The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 209 สวยที่สุดสู้ใจดีไม่ได้
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 209 สวยที่สุดสู้ใจดีไม่ได้
แต่พวกผู้หญิงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะเสียงดังพร้อมกัน
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็งงใหญ่ นี่อะไรกัน? แต่ละคนไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ?
เด็กสาวหน้าตาดีที่มีไฝดำบนคางคนหนึ่งหัวเราะอย่างโอเวอร์ ชี้ฟางเจิ้ง “ไต้ซือ ฉันก็คิดว่าท่านจะไม่มาพูดซะอีก ไม่คิดเลยนะ…ฮ่าๆ…ตลกมาก พวกเธอเอาเงินที่ฉันแพ้เดิมพันคืนมา! วะฮ่าๆๆ…ฉันรู้อยู่แล้วว่าไต้ซือไม่ทำให้ฉันผิดหวังหรอก!”
ผู้หญิงคนอื่นๆ ต่างร้องโอดครวญ “หลวงพี่ฟางเจิ้งทำไมถึงบริสุทธิ์ซื่อตรงแบบนี้? ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ดีแล้ว ฮือๆๆ เงินเดือนทั้งเดือนหายไปแล้ว…”
“ใช่ หลวงพี่ฟางเจิ้งทำเกินไปนะ ฉันยังคิดว่าจะกลับไปโม้กับพวกพี่น้องว่าถูกหลวงจีนหลงรักอยู่เลย แถมยังขโมยชุดชั้นในอีก” ผู้หญิงสวมแว่นคนหนึ่งยิ้ม
ฟางเจิ้งมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความมึนงง ใครบอกเขาได้บ้างว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หลี่เสวี่ยอิงก็งงเหมือนกัน อวี๋กว่างเจ๋อก็เช่นกัน พวกหลินตงสือตะลึงงัน เกิดคำถามในใจกันทุกคน ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน?’
ในที่สุดหลี่เสวี่ยอิงก็ทนไม่ไหว ลากผู้หญิงสวยมีไฝมาถาม “เสี่ยวหลิง มันยังไงกันแน่?”
เสี่ยวหลิงยิ้ม “วันนั้นลิงมาขโมยชุดชั้นใน จริงๆ พวกเรารู้ตัวแล้ว แถมยังมีกระรอกนั่น มันมุดเข้าไปในถุงนอนของลั่วลั่ว ลั่วลั่วตกใจกลัวเลยไม่กล้าส่งเสียง ส่วนลิงนั่นมือเท้าไม่ว่องไว ฉันก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่าเป็นขโมยเลยไม่กล้าขยับ แต่พอแอบเห็นแล้วก็รู้สึกว่าสนุกดี เลยไม่พูด วันต่อมาไอ้พวกที่นอนหลับเป็นหมูตายถูกขโมยของ ฮ่าๆ…”
“พูดแบบนี้แปลว่าเธอรู้แต่แรกแล้ว? รู้แล้วทำไมไม่บอก?” หลี่เสวี่ยอิงมีความยึดมั่นในความซื่อสัตย์
เสี่ยวหลิงตอบ “จะพูดได้ยังไงคะ จะให้ฉันบอกว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งขโมยชุดชั้นในพวกเรา? นี่จะทำลายชื่อเสียงเขาน่ะสิ ฉันคิดว่าให้เป็นแบบนี้ก็ได้ อีกอย่างฉันก็คุยกับพี่สาวคนอื่นๆ แล้ว ทุกคนว่าเรื่องนี้สนุกดี ไม่ได้คิดอะไรกัน สำคัญที่สุดคือคุณมองแววตาใสสะอาดของหลวงพี่ฟางเจิ้งแล้วเขาเหมือนอันธพาลเหรอคะ? ลิงนั่นต่างหากที่บ้ากามมาก…”
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก ก่อเรื่องมาครึ่งวันอีกฝ่ายรู้ตั้งนานแล้ว คนกระทำ สวรรค์กำลังมองจริงๆ บางสิ่งที่ทำก็ซ่อนไม่มิด เรื่องนี้เป็นบทเรียนชีวิตให้กับเขา
