The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 181 เจ้าลิงขอปรึกษาธรรม
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 181 เจ้าลิงขอปรึกษาธรรม
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองหมาป่าเดียวดายแวบหนึ่ง หยางหวามองตะกร้าเล็กที่หมาป่าคาบไว้ในปากพลางยิ้ม “ไปขุดผักป่าเหรอ?”
ฟางเจิ้งยิ้มตอบ “ใช่ ใบไม้ผลิแล้ว ผักป่าออกแล้ว เลยจะเอาไปเสริมรสชาติบ้าง”
“เอาเถอะ ท่านรอเดี๋ยว” หยางหวาเดินเข้าไปในลานบ้าน หยิบจอบเล็กขนาดเท่าแขนเล็กมาอันหนึ่ง นี่คือจอบเล็กไว้สำหรับงานละเอียด และก็เป็นเครื่องมือชั้นดีสำหรับการขุดผักป่า
มีเจ้านี่ ฟางเจิ้งพลันรู้สึกว่าลุยงานได้เต็มที่แล้ว ก่อนแยกกับหยางหวา ตรงไปยังแม่น้ำหนึ่งสาย
สองฝั่งของแม่น้ำหนึ่งสายเป็นแผ่นดินทองคำที่มีผักป่าเติบโตมากที่สุด ต้นฤดูใบไม้ร่วงทุกปีพวกชาวบ้านจะกลับมาขุดผักป่ากัน อีกทั้งในฤดูกาลนี้ปกติจะไม่มีผักป่า แค่สามเดือนหิมะเพิ่งละลาย ยังหนาวอยู่ ผักป่าเองก็ต้องหมกตัวผ่านหน้าหนาวเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรสองฝั่งของแม่น้ำหนึ่งสายถึงอุณหภูมิสูงกว่ารอบๆ เล็กน้อย เดิมทีหน่อต้นหลิวเฮาจะออกมาให้เห็นช่วงห้าหกเดือน แต่ที่นี่แค่สามเดือนก็เริ่มโผล่หัวแล้ว นี่ถือเป็นผักป่าที่ฟางเจิ้งชอบที่สุด
ฟางเจิ้งถือจอบเดินตามหาหน่อหลิวเฮาที่เพิ่งโผล่หัวมาอย่างชำนาญก่อนจะขุดมันออกมาจากดิน เขาไม่ได้ขุดรากมาด้วย แต่เหลือระบบรากไว้ แบบนี้มันจะเติบโตใหม่ได้เร็วมาก ต้องเลี่ยงตัดราก
ฟางเจิ้งขุด หมาป่าเดียวดายคาบตะกร้าเดินตาม เพียงแต่ว่ามันจะมองบนตลอด เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจผักป่าเขียวเป็นมันขลับชนิดนี้
กระรอกมองฟางเจิ้งขุดสักพักพลันกระโดดลงมาบนพื้น ใช้กรงเล็บลวกๆ ไม่นานก็ขุดหน่อหลิวเฮาออกมาหน่อหนึ่ง ก่อนปีนขึ้นบนหัวหมาป่าเดียวดายด้วยความลำพองใจ ถือหน่อหลิวเฮาแกว่งตรงหน้าหมาป่า สุดท้ายก็โยนเข้าไปในตะกร้า เหมือนกำลังพูดว่า ‘แกมันขยะ ฉันขุดได้ แกทำได้ไหม?’
