The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 190 อธิษฐานขอพร
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 190 อธิษฐานขอพร
ฉับพลันนั้นฟางเจิ้งปัดความคิดนี้ไปข้างหลัง ประนมสองมือ สวดบทหนึ่ง “สีกา อาตมาจำไม่ได้จริงๆ แล้วก็ฟ้ามืดแล้ว ถ้าไม่ลงเขาจะเป็นอันตราย”
“เอ่อ…” เธอพูดไม่ออก แต่ก็ยอมรับแล้วว่าหลวงจีนรูปนี้ไม่รู้จักเธอจริงๆ
ดังนั้นเลยยิ้มแห้งๆ ไม่ได้คิดจะหยอกฟางเจิ้งต่อ แต่เก็บรอยยิ้ม ยื่นมือขวาออกไปด้วยความเคยชิน “โอเคค่ะ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะคะ ฉันหลี่เสวี่ยอิง หลวงพี่ชื่ออะไรคะ?”
“อาตมามีนามทางธรรมว่าฟางเจิ้ง” ฟางเจิ้งไม่ได้จับมือกับหลี่เสวี่ยอิง แต่ยิ้มบางๆ
หลี่เสวี่ยอิงอึ้งงัน โตมาขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขอจับมือกับคนต่างเพศแล้วถูกปฏิเสธ ความรู้สึกนี้มันแปลกมาก…
ฟางเจิ้งพูดต่อ “สีกา ขึ้นเขาเวลานี้มีธุระอะไรรึเปล่า?”
หลี่เสวี่ยอิงหลี่ตาลง รู้สึกว่าหลวงจีนรูปนี้น่าสนใจเป็นพิเศษ จึงยิ้มเอ่ยราวกับแมวน้อยเหมียวๆ พบกับแผ่นดินใหม่ “มีธุระแน่นอนค่ะ เอ่อ…อืม…จุดธูป! ขอพร!”
หลี่เสวี่ยอิงพูดจบก็เดินไปอุโบสถ ก่อนเห็นป้ายตรงปากประตูทางเข้า ธูปธรรมดาฟรี ธูปชั้นดีสองร้อย หลี่เสวี่ยอิงขมวดคิ้วขึ้น เธอเคยไปมาหลายวัด วัดปกติคนทั่วไปจะมาถวายธูปธรรมดาให้ ใครจะใช้ก็ได้ แต่จะต้องบริจาค หนึ่งเหมาก็ยังได้ เพราะนี่เป็นธูปที่คนอื่นเอามาวางไว้ ถ้าคุณไม่ใส่เงินค่าธูป นั่นเท่ากับช่วยคนอื่นจุดธูปไหว้พระ แต่ถ้าตนควักเงินค่าธูปจ่ายไป ต่อให้เป็นเงินเหมาเดียวนั่นก็จะเป็นของคุณ
นอกจากนี้ธูปแบบอื่นๆ ก็ไม่ได้มีแค่ธูปราคาสูง แต่จะมีหลากชนิดราคาต่างกันตามวัตถุที่ต่างกันรวมถึงการบรรจุและขนาด ธูปชั้นดีจะแบ่งเป็นหลากชนิดมาก อย่างแพงก็พันหยวนขึ้น อย่างถูกสิบยี่สิบหยวนก็มี แต่วัดนี้มีธูปสองชนิด คือฟรีกับสองร้อยหยวน นี่คือขาดการค้าอุปทานธูปหรือจงใจใช้เป็นกลยุทธ์การขายกันแน่ถึงให้เลือกหนึ่งกับสอง?