เสี่ยวหลิงพูดต่อ “ต่อมาพวกเราก็พนันกัน ฉันพนันว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งที่ใสสะอาดของเราจะต้องยอมสารภาพเองแน่นอน ส่วนพวกเธอคิดว่าหลวงพี่ฟางเจิ้งบริสุทธิ์เกินไป อาจจะไม่กระดากใจ มีโอกาสสูงที่จะดำแล้วก็ดำเลย แต่ว่า…หลายวันมานี้หลวงพี่ฟางเจิ้งไม่มา ฉันแพ้จนแทบจะขายกางเกงใน แต่สุดท้าย เหอะๆ…” เสี่ยวหลิงมองผู้หญิงคนอื่นๆ อย่างไม่มีเจตนาดี ราวกับกำลังปอกลอกพวกเธอจนหมด ชิงทุกอย่างมา
ผู้หญิงทุกคนร้องโอดโอย บ่นพึมพำ…
ฟางเจิ้งเห็นภาพนี้ รู้สีกเพียงว่าโลกแม่งมหัศจรรย์ ความคิดผู้หญิงพวกนี้มหัศจรรย์เกินไป พวกเธอไม่สนใจเรื่องชุดชั้นในหาย แต่กลับสนใจปัญหาการเดิมพันแพ้ชนะ…จิตใจผู้หญิงหยั่งลึกจริงๆ ควรห่างจากผู้หญิง ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก
แต่พวกหลินตงสือมองตากัน หลินตงสือกล่าว “ถ้าฉันจำไม่ผิด ครั้งก่อนพวกเราเห็นหมาตัวหนึ่งคาบรองเท้าส้นสูงของเสี่ยวหลิงในหมู่บ้าน เสี่ยวหลิงแทบจะตีกับเจ้าของหมาเลยนี่? ไหงวันนี้ถึงพูดจาดี?”
เหล่าเถาตบบ่าหลินตงสือ “ฉันก็อยากจะปะหน้าไอ้หน้าลายคนนั้นสักสองทีเหมือนกัน นายคิดดูนะ…ในสังคมที่มองภายนอกแบบนี้ นายยังอยากได้ความยุติธรรมอีกเหรอ? ถ้าอยากได้ความยุติธรรมทำไมไม่แต่งงานกับฝางหลงซะล่ะ?”
หลินตงสือนึกถึงผู้หญิงที่น้ำหนักมากกว่าเขาสามเท่าจึงทำหน้าเข้าใจ “ผู้หญิงก็เหลวแหลกเหมือนกันนะ เป็นพวกนักเลงกันทั้งนั้น…”
หลัวลี่ว่า “พวกนายสองคนมันขยะ ไอ้คนหน้าลายนั่นด่าคนอื่น เสี่ยวหลิงไม่ด่าเขาสิแปลก เทียบกับหลวงพี่ฟางเจิ้ง มันจะไปเหมือนกันได้ไง?”
………
แต่ฟางเจิ้งที่พวกเขาชื่นชมกลับแทบจะร้องไห้ ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ล้อมเข้ามาถามทุกอย่าง ทั้งยังซักถามต่างๆ นาๆ ถามจนฟางเจิ้งหัวจะกลายเป็นไข่พะโล้
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านเห็นชุดชั้นในเยอะขนาดนั้น ชอบตัวไหนสุดคะ?”
“ของฉันใหญ่ที่สุด เป็นสีแดงแถมยังมีดอกกุหลาบ หลวงพี่ฟางเจิ้งจำได้ไหมคะ?”
“หลวงพี่ ใหญ่ไปไม่สวยหรอก กลางๆ กำลังดี…”
ฟางเจิ้งมองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด เขาสำนึกผิดลงเขามาขอโทษแล้ว แต่ขอโทษอะไร? นี่เรียกว่าเข้าไปในรังหมาป่าชัดๆ! ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมพระถังซำจั๋งต้องมีลิงโคตรเก่งไว้ข้างกาย ไม่มีลิงนั่นขวางไว้ ตอนออกเดินทางคงมีพระถังซำจั๋งคนเดียว แต่พอถึงแดนสุขาวดีคงมีเป็นกองทัพ…
ฟางเจิ้งชำเลืองตามองลิงบนพื้นแวบหนึ่ง เจ้านี่กำลังกินกล้วยที่คนอื่นให้อย่างมีความสุข ไม่สนใจเจ้าอาวาสเลย และยังลืมขอโทษไปแล้วด้วย ลิงเหมือนกัน ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้?