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงยิ้ม “ในเมื่อทำงานได้ก็อย่าขี้เกียจ ขุดเสร็จเร็วจะได้กลับไปทำของอร่อยให้พวกนายกินไง”
แต่กระรอกพลันกระโดดขึ้นมาบนหัวหมาป่าเดียวดาย แลบลิ้น ทำท่าว่าฉันเหนื่อยจะตายแล้ว เหนื่อยจนขยับไม่ได้เลย
ฟางเจิ้งจิ้มพุงเล็กๆ ของกระรอก “นายมันดีแต่กินแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่ต้องกินข้าวกลางวัน”
กระรอกน้อยกระโดดขึ้นมาในฉับพลัน โบกกรงเล็บมาสื่อว่าไม่พอใจ จากนั้นกระโดดลงไปด้วยความไม่ยินยอม ก้นอ้วนกลมตื่นตัว ขุดทางนั้นที ทางนี้ที กลายเป็นจับกังของฟางเจิ้งไป
คนกับกระรอกขุดผักป่ากัน ไม่นานหมาป่าเดียวดายก็ทนไม่ไหว เดิมตามตูดอย่างนี้มันทุกข์ใจนัก เกิดความทะเยอทะยานขึ้น วางตะกร้าลง อาศัยจังหวะที่ฟางเจิ้งไม่สนใจวิ่งเข้าไปกระโดดโลดเต้นในพุ่มหญ้า ไม่รู้เป็นบ้าอะไรอยู่
ฟางเจิ้งขี้เกียจจะสนใจไอ้หมาป่าปัญญาอ่อนตัวนี้ ตั้งแต่เจอมันมา ในที่สุดฟางเจิ้งก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหมาพันธุ์ฮัสกี้ถึงเหมือนหมาป่า พวกมันเป็นหมาติ๊งต๊องเหมือนกัน ขี้เกียจดีแต่กิน แถมยังเจ้าเล่ห์…
ฟางเจิ้งขุดต่อ กระรอกลงมา มองฟางเจิ้งด้วยดวงตาโตแวววาว ความหมายคือ ‘ฉันไปเล่นเดี๋ยวเดียวได้ไหม? เจ้านั่นยังไปเล่นได้เลย…’
ฟางเจิ้งตอบ “นายอยากไปเล่นก็ไป แต่ว่ามื้อกลางวัน…”
กระรอกหมุนตัวกลับขุดต่อทันที!
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นจึงหัวเราะ เจ้าพวกนี้เป็นพวกเห็นแก่กินจริงๆ!
สองคนกำลังขุด ทันใดนั้นได้ยินเสียงหมาป่าเห่ามาจากข้างหลัง ตามด้วยเสียงการเคลื่อนไหวแปลกๆ แกรกกราก ฟางเจิ้งหันไปมอง เห็นลิงตัวใหญ่ถือตะกร้าวิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง หมาป่าเดียวดายเห่าไล่ตามมา ใช้ปากแย่งตะกร้าคืนมา แต่ผักป่ากระจายเต็มพื้น
ส่วนลิงนั่นปีนขึ้นต้นไม้ นั่งยองบนต้น แกว่งหมัดไปมา “ไอ้หมาบ้า แน่จริงก็ขึ้นมาสิ พวกเราประลองกันสามร้อยกระบวนท่าแล้ว ปู่จะให้แกสามกระบวนท่า จะอัดให้พ่อแม่จำแกไม่ได้เลย!”
ฟางเจิ้งได้ยินเสียงนี้ ทำไมถึงคุ้นกับน้ำเสียงจัง? พอตั้งใจมองก็คุ้นตาจริงๆ!
ฟางเจิ้งยังไม่ทันเข้าไป หมาป่าเดียวดายไม่ทนแล้ว มันไม่เข้าใจว่าเจ้าลิงกำลังพูดอะไร แต่ลิงนี่อาศัยจังหวะที่มันไม่ทันระวังขโมยตะกร้าที่มันเฝ้าไว้ไป? แบบนี้ได้ที่ไหนกัน? แอบไปเล่นได้ก็ถือว่าเมตตาแค่ไหนแล้ว ของหายอีกจะได้กินข้าวเย็นไหม? ดังนั้นหมาป่าเดียวดายจึงเห่าไม่หยุด กระโดดไปๆ มาๆ อยากจะกลายเป็นบั้งไฟวี๊ดปังพุ่งขึ้นต้นไม้ไปกัดเจ้าลิงนี่ให้พิการใจจะขาด
เจ้าสองตัวนี้หนึ่งอยู่บนต้นไม้ อีกหนึ่งอยู่บนพื้น ขณะเดียวกับที่ด่ากันเสียงกัน หนึ่งกระโดดโลดเต้น อีกหนึ่งแกว่งหมัดไปมา สุดท้ายเจ้าลิงปิ๊งความคิด หักกิ่งไม้มา พอหมาป่าเดียวดายกระโดด มันก็ฟาดเข้าไปทีหนึ่ง ป้าบ!
เอ๋งๆๆ…
บนหน้าหมาป่าเดียวดายมีรอยเพิ่มมาเส้นหนึ่ง มันเจ็บจนนั่งกับพื้น ใช้กรงเล็บเกาเบาๆ
เจ้าลิงเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง ปรบมือรัวๆ ซ้ำกระโดดตามบนต้นไม้ ตอนนี้เอง…
ปึง!