หลี่เสวี่ยอิงไม่สบายตัวเล็กน้อย เลยถามฟางเจิ้ง “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ธูปชั้นดีกับธูปธรรมดาต่างกันยังไงคะ?” เธอเคยถามแบบนี้มาหลายคนแล้ว คนส่วนใหญ่จะตอบว่าธูปชั้นดีจะแสดงถึงความจริงใจมากกว่าเล็กน้อย ทว่าเธอฟังแล้วได้แต่ยิ้ม เธอไม่พอใจกับคำตอบนี้ และอยากรู้ว่าเณรที่ดูสะอาดมากทั้งในและนอกรูปนี้จะตอบว่ายังไง
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ไม่มีความต่างกันเลย ถ้ามีก็คงแค่เก็บเงินกับไม่เก็บเงิน”
“เอ่อ…” หลี่เสวี่ยอิงตาค้าง หลวงจีนนี่โง่จริงหรือแกล้งโง่ พูดแบบนี้คนโง่ที่ไหนจะจุดธูปชั้นดี? มิน่าวัดถึงเล็กแบบนี้ รู้สึกว่าจะเจอเจ้าอาวาสโง่เขลาซะแล้ว
หลี่เสวี่ยอิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงแบ่งเป็นสองชนิดล่ะคะ?”
ฟางเจิ้งตอบอย่างมีเหตุผล “ธูปไว้บูชาพระ เงินไว้เลี้ยงชีพอาตมากับบูรณะวัด คือ แล้วแต่สีกานะ”
“เอ่อ…จะเอาอย่างนี้จริงดิ” หลี่เสวี่ยอิงเจอกับหลวงจีนสบายๆ แบบนี้พลันรู้สึกว่าถ้าไม่จุดธูปชั้นดี จะเป็นการผิดต่อหลวงจีนรูปนี้เล็กน้อย
ดังนั้นหลี่เสวี่ยอิงจึงหยิบธูปมาดอกหนึ่ง จากนั้นหยิบมาอีกดอก
ตอนนี้เองมีมือขาวสะอาดกดที่ธูปชั้นดี ไม่ให้หลี่เสวี่ยอิงเอาไป
หลี่เสวี่ยอิงงงงวย ถูกห้ามหยิบธูปเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือผิวมือหลวงจีนนี่ดีกว่าเธออีก! พริบตานั้นเธอเหมือนกับได้พบแผ่นดินใหม่! ฉายามืองามของเธอไม่ได้มาเล่นๆ ไม่ว่าจะเป็นขนาดมือ สัดส่วนนิ้วหรือผิวพรรณเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ!
ในทุกปีเธอมีค่าใช่จ่ายการบำรุงผิวมือสูงถึงหลายล้าน! โลกต่างยอมรับว่ามือเธอสมบูรณ์แบบ อีกทั้งบริษัทประกันภัยทางฝั่งยุโรปและอเมริกายังค้ำประกันให้เธอถึงหนึ่งร้อยล้านหยวน!
มือคู่นี้คือความภูมิใจของหลี่เสวี่ยอิงมาตลอด ไม่ด้อยไปกว่าใบหน้าเลย ทว่าการแอบหนีมาครั้งนี้ดันจับพลัดจับผลูมาเจอกับหลวงจีนรูปหนึ่ง มือหลวงจีนรูปนี้สวยกว่าเธออีก! เธอพลันเกิดความรู้สึกอยากกระอักเลือด! หลวงจีนนี่จงใจมาจู่โจมเธอรึเปล่า?
แต่หลี่เสวี่ยอิงไม่ได้เอ่ยออกไป เพียงมองฟางเจิ้งด้วยความคับแค้นภายในใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ทำไมไม่ให้ฉันหยิบธูปล่ะคะ?”
