกับหงต้าเฉียง ถึงเบื้องหลังอาณาจักรรบยิ่งใหญ่ แต่หลายปีมานี้ อาณาจักรรบยังไม่เคยเคลื่อนไหวคนจำนวนมากขนาดนั้น
อีกทั้งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอาณาจักรรบ ที่ประจำการ ณ เมืองกษัตริย์กวน นำทีมด้วยตัวเอง นี่ทำให้เขารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
อย่าบอกนะว่าในลานบ้าน มีบุคคลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
“เกิดอะไรขึ้น”
ต่งจ้านกังเดินออกมาจากในลานบ้าน พูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
หงต้าเฉียงสั่นไปทั้งตัว รีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “นายท่าน เกิดเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย แต่คุณวางใจเถอะ ขอเวลาให้ผมสิบนาที ผมจัดการเรื่องวุ่นวายที่นี่ได้แน่นอน”
“ห้านาที! ฉันให้นายแค่ห้านาที ถ้าข้างนอกยังโกลาหลแบบนี้อีก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของอาณาจักรรบเมืองกษัตริย์กวนอย่างนาย ก็ไม่ต้องเป็นมันแล้ว!”
ต่งจ้านกังพูดเสียงเย็นชา พูดจบ เขาก็หันหลังกลับเข้าไปในลานบ้าน
หงต้าเฉียงเหงื่อไหลเต็มตัว รีบหันไปตะโกนใส่ข้างหลังต่งจ้านกัง “ครับ!”
เขารู้ดีแก่ใจว่าต่งจ้านกังเป็นใคร ถ้าตัวเองจัดการเรื่องไม่ได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของตัวเอง ต้องหายไปแน่นอน
ตอนนี้ เจียงหลงเฟยหรี่ตาลง ขนาดหงต้าเฉียงยังนอบน้อมขนาดนี้ เป็นใครกันแน่
หงต้าเฉียงเป็นคนของอาณาจักรรบ นั่นหมายความว่า ตำแหน่งในอาณาจักรรบของชายวัยกลางคน คนเมื่อกี้ ต้องสูงกว่าแน่นอน
ทว่าตอนนี้ เจียงหลงเฟยยังเจอเรื่องที่ทำให้เขาตกใจอีกเรื่องหนึ่ง หลังตงจ้านกังกลับเข้าไปในลานบ้าน เขาเดินไปอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มคนหนึ่ง
อย่าบอกนะชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้พวกเขา คือบุคคลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเจียงหลงเฟยไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
“เจียงหลงเฟย ฉันให้เวลานายแค่สามนาที ถ้านายยังไม่พาคนออกไป ฉันคงต้องพาคนของอาณาจักรรบ ไปที่ตระกูลเจียง”
หงต้าเฉียงกัดฟันกรอด แล้วพูดออกมา
ตอนนี้เขาคิดแค่ว่า ต้องทำให้หน้าประตูบ้านหมอเทวดาเฝิง สงบลงให้เร็วที่สุด
“แค่นายปล่อยลูกชายฉัน ฉันจะพาคนกลับทันที!”
ครั้งนี้ เจียงหลงเฟยไม่ได้อวดดีเหมือนเมื่อครู่ เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เจียงลี่เป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเจียงหลงเฟย ถ้าเจียงลี่โดนหงต้าเฉียงพาตัวไป เจียงหลงเฟยไม่อยากจินตนาการถึงผลที่ตามมา
ถึงเบื้องหลังของคนในลานบ้านจะแข็งแกร่ง เขาก็ต้องเอาตัวเจียงลี่มาให้ได้
หงต้าเฉียงเลิกคิ้วขึ้น “เมื่อกี้ลูกชายนายใช้ปืนกับนายท่าน เป็นโทษตาย ตอนนี้เขามีเพียงความตายเท่านั้น!”
“ทางที่ดีนายพาคนกลับไป อย่าพยายามหาเรื่องเลย ไม่งั้นผ่านวันนี้ไป เมืองกษัตริย์กวนจะไม่มีตระกูลเจียงอีก!”
หงต้าเฉียงพูดด้วยสีหน้าแน่วแน่
จากนั้น เขาจึงสั่งผู้คุ้มกันข้างๆ ว่า “แจ้งให้นักรบของอาณาจักรรบทุกคน เตรียมตัวรบ หลังห้านาที รอข่าวจากฉัน!”
“ครับ!”
ผู้คุ้มกันรีบตอบรับ จากนั้นจึงใช้วิทยุสื่อสารออกคำสั่ง
ไม่นาน มีเสียงตอบรับดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร
ตอนนี้ เจียงหลงเฟยช็อกไปแล้ว
เขาอยู่มาห้าสิบกว่าปี ยังไม่เคยเห็นคนของอาณาจักรรบทะนงตนเช่นนี้
ไม่เพียงแค่เขา ขนาดตระกูลชั้นสูงของเมืองกษัตริย์กวนหลายตระกูล ยังลืมนักรบของอาณาจักรรบ ที่ประจำการ ณ เมืองกษัตริย์กวนไปแล้วด้วยซ้ำ
ตอนนี้นักรบในเมืองกษัตริย์กวนทุกคน กลับเตรียมพร้อมในการรบ
เขารู้ดี ตระกูลที่อาณาจักรรบเพ่งเล็ง คือตระกูลเจียงของพวกเขา
เจียงลี่ที่โดนนักรบสองคนคุมตัว ใกล้จะร้องไห้ออกมา เขารีบพูดอ้อนวอน “พ่อ รีบช่วยผมสิ ผมไม่อยากตาย ผมยังไม่อยากตายนะ!”
“พวกเขาจะพาตัวผมไป อีกทั้งยังบอกว่าห่างจากที่นี่พันเมตร จะยิงผมตายบริเวณนั้น”
“พ่อ คุณห้ามให้พวกเขาเอาตัวผมไปนะ!”
เจียงลี่ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่มีท่าทีอวดดี ตอนเอาปืนจ่อหัวต่งจ้านกังเมื่อกี้อีกแล้ว
เจียงหลงเฟยไม่พูดอะไร สีหน้าเคร่งขรึม และแฝงไปด้วยความกังวล
“หงต้าเฉียง นายไม่กลัวว่าทำแบบนี้ จะทำให้ตระกูลคิงกวนไม่พอใจเหรอ อย่าลืมสิ ที่นี่เป็นเมืองกษัตริย์กวนนะ ตระกูลคิงกวนเป็นเจ้าของ”
เจียงหลงเฟยกัดฟันพูด
หงต้าเฉียงขี้เกียจพูดไร้สาระอีก เขายกข้อมือดูเวลา “ผ่านไปสองนาทีแล้ว ยังเหลือหนึ่งนาทีสุดท้าย”
พูดจบ เขาพูดสั่งอีกว่า “ทุกคน เตรียมตัวรบให้ดี”
“ครับ!”
นักรบสิบกว่าคน ลุกขึ้นมาตะโกนเสียงดัง
“แกรก แกรก แกรก!”
เสียงบรรจุกระสุนใส่ปืนไรเฟิลอัตโนมัติสิบกว่ากระบอก ดังขึ้นอย่างชัดเจน
“พ่อ ช่วยผมด้วย! ขอร้องล่ะ! ผมเชิญหมอเทวดาเฝิง เพราะต้องการช่วยคุณปู่ เลยทำให้ล่วงเกินพวกเขา!”
เจียงลี่ร้องไห้โวยวาย เขากลัวจริงๆ
ถ้าถูกพาตัวออกไปไกลพันเมตร นั่นคือช่วงเวลาตายของตัวเอง