เสียงดังขึ้น ต้นไม้ใหญ่ขยับไหว เจ้าลิงที่กำลังลำพองใจยืนไม่มั่งคง หัวดิ่งลงมา!
เจ้าลิงหมุนติ้วกลางอากาศพลางว่าไปยกใหญ่ “ใครวะ?!”
ทว่าหัวหมาป่าใหญ่ปรากฏตรงหน้ามัน แสยะปากเผยคมเขี้ยวแหลม ยิ้มอย่างชั่วร้าย ราวกับกำลังพูดว่า ‘ไอ้ลิงเวร กระโดดอีกสิ! มาอยู่ในมือฉันเมื่อไรล่ะก็ หึๆ…’
เจ้าลิงตกใจหมุนตัววิ่งหนีไป แต่รู้สึกเจ็บก้นจึงว่าด้วยความโมโห “ใครอีกวะ?”
เจ้าลิงหันไปมอง เห็นหลวงจีนขาวสะอาดรูปหนึ่งใช้มือจับหางมันไว้ ไม่ให้มันหนีไป
“เจ้าลิงหัวขโมย ตามมาจากวัดเมฆาขาวถึงวัดเอกดรรชนีเลยเหรอ วันนี้อยู่ในมืออาตมาแล้ว บอกมาว่านายจะเอายังไง จะทำต้มน้ำแดงดีไหม เลือกมาอย่างหนึ่ง” ฟางเจิ้งขู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนลิงนี่จะใช่ตัวนั้นที่มาจากวัดเมฆาขาวไหมเขาไม่แน่ใจ ตอนนั้นกลางวันเห็นเพียงก้นสีแดง ตอนกลางคืนเห็นไม่ชัด อีกอย่างเขาไม่ใช่ลิงที่จะข้ามสายพันธุ์รู้จักลิง ยากจะแยกออกได้ ดังนั้นเลยพูดสุ่มๆ ไปอย่างนั้น
“ไต้ซือ นายจำฉันได้เหรอ?” เจ้าลิงตะลึงงัน
ฟางเจิ้งงุนงง “นายจริงๆ เหรอ?”
เจ้าลิงพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ฉันเองๆ! ฉันเอง!”
ฟางเจิ้งยกมือขึ้นโยนมันไปให้หมาป่าเดียวดาย “ส่งไปในป่าลึก เจ้านี่ขโมยของ ระวังโอ่งข้าวนายด้วยเดี๋ยวจะถูกขโมยจนหมด”
เดิมทีหมาป่าเดียวดายไม่พอใจเจ้าลิงนี่อยู่แล้ว พอได้ยินว่าลิงนี่ขโมยข้าว แถมจะขโมยข้าวมันอีก? จะไปยอมได้ยังไง? ถึงมันทนได้ แต่กระรอกบนหัวทนไม่ได้! ซึ่งตอนนี้กำลังแยกเขี้ยว โบกกรงเล็บไปมา อยากจะกระโดดลงไปต่อยหัวเข่าเจ้าลิงใจจะขาด
เจ้าลิงได้ยินดังนั้นก็ตกใจสะดุ้ง รีบร้องโวย “ไต้ซือ ไต้ซือ ไต้ซือ! ฉันไม่ได้มาขโมยของ แต่มาหานาย!”
ฟางเจิ้งยกมือ หมาป่าเดียวดายที่อ้าปากกว้างหยุดชะงักกลางอากาศ ห่างจากขนคอหอยเจ้าลิงไปหนึ่งเซนติเมตรพอดิบพอดี
ฟางเจิ้งว่า “เจ้าลิง อยู่บนเขาอิสระดีๆ ไม่อยู่ จะมาหาอาตมาทำไม?” ฟางเจิ้งตรึกตรอง หรือว่าเจ้านี่จะติดใจข้าวผลึก? ไม่ได้การ ถึงแสงธูปจะค่อนข้างสว่างไสว ทว่าแต่ละตัวกินเก่งกันทั้งนั้น ขืนเป็นแบบนี้ไป เขาจะถูกกินจนยากจน! เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องปฏิเสธ!
เจ้าลิงผลักปากหมาป่าเดียวดายออกก่อนเกาก้นแล้วว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ครั้งก่อนนายพูดดีมากที่บ้านพวกเรา พอฉันฟังแล้วรู้สึกสบายมาก เหมือนจะเข้าใจและก็ไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง”
………………………