“ดอกเดียวก็พอแล้ว หยิบเยอะไม่ได้มีผลมากขึ้น” ฟางเจิ้งพูดเรียบๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้เงิน แต่การหาเงินก็ต้องมีคุณธรรม เขาจะไม่ทำเรื่องหลอกลวงคนอื่น
“ท่านนี่จริงๆ เลย…” หลี่เสวี่ยอิงส่ายหน้า มองฟางเจิ้งด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย แต่ส่วนลึกในแววตากลับเต็มไปด้วยความชื่นชอบ ไม่ใช่ความรักของชายหญิง เป็นเพียงความชอบเหมือนกับได้มองสัตว์คุ้มครองที่มีเหลือน้อย
จากนั้นหลี่เสวี่ยอิงหยิบธูปไปดอกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นก็ต้องตะลึงอีกครั้ง วัดนี้ไม่มีพระพุทธรูป มีเพียงภาพสีทองผืนหนึ่ง! ถึงภาพนี้จะเปล่งแสงวาววับภายใต้แสงไฟ ทว่าก็เป็นภาพ จะไปเทียบกับพระพุทธรูปได้ยังไง? อย่างน้อยหลี่เสวี่ยอิงก็คิดแบบนี้
เธอมองฟางเจิ้ง ก่อนมองวัดเล็กพลางนึกถึงวิธีหาเงินของหลวงจีนโง่เขลา หลี่เสวี่ยอิงก็ได้ข้อสรุปมาว่า ‘คงจะจนล่ะนะ…’
หลี่เสวี่ยอิงเงยหน้ามองพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกร แต่ไม่รู้ว่าควรจะขอพรอะไรดี
ฟางเจิ้งกังวลเล็กน้อยเหมือนกัน เคยเจอญาติโยมมาไม่น้อย ปกติเข้ามาจุดธูปไหว้พระขอพรแล้วออกไป แต่มาเหม่อมองพระแบบนี้นี่เป็นครั้งแรก จึงอดใจไม่ไหวเอ่ยถาม “สีกา เป็นอะไรหรือ?”
หลี่เสวี่ยอิง “ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะขอพรอะไรดี ไต้ซือมีคำแนะนำไหมคะ?”
ฟางเจิ้งแทบจะมองบน เธอมาไหว้พระขอพรจะให้อาตมาแนะนำให้อีก? คิดว่าอยู่ห้างรึไง? อาตมาเป็นพนักงานขายของเหรอ? ฟางเจิ้งเพิ่งเคยเจอญาติโยมพิลึกแบบนี้เป็นครั้งแรก จึงส่ายหน้าด้วยความจำใจ “อาตมาไม่รู้จะแนะนำอะไรให้สีกาดี แต่พระแม่กวนอิมปางประทานบุตรชำนาญเรื่องการให้ลูก ถ้าจะขอลูกก็ขอกับท่าน ส่วนพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรเน้นเรื่องการปกปักมากกว่า แต่หลักๆ แล้วก็ยังเป็นเรื่องความสงบสุข”
หลี่เสวี่ยอิงพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอให้สงบสุขแล้วกัน”
หลี่เสวี่ยอิงอธิษฐาน คุกเข่าไหว้พระ…
ฟางเจิ้งเปิดเนตรสวรรค์ดูเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือหลี่เสวี่ยอิงไม่มีเคราะห์ร้ายอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้มีโชคดีที่มาก ถือว่าปกติ…
อธิษฐานแล้วหลี่เสวี่ยอิงถึงยืนขึ้น “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านดูดวงได้ไหม?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “อาตมาดูไม่เป็นหรอก”
“น่าเสียดายจริงๆ” หลี่เสวี่ยอิงพูดพลางมองพระเวทโพธิสัตว์ตรงปากประตูแวบหนึ่ง รู้ว่าที่นี่ไม่ดูแลเรื่องที่พัก ในใจเกิดความเสียดายเล็กน้อย ถึงตีนเขาจะคึกคัก แต่เธอชอบความสงบมากกว่า และแม้วัดนี้จะกันดาร แต่ทั้งวัดให้ความรู้สึกที่ดีมาก เงียบสงบและเป็นมงคล พออยู่ที่นี่ ความกลัดกลุ้มทั้งหมดจะถูกขับไล่ออกไป เธอชอบความรู้สึกนี้…เลยพูดไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งล่ะนะ”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นในใจเกิดความขมฝาด? ความสุข? ถ้าทุกวันนี้การคิดว่าจะมีข้าวกินไหมเป็นความสุขล่ะก็ เขาก็รู้สึกว่าตนมีความสุขมาก
“สีกา ยังมีธุระอะไรอีกไหม?” ฟางเจิ้งเดิมตามหลี่เสวี่ยอิงออกจากอุโบสถ มายืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เอ่ยถาม
หลี่เสวี่ยอิงว่า “มีธุระอีกนิดหน่อยค่ะ ไม่รู้ว่าหลวงพี่จะช่วยได้ไหม”