The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 221 เรื่องดีครั้งใหญ่
- Home
- The Monk that wanted to renounce asceticism บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์
- ตอนที่ 221 เรื่องดีครั้งใหญ่
“นี่คือสวัสดิการของนาย หลังได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการแล้ว นายจะได้รับบุญกุศลหนึ่งร้อยแต้มทุกเดือน พูดให้ถูกคือเพิ่มหนึ่งร้อยแต้ม ในหนึ่งเดือน ถ้านายได้รับบุญกุศลหนึ่งร้อยแต้มขึ้นไป ระบบจะให้รางวัลพิเศษอีกหนึ่งร้อยแต้ม ถ้านายมีบุญกุศลมากกว่าพันแต้ม ระบบจะให้บุญกุศลพิเศษหนึ่งพันแต้ม เทียบกันแบบนี้ไป…” ระบบกล่าว
“ดีขนาดนี้เลย?” ฟางเจิ้งดีใจใหญ่ แต่ว่าก็นึกอะไรขึ้นได้ “ไม่ใช่แล้ว ถ้าอย่างนั้นบุญกุศลฉันไม่ควรจะมีแค่นี้สิ?”
“ดังนั้นตอนที่ฉันพูด นายอย่าสอดปากจะดีที่สุด” ระบบพูดอย่างจริงจังมาก
ฟางเจิ้งอดนึกถึงข้อความที่เห็นโดยบังเอิญตอนเขาอ่านข่าวไม่ได้…สอดปาก…เหอะๆ…
เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งที่ไม่โดนฟ้าผ่ามานานมากตกใจจนกระโดดขึ้น จะหลุดคำพูดติดปากออกมาตามสัญชาตญาณ “เฮ้ยไอ้ชะ…”
แทบจะขณะเดียวกัน มีสายฟ้าเพิ่มมาเหนือหัวเขาอีกสาย รวมตัวกันกลางอากาศ เหมือนจะผ่าลงหัวเงาวับได้ตลอดเวลา
ฟางเจิ้งเปลี่ยนคำทันที “ไอจะไปกินน้ำ!”
สายฟ้าหายไป ฟางเจิ้งปาดเหงื่อเย็นๆ แถมยังพูดอย่างไม่พอใจ “ระบบ นายมีเหตุผลหน่อยได้ไหม? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรด้วย จะผ่าฉันทำไม? อีกอย่างต่อให้เมื่อกี้ฉันด่าไปก็ด่าครั้งแรกของวัน นายผ่าฉันไม่ได้นี่?”
“ฉันจะอบรมให้นายเป็นพระอาจารย์แห่งยุค ความคิดเมื่อกี้โสมมเกินไป แถมยังคิดกับฉันอย่างตั้งใจอีก ฉันรู้สึกถึงความคิดนี้ได้ ทนไม่ไหวหรอก” ระบบตอบเรียบๆ
“นาย…นายทนไม่ไหวก็อย่าทำอะไรตามอำเภอใจสิ” ฟางเจิ้งพูดอย่างกลัดกลุ้มสุดขีด
“เอาเถอะ ครั้งนี้เป็นความผิดฉันเอง จากนี้ฉันจะไม่สนใจแล้วกัน” ระบบตอบอย่างไร้เหตุผล
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก ว่าแล้วเชียว ระบบนี่ต้องเป็นสินค้าปลอมมือสองแน่นอน ไม่เหมือนระบบพระพุทธองค์สักนิด คล้ายระบบไร้สัจจะมากกว่า หน้าด้านอยู่กับเขาไม่ไปไหน แถมเอะอะก็ไร้ยางอาย ฟางเจิ้งจนปัญญากับมันแล้ว ได้แต่ระวังด้วยตัวเอง จากนี้นึกถึงอะไรอีกอย่าคิดพูดกับระบบจะดีกว่า แบบนี้มันจะได้สัมผัสไม่ได้แล้วด่าไปตามปาก…
ฟางเจิ้งกล่าว “ถือว่านายชนะ พูดมาเถอะ ข้างหลังจะพูดอะไรต่อ?”
ระบบเอ่ยต่อ “ถ้าในหนึ่งเดือนบุญกุศลนายไม่เกินหนึ่งร้อยแต้ม ระบบจะช่วยนายเติมบุญกุศลให้ครบหนึ่งร้อยเท่านั้น ไม่ใช่ให้พิเศษอีกหนึ่งร้อย เข้าใจไหม? ดังนั้นแล้วถ้านายอยากสึกจริงๆ ก็จงสั่งสมบุญกุศล ระบบใจกว้างมาก นายหาได้เท่าไรจะให้นายหนึ่งเท่าว่ายังไง? ตอนนี้คิดแล้วรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ ใช่ไหม?”
ฟางเจิ้งตอบกลับทันที “เหอะๆ…”
ตลก ช่วยคนเพิ่งได้บุญกุศลมาแค่นี้? หนึ่งร้อยแต้ม ทุกเดือนจะต้องช่วยกี่คนกัน เขาจะไปหาคนมากขนาดนี้จากไหน?
คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งบิดขี้เกียจ ไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่ก็ต้องเดินบนเส้นทางไต้ซือต่อไป ที่สำคัญคือนอกจากยากจนแล้ว ชีวิตเขาก็ไม่เลวจริงๆ…
เวลาผ่านไปทีละวัน เมื่อดวงตะวันสูงขึ้นเรื่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดผืนดินก็ฟื้นคืนชีพ ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่ง
วันนี้หวังโอ้วกุ้ยโทรศัพท์มา
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฮ่าๆ…มีเรื่องดีมากจะมาบอก” พอฟางเจิ้งรับสายก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหวังโอ้วกุ้ยเลย
ฟางเจิ้งถามด้วยความแปลกใจ “โยมหวัง มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
“เหอะๆ หยางหวาไม่รู้ว่าไปได้โชคอะไรมา เมื่อไม่นานมานี้ซื้อหวยถูกรางวัล จิ๊ๆ ได้มาห้าล้านหยวนแน่ะ หักภาษีแล้วเหลือสี่ล้าน เจ้าบ้านี่รวยแล้วแต่มันก็ยังเก็บไว้ไม่ยอมบอกใคร กลัวว่าเมียมันได้ยินแล้วจะตื่นเต้นเกินจนกระเทือนถึงลูกในท้อง เลยเงียบมาตลอด วันนี้กินเหล้ากับซ่งเอ้อร์โก่วถึงพูดออกมา ไอ้บ้านี่นะ ตอนนี้เจ้านี่สุดยอดแล้ว เดินไปไหนก็เป็นที่นิยม เจ๋งกว่าผู้ใหญ่บ้านอย่างฉันอีก ฮ่าๆ…” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง
ฟางเจิ้งเพิ่งนึกออก ครั้งก่อนตอนไปยืมจอบกับหยางหวา เขาเห็นประกายสีแดงเต็มใบหน้าอีกฝ่าย มีไอมงคลปกคลุม มองด้วยเนตรสวรรค์ก็เห็นว่าหยางหวาถูกหวย ฟางเจิ้งยังบอกอีกฝ่ายว่าเดี๋ยวจะร่ำรวยแล้ว…เขาเองยังกังวลอยู่เลย นานขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย ที่แท้หยางหวาเก็บเงียบมาตลอด ไม่ใช่เพราะเนตรสวรรค์ผิดพลาด
ฟางเจิ้งยิ้มบอก “นั่นเป็นเรื่องดี”
“เป็นเรื่องดีแน่นอน แต่นั่นก็เป็นของหยางหวา ไม่เกี่ยวกับแกหรอกนะ เรื่องดีที่ฉันจะบอกคือเจ้าเด็กนี่นับว่ามีจิตใจดี วันนี้มาหาฉัน ได้ยินว่าทางอำเภอตัดสินใจจะจัดสรรเงินซ่อมถนนให้หมู่บ้านเรา เจ้านี่เลยจะบริจาคเงินห้าแสนให้หมู่บ้าน แถมยังระบุมาด้วยนะว่าต้องซ่อมทางขึ้นเขาเอกดรรชนี แกว่าเป็นเรื่องดีไหม?” หวังโอ้วกุ้ยเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ฟางเจิ้งได้ยินแล้วพลันตื่นเต้น ทำไมวัดเอกดรรชนีถึงไม่โด่งดังมาโดยตลอด? เรื่องนี้เกี่ยวกับทางขึ้นเขาอย่างมาก แม้ทุกหมู่บ้านจะมีโครงการปูถนนปูนซีเมนต์ แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
ทางขึ้นเขาของฝั่งเขาย่ำแย่มากมาแต่ไหนแต่ไร ถนนภูเขาเมื่อก่อนพังไปนานแล้ว เป็นหลุมเป็นบ่อไปหมด ข้างๆ ยังไม่มีรั้วกั้นอีกด้วย ขืนไม่ระวังตกลงไป เทพเซียนก็ยากจะช่วยได้ ตอนแรกจ้าวต้าถงแทบจะตกเขาตายแล้ว โดยเฉพาะในวันฝนตกหิมะตก ยิ่งเดินขึ้นเขายากกว่าเดิม…
อย่างที่ว่าไว้ ถ้าอยากร่ำรวยก็ต้องซ่อมทางเสียก่อน ทางเส้นนี้คือสิ่งสำคัญในสิ่งสำคัญ ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ว่าจะซ่อมทางยังไง น่าเสียดายที่ไม่มีเงิน ตอนนี้จู่ๆ ได้รู้ว่ามีเงินแล้วจึงยิ้มดีใจทันใด ยังไงเขาก็ยังเป็นแค่ไต้ซือแต่เปลือกนอก ในใจยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มตัวโตที่จิตใจดีเท่านั้น ผลประโยชน์มาหาถึงที่ ทำไมจะไม่ดีใจ
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงกล่าว “จริงเหรอ? ดีมากเลย เหอะๆ…”
“แต่ปัญหาคือเงินห้าแสนซ่อมทางขึ้นเขาสายหนึ่งค่อนข้างยากนะ ไหนจะแรงงานคน ค่าวัสดุอีก กลัวจะว่าไม่พอ แกยังมีเงินอีกห้าแสนนั่นไม่ใช่เรอะ? ฮี่ๆ…” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะแห้งๆ สองที ความหมายชัดเจนมาก
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้น น้ำตาพลันเอ่อคลอสองตา ห้าแสนของเขา? เขาก็อยากเอามาซ่อมถนนเหมือนกัน ปัญหาคือ…ใช้ไปหมดแล้ว! แถมยังบอกเหตุผลไม่ได้ด้วย หรือจะให้บอกหวังโอ้วกุ้ยว่าเขาใช้เงินห้าแสนอัปเกรดอภินิหารพุทธศาสนา? เดาว่าคงถูกหวังโอ้วกุ้ยตบตายล่ะมั้ง
“ฟางเจิ้ง? ทำไมเงียบไปล่ะ?” หวังโอ้วกุ้ยเห็นฟางเจิ้งเงียบจึงรีบถาม
ฟางเจิ้งหัวเราะเฝื่อนๆ “โยมหวัง คงจะไม่ได้แล้ว อาตมาใช้เงินนั่นช่วยคนไปแล้วละ”
“ช่วยคน? แก…แกช่วยใคร?” หวังโอ้วกุ้ยงุนงง จากนั้นน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที
ฟางเจิ้งตอบ “ช่วยคนที่ชีวิตจะเป็นอันตราย ใจอ่อนเลยให้ไป”
“เฮ้อ แกนี่น้า วันๆ ไม่ลงเขา แกคิดว่าคนข้างนอกจะธรรมดาเหมือนคนในหมู่บ้านเรารึไง ฉันสงสัยจริงๆ ว่าแกถูกหลอกหรือเปล่า…เฮ้อ ช่างเถอะ เงินก็ของแก ฉันพูดอะไรมากไม่ได้ สรุปคือจากนี้ไปถ้ามีเรื่องแบบนี้อีก ให้มาพูดกับฉันก่อนจะดีที่สุด ฉันจะช่วยให้คำแนะนำเอง บนโลกนี้ไม่ได้มีแค่คนดีหรอกนะ…” หวังโอ้วกุ้ยได้ยินแบบนั้นก็ปวดใจนัก ห้าแสนเชียว! ดันให้คนอื่นไปแบบนั้น ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงใจกว้างนักนะ?
แต่หวังโอ้วกุ้ยก็รู้ว่าฟางเจิ้งพูดแบบนี้น่าจะจริง อีกอย่างฟางเจิ้งบริจาคด้วยเจตนาดี เขาไม่มั่นใจด้วยว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริง จะคาดเดาเอาเองแล้วทึกทักตัดสินฟางเจิ้งไม่ได้ นี่เท่ากับทำร้ายจิตใจดีงามของฟางเจิ้ง ไม่ใช่เรื่องดีอะไร