“เอาล่ะๆ พวกเธอทุกคนหยุดกันก่อน อย่าลวนลามคนอื่นสิ รีบเก็บของเตรียมเดินทาง ขืนไปสายจะไม่ได้กินข้าวเย็นนะ” ในที่สุดหลี่เสวี่ยอิงก็ลงมือช่วย
ผลคือผู้หญิงทุกคนเบนเป้าหมายไปทันที เสี่ยวหลิงกอดแขนหลี่เสวี่ยอิงไว้พลางหัวเราะหึๆ “พี่เสวี่ยอิง พี่ไปค้นวัดมาแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เจอชุดชั้นในพวกเราล่ะ? พี่ค้นไม่ละเอียดเลยนะ…” จากนั้นมองหลี่เสวี่ยอิงด้วยแววตาว่าฉันเข้าใจ
แขนอีกข้างถูกกอดไว้แล้ว เป็นเด็กสาวอีกคนพูดขึ้น “พี่เสวี่ยอิง เย็นวันนั้นฉันเห็นพี่ถือ…”
“กระเป๋าหลุยส์คนละใบ” หลี่เสวี่ยอิงเชิดหน้าขึ้น
“ฉันเห็นพี่เสวี่ยอิงมองพระอาทิตย์ตกดิน สวยไหมคะ?” เด็กสาวเปลี่ยนคำทันที
พวกผู้หญิงได้ยินดังนั้นจึงคึกคัก ล้อมเข้ามากันหมด ต่างพูดแสดงความคิดเห็นกันใหญ่ ฟางเจิ้งรู้สึกเหมือนมีเป็ดห้าหกพันตัวกำลังวิ่งมั่วไปมาเต็มพื้น มึนหัวตาลาย
ตอนนี้เองมีมือใหญ่ข้างหนึ่งดึงฟางเจิ้งไปอีกข้าง นั่นคืออวี๋กว่างเจ๋อ อวี๋กว่างเจอถามด้วยความแปลกใจ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ลิงนี่เอาไปจริงๆ เหรอครับ?”
ฟางเจิ้งเตะลิงไปทีหนึ่ง “ถามนายน่ะ เอาไปรึเปล่า”
ลิงปิดหน้า หันหน้าหนีด้วยความละอายใจ
อวี๋กว่างเจ๋อหัวเราะเสียงดัง จากนั้นกลอกตา “หลวงพี่ฟางเจิ้ง สัตว์สามตัวของท่านฉลาดมาก ถ้าสอนสักหน่อยเป็นนักแสดงที่ดีได้เลย ท่านว่า…”
“ผู้กำกับอวี๋ ฟ้าจะมืดแล้ว อาตมาต้องกลับก่อน ขอตัวนะ…” ฟางเจิ้งรีบลากลิงไป
การแสดงอาจเป็นเรื่องดี แต่ฟางเจิ้งรู้ชัดยิ่งกว่าว่าสัตว์พวกนี้ต้องการอะไร พวกมันต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ใช่ตามกองถ่ายไปทุกที่ ถูกใช้เป็นเครื่องจักร ที่สำคัญที่สุดคือฟางเจิ้งทำใจจากพวกมันสามตัวไม่ได้…
อวี๋กว่างเจ๋อเห็นดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ถ้าวันไหนเปลี่ยนใจก็ติดต่อผมนะ ผมขอเป็นเพื่อนวีแชตท่านแล้ว กดรับหน่อยนะครับ!”
ฟางเจิ้งจะตอบกลับพลันได้ยินเสียงตะโกนของพวกผู้หญิงข้างหลัง “พวกเราก็เพิ่มเพื่อนแล้ว หลวงพี่ฟางเจิ้งกดรับด้วยนะ! ขอเป็นเพื่อนสนิทเลย!”
ฟางเจิ้งหนีเข้าป่าไปทันที ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจริงๆ!